ห้องเพลง**คนรากหญ้า**พักยกการเมือง มุมเสียงเพลง มุมนี้ไม่มีสีไม่มีกลุ่ม มีแต่เสียง 4/3/2561 - ข้ายอมทำผิดต่อชาวใต้หล้า

กระทู้คำถาม


สวัสดีครับอมยิ้ม17 สมาชิกห้องเพลงทุกๆท่าน วันนี้ วันอาทิตย์ MC แอ๊ด (WANG JIE) เข้าประจำการอีก 1 วันครับ อมยิ้ม36

วันนี้ จะกล่าวถึง บุรุษในประวัติศาสตร์จีนผู้หนึ่ง ซึ่งในวรรณกรรม มักจะแสดงว่าเขาเป็นทรราช โหดร้าย ป่าเถื่อน แต่ในทางประวัติศาสตร์กลับปรากฏว่า เป็นผู้ปกครองที่ชาญฉลาด เป็นแม่ทัพผู้ปรีชาสามารถ ฯลฯ แต่อย่างไรก็ตาม เขามีวาทะซึ่งเป็นอมตะมาจนถึงทุกวันนี้ นั่นคือคำพูดที่ว่า “宁教我负天下人,休教天下人负我 (หนิงเจี้ยวหว่อฟู่เทียนเซี่ย,ซูเจี้ยวเทียนเซี่ยเหรินฟู่หว่อ)=“ข้ายอมทำผิดต่อคนในใต้หล้า แต่ไม่ยอมให้คนในใต้หล้าผิดต่อข้า” ใช่แล้ว...บุคคลสำคัญคนหนึ่งในเรื่องสามก๊ก...โจโฉ


ภาพโจโฉ จาก สมุดภาพไตรภูมิ (三才圖會) ซึ่งเผยแพร่ในราชวงศ์หมิงเมื่อ ค.ศ. 1609


โจโฉ (曹操 จีนกลางออกเสียงเป็น เฉาเชา) ค.ศ. 155 – 15 มีนาคม ค.ศ. 220) มีชื่อรองว่า เมิ่งเต๋อ (孟德) ชื่อเล่นว่า อาหมาน (阿瞞) และ จี๋ลี่ (吉利) เป็นขุนศึกและอัครมหาเสนาบดีลำดับรองสุดท้ายแห่งราชวงศ์ฮั่นตะวันออกผู้เถลิงอำนาจช่วงปลายราชวงศ์ ทั้งเป็นบุคคลหนึ่งซึ่งมีบทบาทสำคัญที่สุดในสมัยสามก๊ก และเป็นผู้วางรากฐานรัฐเว่ย์หรือวุย (魏) เมื่อสิ้นชีวิตแล้วได้รับการสถาปนาเป็น "อู่หวาง" หรือพระเจ้าอู่ (武王) หรือ "อู่ตี้" จักรพรรดิอู่ (武帝)

โจโฉ เป็นบุตรชายของ โจโก๋ ซึ่งเป็นบุตรบุญธรรมของมหาขันทีโจเท้ง ซึ่งเดิมทีโจโก๋เป็นคนในสกุลแฮหัว ดังนั้นโจโฉกับคนสกุลแฮหัวจึงเป็นญาติใกล้ชิดกัน โจโฉเริ่มต้นรับราชการเมื่ออายุ 20 ปี ในตำแหน่ง เป่ยตู้เว่ย (ผู้บังคับการกองทหารนครบาลเหนือ) ภายหลังได้เขาได้เข้ามาอยู่ในสังกัดของ อ้วนเสี้ยว โดยมีตำแหน่งเป็นผู้บังคับการกรมทหารม้าเร็ว แล้วได้รับตำแหน่งให้เป็นแม่ทัพของฝ่ายราชวงศ์ฮั่นที่ออกปราบกบฏโจรโพกผ้าเหลืองซึ่งมีเตียวก๊กเป็นหัวหน้าและมีพระเจ้าเลนเต้เป็นจักรพรรดิ

เชื่อกันว่า โจโฉเป็นคนรูปร่างเล็ก บุคลิกมีนิสัยฉลาดแกมโกง เอาตัวรอดเก่ง เชี่ยวชาญตำราพิชัยสงคราม ชื่นชอบศิลปะ นิสัยรอบคอบ ภายหลังจากปราบโจรโพกผ้าเหลืองได้สำเร็จและได้รับความดีความชอบเป็นอย่างมาก แต่ภายหลังเกิดเหตุการณ์ที่ ตั๋งโต๊ะ ยึดอำนาจและตั้งตนเป็นใหญ่แล้ว โจโฉจึงร่วมรับราชการอยู่กับตั๋งโต๊ะเพื่อคอยหาโอกาสสังหาร แต่ภายหลังลงมือลอบสังหารไม่สำเร็จ จึงรีบหนีออกจากวัง

