Credit: Horia Bogdan/Shutterstock
เมื่อเกือบ 20 ปีก่อนพื้นที่ทุ่งหญ้าใน
Costa Rica
เดิมเป็นพื้นที่แห้งแล้งใช้เลี้ยงปศุสัตว์มีแต่วัชชพืช
แต่ทุกวันนี้ เต็มไปด้วยพืชพรรณป่าไม้บุปฝาชาตินานาชนิด
สิ่งที่ส่งผลมหัศจรรย์ในป่าไม้แห่งนี้คือ
กากส้ม
ในช่วงกลางทศวรรษที่ 1990
Del Oro ผู้ผลิตน้ำส้มใน Costa Rica
กำลังมองหาวิธีที่จะกำจัดเปลือกส้มและเนื้อเยื่อของส้ม
ที่เหลือเป็นกากส้มจำนวนมากหลังจากการสกัด/คั้นน้ำส้มแล้ว
ในตอนแรก ทางบริษัทได้วางแผนที่จะสร้างโรงงานแปรรูปกากส้ม
ให้เป็นสินค้าที่ใช้ในครัวเรือนด้วยการสะกัดไขมันและสารเคมีออกจากกากส้ม
แต่ Daniel Janzen กับ Winnie Hallwachs นักนิเวศวิทยาจาก
University of Pennsylvania
ที่ทำงานวิจัยและเป็นที่ปรึกษาป่าไม้ในพื้นที่ใกล้เคียงกับที่ดินของโรงงาน
ได้เข้ามาพบกับผู้บริหารโรงงานพร้อมกับข้อเสนอแนะ
ที่แตกต่างออกไปจากแนวคิดเดิมที่จะมีการตั้งโรงงานแปรรูป
โดยขอให้ทางบริษัทบริจาคที่ดินราว 3 เฮกตาร์(30,000 ตารางเมตร/18.75 ไร่)
ที่อยู่ติดกับป่าไม้แห่งชาติ
Área de Conservación Guanacaste
ด้วยการทิ้งกากส้มซึ่งเป็นขยะอินทรีย์ทั้งหมดลงในที่ดินบริเวณที่เสื่อมโทรม
โครงการนำร่องดังกล่าวได้นำไปสู่ดินร่วนสีดำ
ที่ดินที่อุดมสมบูรณ์และมีความหลากหลายทางชีวภาพของพืชนานาชนิด
ในปี 1998 ทางบริษัทได้ขนขยะอินทรีย์กากส้มของโรงงาน
ไปทิ้งและทับถมลงไปในพื้นที่เสื่อมโทรมเป็นจำนวนถึง 12,000 เมตริกตัน
แต่โครงการดังกล่าวถูกทำให้ยุติลงด้วยการยื่นฟ้องโดย
TicoFruit บริษัทผลิตน้ำผลไม้ที่เป็นคู่แข่ง
และศาลสูงสุด Costa Rican Supreme Court เห็นพ้องด้วยกับข้อกล่าวหาที่ว่า
ขยะธรรมชาติที่โรงงานทิ้งไว้จะสร้างมลภาวะให้กับป่าไม้แห่งชาติ
แต่ทุกวันนี้ แผ่นดินที่ถูกยุติให้ดำเนินการทิ้งกากส้ม
เพราะผลของคำพิพากษาศาลสูงสุดคอสตาริกา
" จะสร้างความสกปรก/สร้างมลภาวะกับป่าไม้แห่งชาติ "
กลับกลายเป็นผืนป่าไม้ที่เขียวชอุ่ม
อยู่ท่ามกลางทุ่งหญ้าแห้งแล้งที่อยู่กระจัดกระจายโดยรอบ
ผลการศึกษาครั้งใหม่จากนักวิจัยจาก
Princeton University และ University of Pennsylvania
ได้วิเคราะห์ถึงคุณภาพดินและองค์ประกอบของพื้นที่ดังกล่าว
พบว่ามีการเพิ่มขึ้นของชีวมวลของป่าไม้เกือบ 200%
และสายพันธุ์พืชนานาชนิดคิดเป็นจำนวน 3 เท่า
ของพื้นที่ดินเปรียบเทียบที่อยู่ในบริเวณถัดไป
พื้นที่ป่าไม้ที่ได้รับการฟื้นฟูอยู่ทางด้านขวาของถนนที่รกร้าง
พื้นที่ควบคุม/เปรียบเทียบอยู่ทางด้านซ้าย (Tim Treuer)
ครั้งหนึ่ง พื้นที่สำหรับการเลี้ยงปศุสัตว์
เต็มไปด้วยหญ้าแอฟริกันที่ใช้เลี้ยงสัตว์
African pasture grasses
