ถึงตอนนี้ นี่คือหนังที่เรารักที่สุดในกลุ่มหนังที่เข้าชิงรางวัลในปีนี้ มันคือแนวทางหนังแบบที่เราชอบและมันทำได้โดนใจเรามากๆ
ด้วยกระแสที่มาแรงตั้งแต่ช่วงที่หนังเริ่มฉายปลายปีที่แล้ว มันทำให้เรามีคาดหวังสูงมาก และเมื่อดูจบ แม้หลายอย่างจะไม่ได้เป็นไปอย่างที่เราคาดคิดไว้ในตอนแรก แต่สิ่งที่มันเกิดขึ้นในหนังเรื่องนี้ กลับยอดเยี่ยมไปในแนวทางของตัวเอง ยอมรับเลยว่า Lady Bird มีเอกลักษณ์และโดดเด่นมากๆ
เราชอบหนังเรื่องนี้มาก หนังเรื่องนี้มีเสน่ห์สุดๆ สิ่งที่หนังจะสื่อสารมีพลังมากๆ เราไม่รู้ว่ารายละเอียดต่างๆในหนังเรื่องนี้มันคือสิ่งที่ตั้งใจไว้หรือไม่ แต่รายละเอียดต่างๆเหล่านี้ กลับกลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์มากๆของหนังเรื่องนี้
หากจะไม่พูดถึงบทภาพยนตร์ที่ยอดเยี่ยมของหนังเรื่องนี้ ก็คงจะไม่ได้ บทภาพยนตร์ที่ละเอียดและลงลึกขนาดนั้น มันส่งให้หนังเรื่องนี้สื่อสารกับคนดูได้อย่างลงตัว แม้หนังจะเล่าเรื่องของช่วงวัยรุ่นของเพศหญิง แต่เรากลับรู้สึกว่าหนังมันสื่อสารกับคนได้ทุกเพศทุกวัย เรารู้สึกว่าทุกคนเชื่อมโยงกับหนังได้ เราเคย “ไม่ชอบในสิ่งที่เราเป็นอยู่ ไม่ชอบที่ที่เราอยู่” บ้างไหมละ เราเชื่อว่าช่วงหนึ่งของชีวิต จะต้องมีบางจังหวะที่เราคิดเหมือนตัวละครในเรื่องนี้
ดนตรีและเพลงประกอบ ที่เข้ากับจังหวะของหนัง เพลง Drive Home ที่ขึ้นมาตอนซีนที่แม่ขับรถกลับมาบ้านในตอนเช้ามันส่งอารมณ์ได้ดีมาก ทั้งแสงในบรรยากาศข้างทาง แม่มองผ่านกระจกหน้าต่างรถออกไปดู รอยยิ้มของแม่ที่เกิดขึ้น มันแทนความรู้สึกแม่ได้เป็นอย่างดี ใครมาว่า ว่าซาคราเมนโตไม่ดี เราว่าแม่คงเถียงขาดใจแน่ๆเลย 55
ผลงานของผู้กำกับหญิง วัยเพียง 34 ปี Greta Gerwig ที่เราเคยประทับใจการแสดงของเธอสุดๆจากเรื่อง 20th Century Women เธอสร้างความแปลกใจให้เราเป็นอย่างมาก เพราะนี่เป็นผลงานการกำกับภาพยนตร์แบบโซโล่เดี่ยวครั้งแรกของเธอ เรารู้สึกว่าหนังของเธอมีพลังสุดๆ การใส่รายละเอียดต่างๆในหนังทำได้ลงตัวพอดี มีความตั้งใจในการออกแบบหนังให้เป็นสไตล์ของตัวเอง ดูเผินๆอาจรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้ธรรมดาทั่วไป แต่เรากลับรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวสุดๆ และเราว่าเธอมีเรื่องที่ต้องการสื่อสารชัดเจน แล้วเธอก็มั่นคงในการสื่อสารนั้นตั้งแต่ต้นจนจบซีนสุดท้ายเลย
การแสดงของ Saoirse Ronan มีเสน่ห์สุดๆ มันเต็มไปด้วยความสมจริงและเข้าถึงบทบาท เธอกลายเป็น Christine “Lady Bird” McPherson อย่างเต็มตัว นี่คือนักแสดงหญิงรุ่นใหม่ที่จะก้าวขึ้นมาเป็นสุดยอดนักแสดงชั้นนำในวงการอย่างแน่นอน
เรื่องนี้เธอเด่นในด้านความเป็นธรรมชาติมากๆ การแสดงที่ไม่ล้นและไม่ดร็อปเกินไป เธอเล่นได้พอดีลงตัว ซีนที่ต้องแสดงความรู้สึกๆลึกๆ มันก็ถูกส่งออกมาให้รับรู้ได้จริงๆ บทที่เธอเล่นเรื่องนี้ เรียกว่าครบรสเลยทีเดียว