ระหว่างหลบหนี โจโฉได้ถูกจับตัวและพบกับ ตันก๋ง เจ้าเมืองจงพวน ซึ่งชื่นชมในลักษณะนิสัยใจคอ จึงขอร่วมเดินทางไปด้วย โดยที่โจโฉมุ่งหน้าไปหาแปะเฉีย ซึ่งเป็นพี่น้องร่วมสาบานของโจโฉ ทั้งสองเดินทางด้วยกันจนถึงเฉิงกาว

ระหว่างทางฟ้ามืดโจโฉได้ขอเข้าพักค้างคืนที่บ้านลิแป๊ะเฉียผู้ที่เสมือนพี่น้องร่วมสาบานของพ่อ ลิแป๊ะเฉียได้สนทนาสอบถามกับโจโฉและเตรียมการต้อนรับ จึงเข้าไปสั่งคนในบ้านให้เตรียมฆ่าหมูเพื่อเลี้ยงรับโจโฉและตันก๋ง ลิแป๊ะเฉียได้ขอออกไปหาซื้อเหล้าดีในหมู่บ้านเพื่อนำมาเลี้ยงต้อนรับ ระหว่างรออยู่ที่บ้านนั้น โจโฉและตันก๋งได้ยินเสียงลับมีดดังแว่วมา ทั้งสองจึงค่อยย่องเข้าไปฟัง ได้ยินคนเหล่านั้นคุยกันว่า “มัดแล้วฆ่าเลย ดีมั้ย” โจโฉได้ยินดังนั้นก็คิดว่าลิแป๊ะเฉียจะสั่งฆ่าตนเพื่อเอารางวัลตามหมายจับของตั๋งโต๊ะ จึงชักกระบี่เข้าไปฆ่าคนในบ้านตายหมดสิ้น จนมาถึงห้องครัวเห็นหมูถูกมัดอยู่ ทั้งสองเข้าใจในเจตนาที่แท้จริงของลิแป๊ะเฉียแล้ว แต่ก็สายเกินไป

โจโฉและตันก๋งรีบออกเดินทางโดยทันทีและพบลิแป๊ะเฉียซื้อเหล้าและอาหารกลับมาเพื่อเลี้ยงต้อนรับพวกตนจริงๆ โจโฉหวาดระแวงว่า ลิแป๊ะเฉียกลับถึงบ้านเห็นคนในบ้านถูกฆ่าตายหมดคงโกรธและนำพวกตามจับตน จึงฆ่าลิแป๊ะเฉียตายในทันที

ความโหดเหี้ยมของโจโฉ ทำให้ ตันก๋งตกใจ จึงว่าโจโฉที่สังหารผู้มีบุญคุณ และขอแยกทาง ซึ่งโจโฉได้กล่าวประโยคอมตะบันลือโลกนั้นกับเขาว่า ข้ายอมทำผิดต่อชาวใต้หล้า แต่จะไม่ยอมให้ชาวใต้หล้าทำผิดต่อข้า (ประโยคนี้นิยมแปลกันว่า "ข้ายอมทรยศคนทั้งโลก แต่ไม่ยอมให้ใครทรยศข้า" ซึ่งเป็นการ "แปลสรุปรวมความ" เพราะในภาษาจีน ไม่ได้ใช้คำว่า "ทรยศ" แต่ใช้คำว่า "ทำผิด")

ต่อมา โจโฉได้รวบรวมพรรคพวกเพื่อบุกเข้าเมืองหลวงและร่วมมือกับเจ้าเมือง 18 หัวเมือง ตั้งเป็นกองทัพสิบแปดหัวเมืองในภายหลัง โดยมี อ้วนเสี้ยว เป็นแม่ทัพใหญ่ในการปราบตั๋งโต๊ะ ต่อมาภายหลัง โจโฉเริ่มเบื่อหน่ายกับความแตกแยกในกองทัพ จึงรวบรวมกองกำลังทหารที่เห็นด้วยกับตนหลบหนีไป