ทำให้เกิดการรุกรานพื้นที่ของพืชพื้นเมืองให้ลดน้อยลงไปมาก
และเมื่อพื้นที่ดังกล่าวถูกทับถมด้วยกากส้ม
และแพร่กระจายไปด้วยกากส้มจนเป็นสีส้มในตอนแรก
พวกหญ้าแอฟริกันก็ถูกกากส้มถมทับจนตายลง
พร้อมกับการเกิดดินร่วนซุยที่ปนเปื้อนอุดมไปด้วยสารอาหารจากเปลือกส้ม
ซึ่งทำให้เกิดดินดำที่อุดมสมบูรณ์สำหรับพืชพื้นเมืองที่จะเจริญเติบโต
การกดทับของกองขยะกากส้มเหมาะสมสำหรับการปรับปรุงพื้นดินในครั้งนี้
เพราะการชะละลายจากน้ำมันหอมระเหยและกรดชนิดต่าง ๆ จากกากส้ม
ซึ่งโดยปกติแล้วมักจะเป็นอันตรายต่อการเจริญเติบโตของพืช
แต่ในขณะเดียวกันการชะละลายของกากส้ม
ได้ปลดปล่อยสารอาหารที่จำเป็นสำหรับพืช
เช่น โพแทสเซียม ไนโตรเจน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งฟอสฟอรัส (
NPK)
ซึ่งมักจะพบน้อยมากในดิน บ่งบอกว่ามันถูกนำมาใช้เกือบหมดแล้วในดิน
ภูมิปัญญาชาวบ้านแถวบ้านมักจะพูดกันง่าย ๆ ว่า
N ทำให้ใบเขียวสวยสดเหมาะกับพืชอายุสั้นพวกผักต่าง ๆ
P บำรุงรากลำต้นกิ่งไม้ให้แพร่กระจายแข็งแรงเหมาะกับไม้ยืนต้น
หรือ พวกรากผักชี มันชนิดต่าง ๆ ที่หัวอยู่ใต้ดิน แครอต เป็นต้น
K ทำให้ดอกผลแข็งแรงติดง่ายมีรสหวานหอมหรือผลผลิตมาก
ทั้งนี้ นับตั้งแต่การทิ้งกากส้มในพื้นที่นี้ตั้งแต่ครั้งแรกเป็นต้นมา
นักวิจัยไม่ได้เข้าไปแทรกแซง/ยุ่งเกี่ยวใด ๆ ในพื้นที่อีกเลย
ทำให้ป่าไม้ทั้งหมดนี้เป็นผลงานของธรรมชาติ
(โดยมีการเก็บตัวอย่างดินในพื้นที่ 2 ครั้งในปีที่ 2 กับปีที่ 16)
ตัวอย่างของดินที่มีการตีพิมพ์เมื่อเดือนที่แล้ว
ในวารสารนิเวศวิทยาการฟื้นฟู
Restoration Ecology
พบว่ามีระดับสารอาหารที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งยังคงมีอยู่จนถึงปลายปี 2014
เมื่อได้ทำการสุ่มตัวอย่างเปรียบเทียบกับพื้นที่รอบ ๆ ที่อยู่ข้างเคียง
มีต้นไม้อยู่ถึง 24 ชนิดในพื้นที่ที่ได้รับการฟื้นฟู
และมีความสมดุลของพืชพันธุ์นานาชนิดมากขึ้น
เมื่อเทียบกับพื้นที่ควบคุมข้างเคียงที่มีต้นไม้อยู่เพียง 8 ชนิด
นักวิจัยยังระบุว่า ทั้งนี้ยังไม่ได้เริ่มนับพืชพันธุ์ชนิดอื่น ๆ
เช่น ไม้พุ่ม ไม้เถา และสายพันธุ์พืชชนิดอื่น ๆ ที่มีขนาดเล็กกว่า
ในช่วงระยะเวลาวิจัยสั้น ๆ นี้ดูเหมือนว่าพื้นที่นี้ได้เป็นป่าไม้อีกครั้ง
“ ผมรู้สึกแปลกใจมาก
พื้นที่ถูกกากส้มทับถมแปลกแยกจากพื้นที่ไม่มีกากส้มทับถม
จากแนวเขตถนนที่ตัดผ่าน ทั้งสองพื้นที่มีความแตกต่างกัน
อย่างเห็นได้ชัดเจนเลยทางระบบนิเวศวิทยา
พื้นที่ด้านที่เป็นทุ่งหญ้ารกร้าง มีต้นไม้ขึ้นเพียงไม่กี่ต้น
แต่อีกด้านกลายเป็นป่าไม้ที่ฟื้นฟูขึ้นมาใหม่
การจะเข้าไปต้องใช้มีดสปาร์ตาแหวกว่ายกรุยทางเข้าไป