ซีนที่เราชอบในหนังเรื่องนี้ คือซีนจบ ที่สรุปเรื่องราวทุกอย่างของหนังได้ดี การแสดงของ Saoirse ทางสีหน้าแววตาและน้ำเสียงมันซึมลึกสุดๆ การที่จะบอกความรู้สึกกับใครสักคน หากเราไม่ได้รู้สึกแบบนั้นจริงๆมันจะถูกฟ้องผ่านทางสีหน้าแววตา แต่ซีนนี้มันปราศจากสิ่งเหล่านั้น มันคือการบอกความรู้สึกที่จริงใจและบริสุทธิ์ที่สุด ภาพสุดท้ายที่จับไปที่หน้า Christine ก่อนการตัดเข้าฉากจบสีดำ มันยังตราตรึงใจเราอยู่เลย
หนังเล่าเรื่องชีวิตของ Christine McPherson นักเรียนหญิง ชั้นมัธยมปีที่ 6 เธอรู้สึกมาตลอดว่าแม่ไม่รู้สึกภูมิใจในตัวเธอ เธอแทบไม่เคยทำอะไรได้เป็นชิ้นเป็นอัน แม้กระทั่งแค่การหัดขับรถ แม่เธอไม่เชื่อว่าเธอจะขอทุนไปเรียนต่อในเมืองใหญ่ๆได้ เธอใช้ชีวิตเติบโตที่เมืองซาคราเมนโต รัฐแคลิฟอร์เนีย แต่เธอไม่ชอบที่นี่ เธอไม่ชอบที่ที่เธอเติบโตขึ้นมา เธอต้องการไปจากที่นี่ เธอต้องการไปเรียนต่อที่อื่น เธออาจไม่ชอบตัวเธอมากกว่าสถานที่ที่เธอเติบโตขึ้นมาเสียอีก หรือจริงๆเธอแค่อยากให้คนอื่นชอบเธอบ้าง
เริ่มต้นเปิดเทอมมัธยมที่ 6 ด้วยบทพูดของบาทหลวง
“พวกเรากลัวว่าจะหนีจากอดีตของตัวเองไม่ได้
พวกเรากลัวสิ่งที่กำลังจะมาถึงในอนาคต
พวกเรากลัวที่จะไม่ได้เป็นที่รักของคนอื่น
พวกเรากลัวว่าคนอื่นจะไม่ชอบเรา
พวกเรากลัวที่จะไม่ประสบความสำเร็จ”
เธอมีชื่อจริงๆว่า Christine McPherson แต่เธอไม่ชอบชื่อนี้ที่พ่อแม่ตั้งให้ เธอเลยตั้งชื่อตัวเองขึ้นมาใหม่ว่า “Lady Bird” เธอเชื่อว่าเธอกำหนดตัวเธอเองได้
เธอเริ่มวางแผนในการสมัครเรียนต่อมหาวิทยาลัยในเมืองใหญ่ๆทางฝั่งตะวันออก อย่างเช่น New York โดยการขอทุนเรียน ที่บ้านของเธอไม่สามารถหาเงินมาส่งเธอเรียนได้ พ่อของเธอเพิ่งโดนเลิกจ้างจากบริษัท ส่วนแม่ทำงานเป็นพยาบาลในโรงพยาบาทประสาท มีเวลาทำงานที่ไม่แน่นอน แต่แม่ของเธอไม่สนับสนุนให้เธอไปเรียนไกลๆ แม่ของเธออยากให้เธอเรียนใกล้บ้าน
ความรักในช่วงวัยรุ่นยังเป็นสิ่งที่มีเสน่ห์เสมอ เธอได้เล่นละครเวทีกับ Danny จนต่อมาได้ออกเดทด้วยกัน ในคืนนั้นที่ทั้งคู่ออกเดท พวกเขาตั้งชื่อให้ดาวของพวกเขา Danny ตั้งชื่อดาวว่า Claude ส่วน Lady Bird ตั้งว่า Bruce พวกเขาอาจลืมไปว่า พวกเราต่างตั้งชื่อให้สิ่งอื่นทั้งนั้น ดวงดาวยังไม่มีโอกาสได้บอกเลยว่า ชอบชื่อนี้หรือไม่ ว่าแต่...มันสำคัญแค่ไหนกัน
ในคืนวันสุดท้ายของการแสดงละครเวทีของพวกเขา Lady Bird บังเอิญได้รู้ความจริงว่า Danny เป็นเกย์ แต่เราชอบตรงที่หนังไม่ได้เล่าให้เห็นความฟูมฟายของเธอ เธอแค่เศร้า แต่เธอเข้มแข็งมาก มันไม่ได้ทำให้เธอใช้ชีวิตต่อไปไม่ได้ เธอเริ่มเปิดใจเรียนรู้คนใหม่ๆ เราชอบตอนสุดท้ายของความสัมพันธ์นี้ มันยังสวยงามอยู่ ซีนที่ Danny ไปหา Lady Bird ที่ร้านกาแฟที่เธอทำงานอยู่ และได้มาคุยกันที่หลังร้าน พวกเขาเหมือนจะทะเลาะกัน จนสุดท้าย Lady Bird ตะคอกกลับไปว่า “นายเป็นเกย์” จน Danny ถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ขอร้อง Lady Bird ไม่ให้บอกเรื่องนี้กับคนอื่น แล้วโผเข้ากอดเธอ Lady Bird ก็รับปาก เราชอบซีนนี้มาก เรารู้สึกว่าสุดท้ายความสัมพันธ์มันเป็นได้หลากหลายรูปแบบ คนที่เลิกกันไปแล้ว ยังสามารถเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้นะ