ภายหลังจากรวมรวมกองกำลังทหารและปราบตั๋งโต๊ะได้สำเร็จ โจโฉเกิดความทะเยอทะยานในอำนาจของตน เข้าทำการข่มขี่ฮ่องเต้วัยเยาว์ จนได้รับการแต่งตั้งเป็นสมุหนายก (ในสามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลังแปลตำแหน่งนี้ว่าเป็น "มหาอุปราช" และทำให้คนไทยคุ้นกับตำแหน่งชื่อนี้มากกว่า) และเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระเจ้าเหี้ยนเต้ สร้างความคับแค้นใจให้พระเจ้าเหี้ยนเต้ จนต้องแอบเขียนหนังสือด้วยโลหิตถึงเล่าปี่ เพื่อช่วยปราบโจโฉ

ต่อมา โจโฉ ได้ครองเมืองลกเอี๋ยง ซึ่งมีฐานะเป็นเมืองหลวง และสถาปนาวุยก๊กซึ่งมั่งคั่งและอุดมสมบูรณ์มากที่สุด แต่ด้วยนิสัยหวาดระแวงของโจโฉ ทำให้สั่งประหารบุคคลสำคัญของวุยก๊กจำนวนมากโดยที่พวกนั้นไม่มีความผิด

ภายหลังโจโฉสามารถปราบความวุ่นวายและขุนศึกกองกำลังต่างๆในภาคกลางและเหนือได้ ไม่ว่าจะเป็น ลิโป้ อ้วนสุด เตียวซิ่ว อ้วนเสี้ยว เล่าเปียว โดยเฉพาะศึกกับอ้วนเสี้ยวที่กัวต๋อ ซึ่งฝ่ายโจโฉมีกำลังทัพด้อยกว่าทุกด้าน แต่กลับพลิกสถานการณ์จนสามารถเอาชัยชนะมาได้ ทำให้เขากลายเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดเหนือแผ่นดินจงหยวน

จากนั้น โจโฉจึงระดมกองทัพหลายแสนบุกภาคใต้ เพื่อปราบปราม เล่าปี่ และ ซุนกวน ซึ่งจับมือเป็นพันธมิตรกัน และด้วยความประมาทบวกกับปัจจัยต่างๆ ทำให้กองทัพของโจโฉไปพ่ายแพ้อย่างยับเยินที่ผาแดง ซึ่งศึกที่ผาแดงนี้เป็น 1 ใน 3 สงครามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในสามก๊ก และทำให้ดุลย์อำนาจในแผ่นดินถูกแบ่งเป็นสามฝ่าย แต่แม้ว่าจะพ่ายแพ้ โจโฉก็ยังคงมีกองกำลังที่เข้มแข็งที่สุดในแผ่นดิน และพยายามแผ่ขยายอิทธิพลของตนเพื่อปราบปรามเล่าปี่และซุนกวนต่อไป

ต่อมาพระเจ้าเหี้ยนเต้ได้แต่งตั้งให้โจโฉขึ้นเป็นวุยอ๋อง ทำให้มีอำนาจประดุจฮ่องเต้ และตั้งเมืองเย่ขึ้นเป็นเมืองหลวงของแคว้นวุย สร้างอิทธิพลและบารมีจนยิ่งใหญ่ในแผ่นดินและกลายเป็นหนึ่งในสามผู้นำที่คานอำนาจในแผ่นดินร่วมกับเล่าปี่และซุนกวน ซึ่งโจโฉเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จในการรวบรวมดินแดนได้กว้างไกลที่สุด มีแสนยานุภาพทางทหารเข้มแข็งที่สุดและรวบรวมบุคลากรที่เก่งกาจในยุคนั้นไว้ได้มากที่สุดในแผ่นดิน

โจโฉมีบุตรชายทั้งหมด 5 คน คนแรกชื่อโจงั่ง ซึ่งเกิดจากนางเล่าฮูหยิน แต่เสียชีวิตเมื่อครั้งเกิดศึกสงครามกับเตียวสิ้วพร้อมกับภรรยาอีกคนหนึ่งคือนางเอียนสี โจโฉยังมีบุตรชายกับภรรยาคนที่สองซึ่งภายหลังกลายเป็นภรรยาเอกคือนางเปี้ยนสี อีก 4 คนคือ โจผี โจเจียง โจสิด และ โจหิม โจหิมป่วยหนัก และเสียชีวิตแต่ยังหนุ่ม บุตรชายที่เหลือทั้ง 3 ได้รับราชการและสร้างผลงานเอาไว้ชัดเจน