และเมื่อตอนที่ผมเจาะดินขึ้นมาตรวจสอบ
ผมรู้ดีเลยว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่พิเศษจริง ๆ
ทำให้ผมต้องอึ้งไปเลย "
Timothy Treuer นักวิจัย Princeton University
และผู้นำทีมในการศึกษาที่เขียนบทความวิจัยลงในวารสาร Restoration Ecology
“ ป่าไม้เขตร้อนเป็นส่วนหนึ่งของมรดกวัฒนธรรมและมรดกทางธรรมชาติ
ในขณะที่มนุษย์พยายามปกป้องพื้นที่ป่าไม้ที่ยังคงเหลืออยู่บนพื้นโลก
เราสามารถปลูกป่าไม้ที่ถูกทำลายด้วยวิธีการที่ประหยัดเงินได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้น "
Jonathan Choi นักวิจัยอาวุโสสาขานิเวศวิทยาและวิวัฒนาการชีววิทยา Princeton University
" ในบริเวณรอบ ๆ ที่เปลือกส้ม/กากส้มถูกนำมาทิ้งไว้
มีต้นไม้เพียง 2-3 ต้นที่เราพบนั้น เป็นต้นไม้เพียง 2 ชนิดที่สัมพันธ์ทุ่งหญ้าโดยรอบ
ซึ่งมักจะไม่พบในป่าไม้ของคอสตาริกา
ในพื้นที่อุดมสมบูรณ์แห่งนี้
จะมีความหลากหลายของต้นไม้หลายชนิดมากขึ้น
ซึ่งมักจะพบเห็นโดยเฉพาะในป่าไม้ที่มีอายุมากกว่า
กากส้มไม่เพียงแต่สร้างการกลับคืนมาของป่าไม้
แต่ยังทำให้ป่าไม้ฟื้นตัวได้เร็วขึ้นกว่าเดิม "
Timothy Treuer นักศึกษาปริญญาเอกนิเวศวิทยาที่ Princeton University
ในขณะที่การใช้ประโยชน์จากขยะทางการเกษตร
เพื่อใช้ในพื้นดินที่รกร้างว่างเปล่า/แห้งแล้ง
จัดว่าเป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์สำหรับทุกคนที่เกี่ยวข้อง
แต่ก็ไม่อาจสร้างผลลัพธ์ที่น่าอัศจรรย์เช่นนี้เสมอไป
กากส้มทำงานได้ผลในที่นี่และมีประสิทธิภาพในเขตร้อนชื้น
สามารถป้องกันพืชพันธุ์ชนิดที่รุกรานพืชพื้นเมือง
และผลิตชั้นดินอุดมสมบูรณ์ที่หนาขึ้น
สำหรับการเจริญเติบโตของพืชชนิดใหม่
ในที่สภาพแวดล้อมอื่น ๆ การทิ้งขยะอินทรีย์ อาจไม่ได้ประโยชน์เหมือนที่นี่
เพราะคอสตาริกายังมีความอบอุ่นและชุ่มชื้นตลอดทั้งปี
วิธีการ/กลยุทธ์ดังกล่าวที่คล้ายคลึงกันนี้
อาจจะไม่มีประสิทธิภาพในพื้นที่ที่มีอุณหภูมิต่ำกว่าจุดเยือกแข็งในช่วงแต่ละปี
(เพราะการย่อยสลายของสารอินทรีย์ทำได้ยากและมีช่วงเวลาจำกัด)
" แน่นอน โครงการนี้ยังไม่ได้สร้างมลพิษหรือศัตรูพืชใด ๆ ที่ต้องวิตกกังวล
และสามารถมองเห็นผลลัพธ์ได้อย่างชัดเจนมาก
แต่ทั้งนี้ ยังไม่มีแผนงานหรือโครงการใด ๆ ที่จะทำต่อไปอีกภายหน้า
ผลลัพธ์ดังกล่าวเป็นผลสืบเนื่องมาจาก
การฟ้องร้องกล่าวโทษเมื่อหลายสิบปีก่อน
ทั้งนี้ยังมีผลการทดลองที่คล้ายคลึงกันในประเทศนี้ที่เกี่ยวกับกากกาแฟ
แม้ว่าจะยังไม่มีผลลัพธ์ชี้ชัดแต่อย่างใดในตอนนี้ " Timothy Treuer
ในปี 2013 ตอนที่ Timothy Treuer กำลังหาหัวข้อวิจัยกับ Daniel Janzen