ความสัมพันธ์ครั้งใหม่กับ Kyle ที่ดูเหมือนจะสวยงามและน่าค้นหานั้น สุดท้ายมันก็แค่ผ่านมาให้เรียนรู้ ให้ประสบการณ์บางอย่างกับเธอ เธอประทับใจ Kyle ก่อน รวมไปถึงเริ่มเข้าหาก่อนด้วยและ Kyle ก็เล่นด้วย แม้ Kyle จะดูมีเสน่ห์ขนาดไหนก็ตาม แต่การโกหกของเขา ก็เป็นสิ่งที่เธอไม่อาจรับได้เช่นกัน เราเองดูแล้ว ก็รู้สึกว่าความสัมพันธ์ครั้งนี้มันฉาบฉวยมาก แต่ก็เข้าใจได้ว่า มันเกิดขึ้นได้ง่ายในช่วงวัยนี้ เราคิดว่าบางทีความสัมพันธ์กับเกย์อย่าง Danny ยังจะสวยงามกว่าความสัมพันธ์ครั้งนี้ซะอีก
ความสัมพันธ์กับพ่อ ก็เป็นสิ่งที่น่ารักมากในเรื่องนี้ แม้พ่อของเธอจะเพิ่งถูกเลิกจ้าง และเธอก็เพิ่งมารู้ว่า พ่อของเธอเป็นโรคซึมเศร้ามานานแล้ว แต่หนังไมได้ฉายซีนซึมเศร้าเหล่านั้นให้เราเห็น พ่อเหมือนเป็นที่เพิ่งของ Lady Bird เสมอ เพราะเธอรู้สึกว่าแม่ไม่เข้าใจและไม่ได้สนับสนุนเธอ หรือจริงๆมันอาจะเป็นพราะว่าเธอกับแม่เหมือนกันเกินไป อย่างที่พ่อบอกกับเธอ
เธอสงสัยว่าทำไมพ่อเธอถึงเป็นโรคซึมเศร้า แม่บอกว่า “เงินไม่ใช่สิ่งที่จะมาประเมินชีวิตของเรา การประสบความสำเร็จไมได้มีความหมายลึกซึ้งอะไร มันก็แค่มีความหมายว่า เราประสบความสำเร็จ...แค่นั้น แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะมีความสุข”
ความสัมพันธ์ของ Christine กับแม่ เป็นความสัมพันธ์ที่มีเสน่ห์และจริงสุดๆ เธอเหมือนแม่ของเธอมาก เขาทั้ง 2 เป็นคนมั่นใจในตัวเอง หัวรั้นทั้งคู่ เวลาพูดคุยกันทีไร ก็จะทะเลาะกันตลอด เพราะต่างคนต่างไม่ยอม ในช่วงวัยรุ่น มันคงเกิดคำถามขึ้นมาเยอะว่า ที่แม่ชอบว่าเธอ ไม่ฟังเธอบ้าง มันเพราะอะไรกันแน่ หรือว่า แม่ไม่ชอบเธอหรือเปล่า เราเชื่อว่า ทุกคนในช่วงวัยรุ่น จะเกิดการตั้งคำถามประมาณนี้กันมาแล้วทุกคน ซึ่งบางครั้งมันไม่จำเป็นต้องหาคำตอบให้ได้ภายในทันที บางอย่างต้องใช้เวลาเป็นเครื่องมือในการค้นหาคำตอบ
ซีนที่แม่เย็บเสื้อที่จะใส่ไปในวัน Thanksgiving ให้ Lady Bird เพื่อให้ใส่ได้พอดีตัว แล้วนำไปแขวนไว้ในห้องเธอ มันสื่อสารบางอย่าง บางทีต่อหน้า เราก็คุยกันไม่ค่อยได้ดีหรอก แต่พอลับหลัง มันกลับง่ายมากในการแสดงความรู้สึกออกมา
ซีนที่ลองชุดไปใส่ไปงานพรอม เธอถามแม่ว่าชุดที่เธอใส่เป็นไงบ้าง แม่ตอบไปด้วยความตรงไปตรงมา จนเธอเริ่มน้อยใจว่าทำไมแม่ไม่เคยชมเธอบ้าง แม่อธิบายไปว่า แม่แค่พูดความจริง
เธอตอบกลับไปว่า “หนูแค่อยากให้แม่ชอบหนูบ้าง”
แม่บอกว่า “แน่นอน แม่รักหนู”
เธอถามแบบตัดพ้อกลับไปว่า “แล้วแม่ชอบหนูไหม”
แม่บอกว่า “แม่แค่อยากให้หนูเป็นตัวของหนูเองในแบบที่ดีสุดเท่าที่หนูจะเป็นได้”
เธอตอบกลับไปว่า “แล้วถ้าแบบที่หนูเป็นอยู่เนี่ย คือดีที่สุดแล้วล่ะ”
แม่ไม่เคยอยากให้เธอไปเรียนที่รัฐไกลๆ แต่ตรงข้ามกับความคิดเธอ เธอแอบไปขอทุนเพื่อไปเรียนต่างเมือง โดยมีพ่อเป็นคนคอยช่วยสนับสนุน ในวันจบการศึกษาแม่เพิ่งรู้ความจริงว่า เธอได้เป็นตัวสำรองในการขอทุนไปเรียนต่อ แม่โกรธมาก จนไม่ยอมคุยกับเธอเลย จนกระทั่งวันสุดท้ายที่ไปส่งเธอขึ้นเครื่องบินเดินทางไปเรียนต่อ