ในบั้นปลายชีวิต โจโฉป่วยเป็นโรคประสาท มักปวดหัวเป็นประจำ ว่ากันว่าเกิดขึ้นหลังจากแม่ทัพกวนอูแห่งจ๊กก๊กได้ถูกตัดหัวด้วยฝีมือของซุนกวนแห่งง่อก๊ก ซุนกวนก็คิดที่จะส่งหัวของกวนอูไปให้โจโฉ เพื่อให้เล่าปี่หันไปล้างแค้นกับโจโฉแทนที่จะมาล้างแค้นตน เมื่อกล่องใส่หัวของกวนอูมาถึงมือโจโฉ โจโฉเปิดกล่องมองดูหัวของกวนอูก็หัวเราะและทักทาย แต่แล้วจู่ๆหัวของกวนอูก็เบิกตาโพลงอ้าปากค้าง ทำให้โจโฉตกใจจนตกจากเก้าอี้ หลังจากนั้นเมื่อได้ฟังเรื่องลิบองถูกวิญญาณของกวนอูเข้าสิงลุกขึ้นด่าซุนกวนจนกระอักเลือดตาย ก็เกิดความกลัวจนพูดว่า "ขนาดกวนอูตอนเป็นๆ ยังดูน่ากลัว ตอนตายก็ดูน่ากลัวเข้าไปใหญ่อีก" (และโจโฉก็รู้แผนของซุนกวนว่าปัดภัยมาให้ตน) จึงสั่งให้สลักร่างกายด้วยไม้หอมให้แก่กวนอูและฝังศพกวนอูทางทิศใต้ของเมืองลกเอี๋ยงและแต่งตั้งกวนอูเป็นอ๋องแห่งเกงจิ๋ว ตนก็จะไปเซ่นไหว้ให้แก่กวนอู

หลังจากงานศพของกวนอูผ่านไป จิตใจของโจโฉก็อยู่ไม่เป็นสุขทุกคืน จึงคิดจะสร้างตำหนักใหม่ แต่ขาดเสาเอก แล้วก็ได้พบว่ามีศาลแห่งหนึ่งที่มีต้นสาลี่ใหญ่สูงกว่า 100 ศอกเหมาะที่จะเอามาทำเป็นเสาเอก โจโฉสั่งให้โค่นลงแต่คนตัดไม้ไม่สามารถโค่นลงได้จึงไปรายงานให้กับโจโฉ โจโฉจึงไปดูต้นสาลี่ด้วยตัวเอง เมื่อสำรวจแล้วก็สั่งให้คนตัดไม้โค่นอีก แต่ก็ได้รับเสียงค้ดค้านจากชาวบ้านว่าต้นสาลี่นั้นศักดิ์สิทธิ์ มีเทพคุ้มครองอยู่ โค่นไม่ได้ แต่โจโฉหาได้ใส่ใจไม่ และบอกกับชาวบ้านว่า"ข้ากรำศึกมากกว่าสี่สิบปี ไม่เคยกลัวผู้ใด มีแต่ไพร่สามัญจนถึงฮ่องเต้ล้วนเกรงกลัวข้า ภูตผีที่ไหนกล้าขวางข้า" จึงชักดาบฟันต้นสาลี่ ทำให้มียางไม้ที่มีสีคล้ายเลือดพ่นออกมาถูกเสื้อ โจโฉก็เผ่นหนีไปด้วยความหวาดกลัว จากนั้นเขาก็มีอาการปวดหัวหนักขึ้น

ต่อมา หมอฮัวโต๋ ได้มาทำการตรวจอาการของโจโฉ ก็พบว่า ลมในสมองมันตีบ ซึ่งต้นเหตุอยู่ในกะโหลก และเสนอการรักษาด้วยการให้ผ่ากะโหลกศีรษะ โจโฉกลับคิดว่าฮัวโต๋จะฆ่าตน จึงสั่งให้จับไปขังคุกและทรมานสอบสวน แม้จะได้รับการคัดค้านจากที่ปรึกษาก็ไม่ฟัง ฮัวโต๋ก็ถูกจับขังคุกจนตาย