ทั้งคู่ได้พูดคุยเกี่ยวกับพื้นที่ใน Costa Rica ที่เคยทิ้งกากส้มไว้
และสงสัยว่าสภาพพื้นที่ดินในตอนนี้จะเป็นเช่นใดบ้าง
ทำให้ Timothy Treuer ตัดสินใจเดินทางไป Costa Rica
“ ผมต้องเดินทางไปถึง 2 ครั้งเพื่อค้นหาว่ามันอยู่ที่ไหนกันแน่
ป้ายเดิมที่มีอักษรสีเหลืองสดใสยาวหกฟุต บอกสถานที่ตั้ง
ถูกเถาวัลย์ปกคลุมไปหมดแล้ว เราหาไม่พบเลยตั้งหลายครั้ง
จนกระทั่งปลายปีหลังจากการเข้าไปค้นหาจำนวนหลายสิบครั้งจึงพบมัน " Timothy Treuer
ทีมวิจัยได้เก็บตัวอย่างดินจำนวน 2 ชุด
เพื่อตรวจสอบว่ากากส้มได้ทำหน้าที่
ในการเพิ่มคุณค่าสารอาหารกับดินหรือไม่
" เรานำเทปวัดระยะทางออกมาวัดที่ 100 เมตร
และตรวจนับกับระบุต้นไม้ทุกต้นภายในพื้นที่ทุกระยะ 3 เมตร
เราทำแบบนี้ถึง 3 ครั้งในพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์
และวางเทปวัดในแนวขนานห่างออกไปอีก 25 เมตร
และทำอีก 3 ครั้งในพื้นที่ที่ไม่มีการทิ้งกากส้ม/ไม่อุดมสมบูรณ์
ในอีกด้านหนึ่งของถนนสายที่รกร้าง " Timothy Treuer
พวกนักวิจัยเห็นการเปลี่ยนแปลง/การเจริญเติบโตของต้นไม้
และสารอาหารในพื้นดินที่เปรียบเทียบกันระหว่าง
พื้นที่ที่ถูกทิ้งกากส้มและทุ่งหญ้าที่ถูกทอดทิ้งซึ่งห่างออกไป 100 หลา
นักวิจัยพบความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดมากระหว่างพื้นที่ศึกษาทั้ง 2 แห่ง
ที่ดินที่เคยมีกากส้มทิ้งไว้ดินมีความอุดมสมบูรณ์มากขึ้น
มีชีวมวลมากขึ้น ทำให้ต้นไม้มีความหลากหลายนานาชนิดมากขึ้น
และปกคลุมด้วยหลังคาของป่าไม้ขนาดกว้าง
เรียบเรียง/ที่มา
https://goo.gl/xQ32AZ
https://goo.gl/XZLk9X
https://goo.gl/cHmC2v
หมายเหตุ
การฟ้องร้องเรื่องการทิ้งกากส้มของโรงงาน Del Oro โดยโรงงาน
TicoFruit
สาเหตุน่าจะ Del Oro มีต้นทุนการผลิตต่ำกว่า
TicoFruit คู่แข่งมากส่วนหนึ่ง
เพราะ Del Oro ไม่ต้องเสียเวลา/ค่าใช้จ่ายในการนำกากส้มไปทำการบำบัดก่อน
หรือต้องขนส่ง/ว่าจ้างคนนำไปทิ้งภายนอกโรงงาน Del Oro
ซึ่งจะทำให้มีผลกระทบต่อต้นทุนและรายได้ของโรงงาน Del Oro ได้
รวมทั้งการฟ้องร้องดำเนินคดีของ
TicoFruit คู่แข่งทางธุรกิจที่ฟ้องร้อง Del Oro
น่าจะเป็นการสะกัดดาวรุ่งและทำให้โรงงาน Del Oro ต้องมีค่าใช้จ่าย
และเสียเวลาในการแก้ต่างคดีนี้และมีผลกระทบกับภาพลักษณ์ของ Del Oro
ในกรณีที่เกิดแพ้คดีขึ้นมาตามคำพิพากษาของศาลคอสตาริกา
เถาจูกง เทพเจ้าแห่งการค้าชาวจีนเคยกล่าวไว้ว่า
การค้าก็เหมือนกับการรบ การรบตัองใช้กลยุทธ์
สันนิษฐานการเกิดป่าไม้จากกองกากส้ม ขอเขียนแบบประตู ไม่ใช่กลอน
เลียนแบบ น้าติง.คอม นักพากษ์กีฬามวยปล้ำ
หมู่ภมรจรมากินแล้ววางไข่ ย่อมไม่ไร้ปักษีถวิลหา