ซีนที่ทรงพลังอีกซีนหนึ่ง คือ ซีนที่แม่ขับรถไปส่ง Lady Bird ไปเรียนต่อที่สนามบิน แล้วเธอไม่ยอมลงไม่ส่ง เพราะยังโกรธอยู่ แต่พอขับรถออกมา เธอก็เริ่มรู้สึกบางอย่าง การแสดงของ Laurie Metcalf มันทรงพลังสุดๆ เธอค่อยๆรู้สึกบางอย่าง มันค่อยๆผ่านออกมาทางสายตา เธอเริ่มอยากลงไปร่ำลาลูกของเธอ เธอวนรถกลับไป แล้วรีบวิ่งลงไปหา Lady Bird แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว เธอกอดสามีเธอแล้วร้องไห้ มันสื่อความรู้สึกเธอได้เป็นอย่างดี
“บางทีเราอาจจะไม่เคยรู้ตัวเลยว่าจริงๆแล้วเรารู้สึกยังไงกับตัวตนของเรากันแน่”
บางครั้งในชีวิตเรา เราก็ไม่เคยรู้ว่าจริงๆแล้ว เราอยากเป็นอะไร เราไม่เคยรู้ว่าสิ่งที่เราเป็นอยู่มันดีไหม หรือเราแค่อคติกับบางสิ่งบางอย่าง จึงไม่ชอบในสิ่งที่เป็นอยู่ บางทีเราอาจไม่เคยได้รู้ว่า สิ่งที่เราอยากเป็นนั้น มันดีกว่าที่เราเป็นอยู่ยังไง
Sister ทัก Lady Bird จากเรื่องราวที่เธอเขียนเพื่อขอทุนเรียนต่อ
Sister พูดกับ Lady Bird ว่า “เธอดูรักซาคราเมนโตมากนะ เธอเขียนเล่าถึงซาคราเมนโตด้วยความรู้สึกรักและแคร์มากๆ”
“หนูก็แค่อธิบายมันน่ะ” เธอตอบ
“ก็ใช่ แต่ดูเหมือนมันจะเป็นความรู้สึกรักนะ” Sister อธิบาย
“ใช่ค่ะ ก็หนูใส่ใจมันนี่คะ” เธอบอก
“แล้วเธอไม่คิดเหรอว่ามันคือสิ่งเดียวกันน่ะ ‘รัก’ กับ ‘ใส่ใจ’ ”
สุดท้าย Lady Bird ก็ได้ทุนเรียนต่อตามที่หวังไว้ สิ่งหนึ่งที่เธอเข้าใจตัวเองแล้ว
คือชื่อของเธอคือ Christine McPherson ที่พ่อแม่ของตั้งให้ เธอพูดกับชายหนุ่มที่เจอในผับว่า “ผู้คนยอมใช้ชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้ แต่ไม่เชื่อในพระเจ้า” เธอสงสัยว่า ทำไมผู้คนไม่เคยมีคำถามแบบที่เธอสงสัย ทำไมคนไม่เคยตั้งคำถามกับชื่อที่ถูกตั้งให้ ทำเราไม่เคยสงสัยถึงตัวตนของเรา ทำไมเราไม่เคยถามตัวเองว่า เราคือใคร ทำไมสิ่งที่เราควรตั้งคำถามที่สุด เรากลับไม่ค่อยได้สนใจมันจริงๆ
แม้แม่จะโกรธ Lady Bird แค่ไหน แต่จริงๆแล้วเธอก็รัก Lady Bird มากๆ เธอพยายามเขียนโน๊ตเพื่อให้ Lady Bird ก่อนไปเรียนต่อ เพื่อบอกว่าเธอรัก Lady Bird มากแค่ไหน แต่เธอก็ไม่ได้มอบให้ เพราะกลัวว่าเขียนมันออกมาได้ไม่ดี แต่สุดท้ายความรู้สึกที่จริงใจนั้นก็ถูกส่งมาให้ Lady Bird อ่านจนได้ การเขียนที่ดี มันคือการเขียนด้วยความจริงใจ แม้ภาษามันจะไม่สละสลวยสวยงาม แต่มันรับรู้ได้ และมันจะกระทบความรู้สึกสุดๆ
เราชอบตอนจบของหนังเรื่องนี้มาก มันสรุปเรื่องราวของหนังได้ดี การเดินทางของ Lady Bird สู่การเป็น Christine McPherson อย่างเต็มภาคภูมิ การค้นหาตัวตน การทำความเข้าใจตัวตน การรู้จักตัวเอง ต้องผ่านการเดินทาง ต้องผ่านเรื่องราวต่างๆ บางทีสิ่งที่เราเป็น อาจมีที่มาที่ไปบางอย่าง จริงๆแล้วเราอาจไม่ได้ไม่ชอบสิ่งที่ตัวเราเป็นก็ได้ เพียงแต่มันอาจต้องใช้เวลาผ่านการเดินทางในการเรียนรู้เพื่อยอมรับและทำความเข้าใจมัน
เราชอบบทพูดตอนท้ายที่ Christine ฝากบอกแม่ของเธอผ่านเครื่องรับฝากข้อความที่บ้าน
“แม่ตื้นตันไหม ตอนที่ขับรถครั้งแรกที่ซาคราเมนโต....ส่วนหนูจำได้ดีเลยแหละ”
https://www.facebook.com/MyOwnPrivateFilm/