ต่อมา โจโฉได้จัดงานเลี้ยง แม้จะปวดหัวก็ยังทนได้ และได้รับจดหมายจากซุนกวนว่า ขอให้โจโฉขึ้นมาเป็นฮ่องเต้ ปราบปรามเล่าปี่พิชิตเสฉวน เมื่อปราบได้ก็จะมาสวามิภักดิ์ แต่โจโฉกลับไม่เชื่อ ทว่าเหล่าที่ปรึกษาและทหารกลับเห็นด้วย จึงได้พากันอ้อนวอนขอให้ขึ้นมาเป็นฮ่องเต้ แต่โจโฉไม่รับและขอเป็นวุยอ๋องก็พอแล้ว

หลังจากนั้น อาการของโจโฉก็ทรุดหนักขึ้นเรื่อยๆ จนซบเซานอนลงบนเตียง แต่ในขณะที่หลับ เขาฝันเห็นวิญญาณที่ตนเคยฆ่ามาก่อนตามทวงเอาชีวิตจนสะดุ้งตื่นขึ้นชักดาบจนทำให้เหล่านางกำนัลต้องเผ่นหนีกระเจิงไป ที่ปรึกษาก็ได้แนะนำให้เชิญนักพรตลัทธิเต๋ามาช่วยทำพิธีปัดรังควาน แต่โจโฉก็ได้พูดเหมือนหมดอาลัยตายอยากว่า ฟ้าได้ลงโทษแล้ว ไม่อาจฏีกาหรือขอขมาได้เลย ตนหมดบุญเพียงเท่านี้แล้ว ไม่อาจช่วยได้แล้ว

โจโฉได้สั่งเสียกับเหล่าที่ปรึกษาและทหารของตนว่า ให้ช่วยค้ำจุนโจผีบุตรชายคนรองผู้เป็นทายาทต่อจากตน และทำการใหญ่ด้วยการรวบรวมแผ่นดินจีนให้ได้ และก็ได้สั่งให้สร้างสุสานไว้ 72 แห่งที่นอกจวนเตียวเต้งและเกียงบู๋ กับสั่งให้ฝังตนไว้ในสุสานใดสุสานหนึ่งใน 72 แห่ง เพื่อไม่ให้คนรุ่นหลังมาพบเจอ มีแต่เพียงคนที่เชื่อใจได้เท่านั้นที่รู้ว่าตนอยู่หลุมไหน และหลังจากนั้นท่านก็ได้เชิญเหล่าบรรดาภรรยาของท่านมาหาตนเพื่อสั่งเสีย

และช่วงนั้น ตาของโจโฉเกิดบอด มองไม่เห็น จึงได้ใช้มือจับลูบคลำใบหน้าของเหล่าภรรยา เพื่อจดจำว่าเป็นใคร และได้มอบถุงเงินจำนวนหนึ่งให้แก่พวกนางเพื่อให้พวกนางหัดทำงานปัดด้ายทอเกือกขายแลกเอาเงินเลี้ยงตัวเอง และสั่งให้พวกนางอาศัยในหอตั่งเซ็ก ต้องเซ่นไหว้ตนทุกวัน และให้นางกำนัลขับกล่อมตนด้วย หลังจากนั้นก็ได้เสียชีวิต รวมอายุได้ 66 ปี

ภายหลังจากโจโฉเสียชีวิต โจผีได้ถอดพระเจ้าเหี้ยนเต้ออกจากตำแหน่ง และสถาปนาตนเองเป็นพระเจ้าโจผีแห่งราชวงศ์วุย รวมทั้งยกย่องโจโฉขึ้นเป็นจักรพรรดิองค์แรกแห่งราชวงศ์วุย พร้อมถวายพระนามย้อนหลังว่า พระเจ้าเว่ยบู๊ตี้

วันที่ 28 ธันวาคม ค.ศ. 2009 ทางการจีนประกาศว่าได้ขุดค้นพบสุสานที่เชื่อว่าน่าจะเป็นของโจโฉ ที่เมืองอันหยาง มณฑลเหอหนาน ตอนกลางของประเทศจีน โดยสุสานมีอาณาบริเวณ 740 ตารางเมตร มีโครงกระดูกของชายที่น่าจะเสียชีวิตในอายุราว 60 ปี ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นโจโฉ และโครงกระดูกของผู้หญิงอีก 2 ซึ่งน่าจะเป็นมเหสี และป้ายศิลาจารึกพระนามของโจโฉ

เรื่องราวของโจโฉ ก็จบลงแต่เพียงเท่านี้

ขอบคุณ ข้อมูลจาก https://th.wikipedia.org/wiki/โจโฉ และ https://www.facebook.com/samkokview/posts/678037315570034

(มีต่อ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่