นาคีมุสิกต่างตามมา สัตว์นานาจึงเร่งมาเข้าร่วมวง
ณ ที่นี่ตรงนี้กลายเป็นแหล่งอาหาร การพบพานหลายสิ่งจึงบังเกิด
เปิดโลกกว้างทางไกลทุกแห่งหน แหล่งเจือปนโรคราวัชชพืชเมล็ดพืช
ชีพมืดชืดมาไม่นาน ค่อยค่อยผันผ่านเป็นพงพนา
กากส้ม 12,000 ตันพลิกฟื้นป่าไม้
Credit: Horia Bogdan/Shutterstock
เมื่อเกือบ 20 ปีก่อนพื้นที่ทุ่งหญ้าใน Costa Rica
เดิมเป็นพื้นที่แห้งแล้งใช้เลี้ยงปศุสัตว์มีแต่วัชชพืช
แต่ทุกวันนี้ เต็มไปด้วยพืชพรรณป่าไม้บุปฝาชาตินานาชนิด
สิ่งที่ส่งผลมหัศจรรย์ในป่าไม้แห่งนี้คือ กากส้ม
ในช่วงกลางทศวรรษที่ 1990
Del Oro ผู้ผลิตน้ำส้มใน Costa Rica
กำลังมองหาวิธีที่จะกำจัดเปลือกส้มและเนื้อเยื่อของส้ม
ที่เหลือเป็นกากส้มจำนวนมากหลังจากการสกัด/คั้นน้ำส้มแล้ว
ในตอนแรก ทางบริษัทได้วางแผนที่จะสร้างโรงงานแปรรูปกากส้ม
ให้เป็นสินค้าที่ใช้ในครัวเรือนด้วยการสะกัดไขมันและสารเคมีออกจากกากส้ม
แต่ Daniel Janzen กับ Winnie Hallwachs นักนิเวศวิทยาจาก University of Pennsylvania
ที่ทำงานวิจัยและเป็นที่ปรึกษาป่าไม้ในพื้นที่ใกล้เคียงกับที่ดินของโรงงาน
ได้เข้ามาพบกับผู้บริหารโรงงานพร้อมกับข้อเสนอแนะ
ที่แตกต่างออกไปจากแนวคิดเดิมที่จะมีการตั้งโรงงานแปรรูป
โดยขอให้ทางบริษัทบริจาคที่ดินราว 3 เฮกตาร์(30,000 ตารางเมตร/18.75 ไร่)
ที่อยู่ติดกับป่าไม้แห่งชาติ Área de Conservación Guanacaste
ด้วยการทิ้งกากส้มซึ่งเป็นขยะอินทรีย์ทั้งหมดลงในที่ดินบริเวณที่เสื่อมโทรม
โครงการนำร่องดังกล่าวได้นำไปสู่ดินร่วนสีดำ
ที่ดินที่อุดมสมบูรณ์และมีความหลากหลายทางชีวภาพของพืชนานาชนิด
ในปี 1998 ทางบริษัทได้ขนขยะอินทรีย์กากส้มของโรงงาน
ไปทิ้งและทับถมลงไปในพื้นที่เสื่อมโทรมเป็นจำนวนถึง 12,000 เมตริกตัน
แต่โครงการดังกล่าวถูกทำให้ยุติลงด้วยการยื่นฟ้องโดย TicoFruit บริษัทผลิตน้ำผลไม้ที่เป็นคู่แข่ง
และศาลสูงสุด Costa Rican Supreme Court เห็นพ้องด้วยกับข้อกล่าวหาที่ว่า
ขยะธรรมชาติที่โรงงานทิ้งไว้จะสร้างมลภาวะให้กับป่าไม้แห่งชาติ
แต่ทุกวันนี้ แผ่นดินที่ถูกยุติให้ดำเนินการทิ้งกากส้ม
เพราะผลของคำพิพากษาศาลสูงสุดคอสตาริกา
" จะสร้างความสกปรก/สร้างมลภาวะกับป่าไม้แห่งชาติ "
กลับกลายเป็นผืนป่าไม้ที่เขียวชอุ่ม
อยู่ท่ามกลางทุ่งหญ้าแห้งแล้งที่อยู่กระจัดกระจายโดยรอบ
ผลการศึกษาครั้งใหม่จากนักวิจัยจาก Princeton University และ University of Pennsylvania
ได้วิเคราะห์ถึงคุณภาพดินและองค์ประกอบของพื้นที่ดังกล่าว
พบว่ามีการเพิ่มขึ้นของชีวมวลของป่าไม้เกือบ 200%
และสายพันธุ์พืชนานาชนิดคิดเป็นจำนวน 3 เท่า