Lady Bird - บางทีเราอาจจะไม่เคยรู้ตัวเลยว่า จริงๆแล้วเรารู้สึกยังไงกับตัวตนของเรากันแน่ (Spoil)
ด้วยกระแสที่มาแรงตั้งแต่ช่วงที่หนังเริ่มฉายปลายปีที่แล้ว มันทำให้เรามีคาดหวังสูงมาก และเมื่อดูจบ แม้หลายอย่างจะไม่ได้เป็นไปอย่างที่เราคาดคิดไว้ในตอนแรก แต่สิ่งที่มันเกิดขึ้นในหนังเรื่องนี้ กลับยอดเยี่ยมไปในแนวทางของตัวเอง ยอมรับเลยว่า Lady Bird มีเอกลักษณ์และโดดเด่นมากๆ
เราชอบหนังเรื่องนี้มาก หนังเรื่องนี้มีเสน่ห์สุดๆ สิ่งที่หนังจะสื่อสารมีพลังมากๆ เราไม่รู้ว่ารายละเอียดต่างๆในหนังเรื่องนี้มันคือสิ่งที่ตั้งใจไว้หรือไม่ แต่รายละเอียดต่างๆเหล่านี้ กลับกลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์มากๆของหนังเรื่องนี้
หากจะไม่พูดถึงบทภาพยนตร์ที่ยอดเยี่ยมของหนังเรื่องนี้ ก็คงจะไม่ได้ บทภาพยนตร์ที่ละเอียดและลงลึกขนาดนั้น มันส่งให้หนังเรื่องนี้สื่อสารกับคนดูได้อย่างลงตัว แม้หนังจะเล่าเรื่องของช่วงวัยรุ่นของเพศหญิง แต่เรากลับรู้สึกว่าหนังมันสื่อสารกับคนได้ทุกเพศทุกวัย เรารู้สึกว่าทุกคนเชื่อมโยงกับหนังได้ เราเคย “ไม่ชอบในสิ่งที่เราเป็นอยู่ ไม่ชอบที่ที่เราอยู่” บ้างไหมละ เราเชื่อว่าช่วงหนึ่งของชีวิต จะต้องมีบางจังหวะที่เราคิดเหมือนตัวละครในเรื่องนี้
ดนตรีและเพลงประกอบ ที่เข้ากับจังหวะของหนัง เพลง Drive Home ที่ขึ้นมาตอนซีนที่แม่ขับรถกลับมาบ้านในตอนเช้ามันส่งอารมณ์ได้ดีมาก ทั้งแสงในบรรยากาศข้างทาง แม่มองผ่านกระจกหน้าต่างรถออกไปดู รอยยิ้มของแม่ที่เกิดขึ้น มันแทนความรู้สึกแม่ได้เป็นอย่างดี ใครมาว่า ว่าซาคราเมนโตไม่ดี เราว่าแม่คงเถียงขาดใจแน่ๆเลย 55
ผลงานของผู้กำกับหญิง วัยเพียง 34 ปี Greta Gerwig ที่เราเคยประทับใจการแสดงของเธอสุดๆจากเรื่อง 20th Century Women เธอสร้างความแปลกใจให้เราเป็นอย่างมาก เพราะนี่เป็นผลงานการกำกับภาพยนตร์แบบโซโล่เดี่ยวครั้งแรกของเธอ เรารู้สึกว่าหนังของเธอมีพลังสุดๆ การใส่รายละเอียดต่างๆในหนังทำได้ลงตัวพอดี มีความตั้งใจในการออกแบบหนังให้เป็นสไตล์ของตัวเอง ดูเผินๆอาจรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้ธรรมดาทั่วไป แต่เรากลับรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวสุดๆ และเราว่าเธอมีเรื่องที่ต้องการสื่อสารชัดเจน แล้วเธอก็มั่นคงในการสื่อสารนั้นตั้งแต่ต้นจนจบซีนสุดท้ายเลย
การแสดงของ Saoirse Ronan มีเสน่ห์สุดๆ มันเต็มไปด้วยความสมจริงและเข้าถึงบทบาท เธอกลายเป็น Christine “Lady Bird” McPherson อย่างเต็มตัว นี่คือนักแสดงหญิงรุ่นใหม่ที่จะก้าวขึ้นมาเป็นสุดยอดนักแสดงชั้นนำในวงการอย่างแน่นอน
เรื่องนี้เธอเด่นในด้านความเป็นธรรมชาติมากๆ การแสดงที่ไม่ล้นและไม่ดร็อปเกินไป เธอเล่นได้พอดีลงตัว ซีนที่ต้องแสดงความรู้สึกๆลึกๆ มันก็ถูกส่งออกมาให้รับรู้ได้จริงๆ บทที่เธอเล่นเรื่องนี้ เรียกว่าครบรสเลยทีเดียว
ซีนที่เราชอบในหนังเรื่องนี้ คือซีนจบ ที่สรุปเรื่องราวทุกอย่างของหนังได้ดี การแสดงของ Saoirse ทางสีหน้าแววตาและน้ำเสียงมันซึมลึกสุดๆ การที่จะบอกความรู้สึกกับใครสักคน หากเราไม่ได้รู้สึกแบบนั้นจริงๆมันจะถูกฟ้องผ่านทางสีหน้าแววตา แต่ซีนนี้มันปราศจากสิ่งเหล่านั้น มันคือการบอกความรู้สึกที่จริงใจและบริสุทธิ์ที่สุด ภาพสุดท้ายที่จับไปที่หน้า Christine ก่อนการตัดเข้าฉากจบสีดำ มันยังตราตรึงใจเราอยู่เลย
หนังเล่าเรื่องชีวิตของ Christine McPherson นักเรียนหญิง ชั้นมัธยมปีที่ 6 เธอรู้สึกมาตลอดว่าแม่ไม่รู้สึกภูมิใจในตัวเธอ เธอแทบไม่เคยทำอะไรได้เป็นชิ้นเป็นอัน แม้กระทั่งแค่การหัดขับรถ แม่เธอไม่เชื่อว่าเธอจะขอทุนไปเรียนต่อในเมืองใหญ่ๆได้ เธอใช้ชีวิตเติบโตที่เมืองซาคราเมนโต รัฐแคลิฟอร์เนีย แต่เธอไม่ชอบที่นี่ เธอไม่ชอบที่ที่เธอเติบโตขึ้นมา เธอต้องการไปจากที่นี่ เธอต้องการไปเรียนต่อที่อื่น เธออาจไม่ชอบตัวเธอมากกว่าสถานที่ที่เธอเติบโตขึ้นมาเสียอีก หรือจริงๆเธอแค่อยากให้คนอื่นชอบเธอบ้าง
เริ่มต้นเปิดเทอมมัธยมที่ 6 ด้วยบทพูดของบาทหลวง
“พวกเรากลัวว่าจะหนีจากอดีตของตัวเองไม่ได้
พวกเรากลัวสิ่งที่กำลังจะมาถึงในอนาคต
พวกเรากลัวที่จะไม่ได้เป็นที่รักของคนอื่น
พวกเรากลัวว่าคนอื่นจะไม่ชอบเรา
พวกเรากลัวที่จะไม่ประสบความสำเร็จ”
เธอมีชื่อจริงๆว่า Christine McPherson แต่เธอไม่ชอบชื่อนี้ที่พ่อแม่ตั้งให้ เธอเลยตั้งชื่อตัวเองขึ้นมาใหม่ว่า “Lady Bird” เธอเชื่อว่าเธอกำหนดตัวเธอเองได้
เธอเริ่มวางแผนในการสมัครเรียนต่อมหาวิทยาลัยในเมืองใหญ่ๆทางฝั่งตะวันออก อย่างเช่น New York โดยการขอทุนเรียน ที่บ้านของเธอไม่สามารถหาเงินมาส่งเธอเรียนได้ พ่อของเธอเพิ่งโดนเลิกจ้างจากบริษัท ส่วนแม่ทำงานเป็นพยาบาลในโรงพยาบาทประสาท มีเวลาทำงานที่ไม่แน่นอน แต่แม่ของเธอไม่สนับสนุนให้เธอไปเรียนไกลๆ แม่ของเธออยากให้เธอเรียนใกล้บ้าน
ความรักในช่วงวัยรุ่นยังเป็นสิ่งที่มีเสน่ห์เสมอ เธอได้เล่นละครเวทีกับ Danny จนต่อมาได้ออกเดทด้วยกัน ในคืนนั้นที่ทั้งคู่ออกเดท พวกเขาตั้งชื่อให้ดาวของพวกเขา Danny ตั้งชื่อดาวว่า Claude ส่วน Lady Bird ตั้งว่า Bruce พวกเขาอาจลืมไปว่า พวกเราต่างตั้งชื่อให้สิ่งอื่นทั้งนั้น ดวงดาวยังไม่มีโอกาสได้บอกเลยว่า ชอบชื่อนี้หรือไม่ ว่าแต่...มันสำคัญแค่ไหนกัน
ในคืนวันสุดท้ายของการแสดงละครเวทีของพวกเขา Lady Bird บังเอิญได้รู้ความจริงว่า Danny เป็นเกย์ แต่เราชอบตรงที่หนังไม่ได้เล่าให้เห็นความฟูมฟายของเธอ เธอแค่เศร้า แต่เธอเข้มแข็งมาก มันไม่ได้ทำให้เธอใช้ชีวิตต่อไปไม่ได้ เธอเริ่มเปิดใจเรียนรู้คนใหม่ๆ เราชอบตอนสุดท้ายของความสัมพันธ์นี้ มันยังสวยงามอยู่ ซีนที่ Danny ไปหา Lady Bird ที่ร้านกาแฟที่เธอทำงานอยู่ และได้มาคุยกันที่หลังร้าน พวกเขาเหมือนจะทะเลาะกัน จนสุดท้าย Lady Bird ตะคอกกลับไปว่า “นายเป็นเกย์” จน Danny ถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ขอร้อง Lady Bird ไม่ให้บอกเรื่องนี้กับคนอื่น แล้วโผเข้ากอดเธอ Lady Bird ก็รับปาก เราชอบซีนนี้มาก เรารู้สึกว่าสุดท้ายความสัมพันธ์มันเป็นได้หลากหลายรูปแบบ คนที่เลิกกันไปแล้ว ยังสามารถเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้นะ