ของพื้นที่ดินเปรียบเทียบที่อยู่ในบริเวณถัดไป
พื้นที่ป่าไม้ที่ได้รับการฟื้นฟูอยู่ทางด้านขวาของถนนที่รกร้าง
พื้นที่ควบคุม/เปรียบเทียบอยู่ทางด้านซ้าย (Tim Treuer)
ครั้งหนึ่ง พื้นที่สำหรับการเลี้ยงปศุสัตว์
เต็มไปด้วยหญ้าแอฟริกันที่ใช้เลี้ยงสัตว์ African pasture grasses
ทำให้เกิดการรุกรานพื้นที่ของพืชพื้นเมืองให้ลดน้อยลงไปมาก
และเมื่อพื้นที่ดังกล่าวถูกทับถมด้วยกากส้ม
และแพร่กระจายไปด้วยกากส้มจนเป็นสีส้มในตอนแรก
พวกหญ้าแอฟริกันก็ถูกกากส้มถมทับจนตายลง
พร้อมกับการเกิดดินร่วนซุยที่ปนเปื้อนอุดมไปด้วยสารอาหารจากเปลือกส้ม
ซึ่งทำให้เกิดดินดำที่อุดมสมบูรณ์สำหรับพืชพื้นเมืองที่จะเจริญเติบโต
การกดทับของกองขยะกากส้มเหมาะสมสำหรับการปรับปรุงพื้นดินในครั้งนี้
เพราะการชะละลายจากน้ำมันหอมระเหยและกรดชนิดต่าง ๆ จากกากส้ม
ซึ่งโดยปกติแล้วมักจะเป็นอันตรายต่อการเจริญเติบโตของพืช
แต่ในขณะเดียวกันการชะละลายของกากส้ม
ได้ปลดปล่อยสารอาหารที่จำเป็นสำหรับพืช
เช่น โพแทสเซียม ไนโตรเจน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งฟอสฟอรัส (NPK)
ซึ่งมักจะพบน้อยมากในดิน บ่งบอกว่ามันถูกนำมาใช้เกือบหมดแล้วในดิน
ภูมิปัญญาชาวบ้านแถวบ้านมักจะพูดกันง่าย ๆ ว่า
N ทำให้ใบเขียวสวยสดเหมาะกับพืชอายุสั้นพวกผักต่าง ๆ
P บำรุงรากลำต้นกิ่งไม้ให้แพร่กระจายแข็งแรงเหมาะกับไม้ยืนต้น
หรือ พวกรากผักชี มันชนิดต่าง ๆ ที่หัวอยู่ใต้ดิน แครอต เป็นต้น
K ทำให้ดอกผลแข็งแรงติดง่ายมีรสหวานหอมหรือผลผลิตมาก
ทั้งนี้ นับตั้งแต่การทิ้งกากส้มในพื้นที่นี้ตั้งแต่ครั้งแรกเป็นต้นมา
นักวิจัยไม่ได้เข้าไปแทรกแซง/ยุ่งเกี่ยวใด ๆ ในพื้นที่อีกเลย
ทำให้ป่าไม้ทั้งหมดนี้เป็นผลงานของธรรมชาติ
(โดยมีการเก็บตัวอย่างดินในพื้นที่ 2 ครั้งในปีที่ 2 กับปีที่ 16)
ตัวอย่างของดินที่มีการตีพิมพ์เมื่อเดือนที่แล้ว
ในวารสารนิเวศวิทยาการฟื้นฟู Restoration Ecology
พบว่ามีระดับสารอาหารที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งยังคงมีอยู่จนถึงปลายปี 2014
เมื่อได้ทำการสุ่มตัวอย่างเปรียบเทียบกับพื้นที่รอบ ๆ ที่อยู่ข้างเคียง
มีต้นไม้อยู่ถึง 24 ชนิดในพื้นที่ที่ได้รับการฟื้นฟู
และมีความสมดุลของพืชพันธุ์นานาชนิดมากขึ้น
เมื่อเทียบกับพื้นที่ควบคุมข้างเคียงที่มีต้นไม้อยู่เพียง 8 ชนิด
นักวิจัยยังระบุว่า ทั้งนี้ยังไม่ได้เริ่มนับพืชพันธุ์ชนิดอื่น ๆ
เช่น ไม้พุ่ม ไม้เถา และสายพันธุ์พืชชนิดอื่น ๆ ที่มีขนาดเล็กกว่า
ในช่วงระยะเวลาวิจัยสั้น ๆ นี้ดูเหมือนว่าพื้นที่นี้ได้เป็นป่าไม้อีกครั้ง
“ ผมรู้สึกแปลกใจมาก
พื้นที่ถูกกากส้มทับถมแปลกแยกจากพื้นที่ไม่มีกากส้มทับถม