ความสัมพันธ์ครั้งใหม่กับ Kyle ที่ดูเหมือนจะสวยงามและน่าค้นหานั้น สุดท้ายมันก็แค่ผ่านมาให้เรียนรู้ ให้ประสบการณ์บางอย่างกับเธอ เธอประทับใจ Kyle ก่อน รวมไปถึงเริ่มเข้าหาก่อนด้วยและ Kyle ก็เล่นด้วย แม้ Kyle จะดูมีเสน่ห์ขนาดไหนก็ตาม แต่การโกหกของเขา ก็เป็นสิ่งที่เธอไม่อาจรับได้เช่นกัน เราเองดูแล้ว ก็รู้สึกว่าความสัมพันธ์ครั้งนี้มันฉาบฉวยมาก แต่ก็เข้าใจได้ว่า มันเกิดขึ้นได้ง่ายในช่วงวัยนี้ เราคิดว่าบางทีความสัมพันธ์กับเกย์อย่าง Danny ยังจะสวยงามกว่าความสัมพันธ์ครั้งนี้ซะอีก
ความสัมพันธ์กับพ่อ ก็เป็นสิ่งที่น่ารักมากในเรื่องนี้ แม้พ่อของเธอจะเพิ่งถูกเลิกจ้าง และเธอก็เพิ่งมารู้ว่า พ่อของเธอเป็นโรคซึมเศร้ามานานแล้ว แต่หนังไมได้ฉายซีนซึมเศร้าเหล่านั้นให้เราเห็น พ่อเหมือนเป็นที่เพิ่งของ Lady Bird เสมอ เพราะเธอรู้สึกว่าแม่ไม่เข้าใจและไม่ได้สนับสนุนเธอ หรือจริงๆมันอาจะเป็นพราะว่าเธอกับแม่เหมือนกันเกินไป อย่างที่พ่อบอกกับเธอ
เธอสงสัยว่าทำไมพ่อเธอถึงเป็นโรคซึมเศร้า แม่บอกว่า “เงินไม่ใช่สิ่งที่จะมาประเมินชีวิตของเรา การประสบความสำเร็จไมได้มีความหมายลึกซึ้งอะไร มันก็แค่มีความหมายว่า เราประสบความสำเร็จ...แค่นั้น แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะมีความสุข”
ความสัมพันธ์ของ Christine กับแม่ เป็นความสัมพันธ์ที่มีเสน่ห์และจริงสุดๆ เธอเหมือนแม่ของเธอมาก เขาทั้ง 2 เป็นคนมั่นใจในตัวเอง หัวรั้นทั้งคู่ เวลาพูดคุยกันทีไร ก็จะทะเลาะกันตลอด เพราะต่างคนต่างไม่ยอม ในช่วงวัยรุ่น มันคงเกิดคำถามขึ้นมาเยอะว่า ที่แม่ชอบว่าเธอ ไม่ฟังเธอบ้าง มันเพราะอะไรกันแน่ หรือว่า แม่ไม่ชอบเธอหรือเปล่า เราเชื่อว่า ทุกคนในช่วงวัยรุ่น จะเกิดการตั้งคำถามประมาณนี้กันมาแล้วทุกคน ซึ่งบางครั้งมันไม่จำเป็นต้องหาคำตอบให้ได้ภายในทันที บางอย่างต้องใช้เวลาเป็นเครื่องมือในการค้นหาคำตอบ
ซีนที่แม่เย็บเสื้อที่จะใส่ไปในวัน Thanksgiving ให้ Lady Bird เพื่อให้ใส่ได้พอดีตัว แล้วนำไปแขวนไว้ในห้องเธอ มันสื่อสารบางอย่าง บางทีต่อหน้า เราก็คุยกันไม่ค่อยได้ดีหรอก แต่พอลับหลัง มันกลับง่ายมากในการแสดงความรู้สึกออกมา
ซีนที่ลองชุดไปใส่ไปงานพรอม เธอถามแม่ว่าชุดที่เธอใส่เป็นไงบ้าง แม่ตอบไปด้วยความตรงไปตรงมา จนเธอเริ่มน้อยใจว่าทำไมแม่ไม่เคยชมเธอบ้าง แม่อธิบายไปว่า แม่แค่พูดความจริง
เธอตอบกลับไปว่า “หนูแค่อยากให้แม่ชอบหนูบ้าง”
แม่บอกว่า “แน่นอน แม่รักหนู”
เธอถามแบบตัดพ้อกลับไปว่า “แล้วแม่ชอบหนูไหม”
แม่บอกว่า “แม่แค่อยากให้หนูเป็นตัวของหนูเองในแบบที่ดีสุดเท่าที่หนูจะเป็นได้”
เธอตอบกลับไปว่า “แล้วถ้าแบบที่หนูเป็นอยู่เนี่ย คือดีที่สุดแล้วล่ะ”
แม่ไม่เคยอยากให้เธอไปเรียนที่รัฐไกลๆ แต่ตรงข้ามกับความคิดเธอ เธอแอบไปขอทุนเพื่อไปเรียนต่างเมือง โดยมีพ่อเป็นคนคอยช่วยสนับสนุน ในวันจบการศึกษาแม่เพิ่งรู้ความจริงว่า เธอได้เป็นตัวสำรองในการขอทุนไปเรียนต่อ แม่โกรธมาก จนไม่ยอมคุยกับเธอเลย จนกระทั่งวันสุดท้ายที่ไปส่งเธอขึ้นเครื่องบินเดินทางไปเรียนต่อ