จากแนวเขตถนนที่ตัดผ่าน ทั้งสองพื้นที่มีความแตกต่างกัน
อย่างเห็นได้ชัดเจนเลยทางระบบนิเวศวิทยา
พื้นที่ด้านที่เป็นทุ่งหญ้ารกร้าง มีต้นไม้ขึ้นเพียงไม่กี่ต้น
แต่อีกด้านกลายเป็นป่าไม้ที่ฟื้นฟูขึ้นมาใหม่
การจะเข้าไปต้องใช้มีดสปาร์ตาแหวกว่ายกรุยทางเข้าไป
และเมื่อตอนที่ผมเจาะดินขึ้นมาตรวจสอบ
ผมรู้ดีเลยว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่พิเศษจริง ๆ
ทำให้ผมต้องอึ้งไปเลย "
Timothy Treuer นักวิจัย Princeton University
และผู้นำทีมในการศึกษาที่เขียนบทความวิจัยลงในวารสาร Restoration Ecology
“ ป่าไม้เขตร้อนเป็นส่วนหนึ่งของมรดกวัฒนธรรมและมรดกทางธรรมชาติ
ในขณะที่มนุษย์พยายามปกป้องพื้นที่ป่าไม้ที่ยังคงเหลืออยู่บนพื้นโลก
เราสามารถปลูกป่าไม้ที่ถูกทำลายด้วยวิธีการที่ประหยัดเงินได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้น "
Jonathan Choi นักวิจัยอาวุโสสาขานิเวศวิทยาและวิวัฒนาการชีววิทยา Princeton University
" ในบริเวณรอบ ๆ ที่เปลือกส้ม/กากส้มถูกนำมาทิ้งไว้
มีต้นไม้เพียง 2-3 ต้นที่เราพบนั้น เป็นต้นไม้เพียง 2 ชนิดที่สัมพันธ์ทุ่งหญ้าโดยรอบ
ซึ่งมักจะไม่พบในป่าไม้ของคอสตาริกา
ในพื้นที่อุดมสมบูรณ์แห่งนี้
จะมีความหลากหลายของต้นไม้หลายชนิดมากขึ้น
ซึ่งมักจะพบเห็นโดยเฉพาะในป่าไม้ที่มีอายุมากกว่า
กากส้มไม่เพียงแต่สร้างการกลับคืนมาของป่าไม้
แต่ยังทำให้ป่าไม้ฟื้นตัวได้เร็วขึ้นกว่าเดิม "
Timothy Treuer นักศึกษาปริญญาเอกนิเวศวิทยาที่ Princeton University
ในขณะที่การใช้ประโยชน์จากขยะทางการเกษตร
เพื่อใช้ในพื้นดินที่รกร้างว่างเปล่า/แห้งแล้ง
จัดว่าเป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์สำหรับทุกคนที่เกี่ยวข้อง
แต่ก็ไม่อาจสร้างผลลัพธ์ที่น่าอัศจรรย์เช่นนี้เสมอไป
กากส้มทำงานได้ผลในที่นี่และมีประสิทธิภาพในเขตร้อนชื้น
สามารถป้องกันพืชพันธุ์ชนิดที่รุกรานพืชพื้นเมือง
และผลิตชั้นดินอุดมสมบูรณ์ที่หนาขึ้น
สำหรับการเจริญเติบโตของพืชชนิดใหม่
ในที่สภาพแวดล้อมอื่น ๆ การทิ้งขยะอินทรีย์ อาจไม่ได้ประโยชน์เหมือนที่นี่
เพราะคอสตาริกายังมีความอบอุ่นและชุ่มชื้นตลอดทั้งปี
วิธีการ/กลยุทธ์ดังกล่าวที่คล้ายคลึงกันนี้
อาจจะไม่มีประสิทธิภาพในพื้นที่ที่มีอุณหภูมิต่ำกว่าจุดเยือกแข็งในช่วงแต่ละปี
(เพราะการย่อยสลายของสารอินทรีย์ทำได้ยากและมีช่วงเวลาจำกัด)
" แน่นอน โครงการนี้ยังไม่ได้สร้างมลพิษหรือศัตรูพืชใด ๆ ที่ต้องวิตกกังวล
และสามารถมองเห็นผลลัพธ์ได้อย่างชัดเจนมาก
แต่ทั้งนี้ ยังไม่มีแผนงานหรือโครงการใด ๆ ที่จะทำต่อไปอีกภายหน้า