ซีนที่ทรงพลังอีกซีนหนึ่ง คือ ซีนที่แม่ขับรถไปส่ง Lady Bird ไปเรียนต่อที่สนามบิน แล้วเธอไม่ยอมลงไม่ส่ง เพราะยังโกรธอยู่ แต่พอขับรถออกมา เธอก็เริ่มรู้สึกบางอย่าง การแสดงของ Laurie Metcalf มันทรงพลังสุดๆ เธอค่อยๆรู้สึกบางอย่าง มันค่อยๆผ่านออกมาทางสายตา เธอเริ่มอยากลงไปร่ำลาลูกของเธอ เธอวนรถกลับไป แล้วรีบวิ่งลงไปหา Lady Bird แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว เธอกอดสามีเธอแล้วร้องไห้ มันสื่อความรู้สึกเธอได้เป็นอย่างดี
“บางทีเราอาจจะไม่เคยรู้ตัวเลยว่าจริงๆแล้วเรารู้สึกยังไงกับตัวตนของเรากันแน่”
บางครั้งในชีวิตเรา เราก็ไม่เคยรู้ว่าจริงๆแล้ว เราอยากเป็นอะไร เราไม่เคยรู้ว่าสิ่งที่เราเป็นอยู่มันดีไหม หรือเราแค่อคติกับบางสิ่งบางอย่าง จึงไม่ชอบในสิ่งที่เป็นอยู่ บางทีเราอาจไม่เคยได้รู้ว่า สิ่งที่เราอยากเป็นนั้น มันดีกว่าที่เราเป็นอยู่ยังไง
Sister ทัก Lady Bird จากเรื่องราวที่เธอเขียนเพื่อขอทุนเรียนต่อ
Sister พูดกับ Lady Bird ว่า “เธอดูรักซาคราเมนโตมากนะ เธอเขียนเล่าถึงซาคราเมนโตด้วยความรู้สึกรักและแคร์มากๆ”
“หนูก็แค่อธิบายมันน่ะ” เธอตอบ
“ก็ใช่ แต่ดูเหมือนมันจะเป็นความรู้สึกรักนะ” Sister อธิบาย
“ใช่ค่ะ ก็หนูใส่ใจมันนี่คะ” เธอบอก
“แล้วเธอไม่คิดเหรอว่ามันคือสิ่งเดียวกันน่ะ ‘รัก’ กับ ‘ใส่ใจ’ ”
สุดท้าย Lady Bird ก็ได้ทุนเรียนต่อตามที่หวังไว้ สิ่งหนึ่งที่เธอเข้าใจตัวเองแล้ว
คือชื่อของเธอคือ Christine McPherson ที่พ่อแม่ของตั้งให้ เธอพูดกับชายหนุ่มที่เจอในผับว่า “ผู้คนยอมใช้ชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้ แต่ไม่เชื่อในพระเจ้า” เธอสงสัยว่า ทำไมผู้คนไม่เคยมีคำถามแบบที่เธอสงสัย ทำไมคนไม่เคยตั้งคำถามกับชื่อที่ถูกตั้งให้ ทำเราไม่เคยสงสัยถึงตัวตนของเรา ทำไมเราไม่เคยถามตัวเองว่า เราคือใคร ทำไมสิ่งที่เราควรตั้งคำถามที่สุด เรากลับไม่ค่อยได้สนใจมันจริงๆ
แม้แม่จะโกรธ Lady Bird แค่ไหน แต่จริงๆแล้วเธอก็รัก Lady Bird มากๆ เธอพยายามเขียนโน๊ตเพื่อให้ Lady Bird ก่อนไปเรียนต่อ เพื่อบอกว่าเธอรัก Lady Bird มากแค่ไหน แต่เธอก็ไม่ได้มอบให้ เพราะกลัวว่าเขียนมันออกมาได้ไม่ดี แต่สุดท้ายความรู้สึกที่จริงใจนั้นก็ถูกส่งมาให้ Lady Bird อ่านจนได้ การเขียนที่ดี มันคือการเขียนด้วยความจริงใจ แม้ภาษามันจะไม่สละสลวยสวยงาม แต่มันรับรู้ได้ และมันจะกระทบความรู้สึกสุดๆ
เราชอบตอนจบของหนังเรื่องนี้มาก มันสรุปเรื่องราวของหนังได้ดี การเดินทางของ Lady Bird สู่การเป็น Christine McPherson อย่างเต็มภาคภูมิ การค้นหาตัวตน การทำความเข้าใจตัวตน การรู้จักตัวเอง ต้องผ่านการเดินทาง ต้องผ่านเรื่องราวต่างๆ บางทีสิ่งที่เราเป็น อาจมีที่มาที่ไปบางอย่าง จริงๆแล้วเราอาจไม่ได้ไม่ชอบสิ่งที่ตัวเราเป็นก็ได้ เพียงแต่มันอาจต้องใช้เวลาผ่านการเดินทางในการเรียนรู้เพื่อยอมรับและทำความเข้าใจมัน
เราชอบบทพูดตอนท้ายที่ Christine ฝากบอกแม่ของเธอผ่านเครื่องรับฝากข้อความที่บ้าน
“แม่ตื้นตันไหม ตอนที่ขับรถครั้งแรกที่ซาคราเมนโต....ส่วนหนูจำได้ดีเลยแหละ”
https://www.facebook.com/MyOwnPrivateFilm/