ผลลัพธ์ดังกล่าวเป็นผลสืบเนื่องมาจาก
การฟ้องร้องกล่าวโทษเมื่อหลายสิบปีก่อน
ทั้งนี้ยังมีผลการทดลองที่คล้ายคลึงกันในประเทศนี้ที่เกี่ยวกับกากกาแฟ
แม้ว่าจะยังไม่มีผลลัพธ์ชี้ชัดแต่อย่างใดในตอนนี้ " Timothy Treuer
ในปี 2013 ตอนที่ Timothy Treuer กำลังหาหัวข้อวิจัยกับ Daniel Janzen
ทั้งคู่ได้พูดคุยเกี่ยวกับพื้นที่ใน Costa Rica ที่เคยทิ้งกากส้มไว้
และสงสัยว่าสภาพพื้นที่ดินในตอนนี้จะเป็นเช่นใดบ้าง
ทำให้ Timothy Treuer ตัดสินใจเดินทางไป Costa Rica
“ ผมต้องเดินทางไปถึง 2 ครั้งเพื่อค้นหาว่ามันอยู่ที่ไหนกันแน่
ป้ายเดิมที่มีอักษรสีเหลืองสดใสยาวหกฟุต บอกสถานที่ตั้ง
ถูกเถาวัลย์ปกคลุมไปหมดแล้ว เราหาไม่พบเลยตั้งหลายครั้ง
จนกระทั่งปลายปีหลังจากการเข้าไปค้นหาจำนวนหลายสิบครั้งจึงพบมัน " Timothy Treuer
ทีมวิจัยได้เก็บตัวอย่างดินจำนวน 2 ชุด
เพื่อตรวจสอบว่ากากส้มได้ทำหน้าที่
ในการเพิ่มคุณค่าสารอาหารกับดินหรือไม่
" เรานำเทปวัดระยะทางออกมาวัดที่ 100 เมตร
และตรวจนับกับระบุต้นไม้ทุกต้นภายในพื้นที่ทุกระยะ 3 เมตร
เราทำแบบนี้ถึง 3 ครั้งในพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์
และวางเทปวัดในแนวขนานห่างออกไปอีก 25 เมตร
และทำอีก 3 ครั้งในพื้นที่ที่ไม่มีการทิ้งกากส้ม/ไม่อุดมสมบูรณ์
ในอีกด้านหนึ่งของถนนสายที่รกร้าง " Timothy Treuer
พวกนักวิจัยเห็นการเปลี่ยนแปลง/การเจริญเติบโตของต้นไม้
และสารอาหารในพื้นดินที่เปรียบเทียบกันระหว่าง
พื้นที่ที่ถูกทิ้งกากส้มและทุ่งหญ้าที่ถูกทอดทิ้งซึ่งห่างออกไป 100 หลา
นักวิจัยพบความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดมากระหว่างพื้นที่ศึกษาทั้ง 2 แห่ง
ที่ดินที่เคยมีกากส้มทิ้งไว้ดินมีความอุดมสมบูรณ์มากขึ้น
มีชีวมวลมากขึ้น ทำให้ต้นไม้มีความหลากหลายนานาชนิดมากขึ้น
และปกคลุมด้วยหลังคาของป่าไม้ขนาดกว้าง
เรียบเรียง/ที่มา
https://goo.gl/xQ32AZ
https://goo.gl/XZLk9X
https://goo.gl/cHmC2v
หมายเหตุ
การฟ้องร้องเรื่องการทิ้งกากส้มของโรงงาน Del Oro โดยโรงงาน TicoFruit
สาเหตุน่าจะ Del Oro มีต้นทุนการผลิตต่ำกว่า TicoFruit คู่แข่งมากส่วนหนึ่ง
เพราะ Del Oro ไม่ต้องเสียเวลา/ค่าใช้จ่ายในการนำกากส้มไปทำการบำบัดก่อน
หรือต้องขนส่ง/ว่าจ้างคนนำไปทิ้งภายนอกโรงงาน Del Oro
ซึ่งจะทำให้มีผลกระทบต่อต้นทุนและรายได้ของโรงงาน Del Oro ได้
รวมทั้งการฟ้องร้องดำเนินคดีของ TicoFruit คู่แข่งทางธุรกิจที่ฟ้องร้อง Del Oro
น่าจะเป็นการสะกัดดาวรุ่งและทำให้โรงงาน Del Oro ต้องมีค่าใช้จ่าย
และเสียเวลาในการแก้ต่างคดีนี้และมีผลกระทบกับภาพลักษณ์ของ Del Oro
ในกรณีที่เกิดแพ้คดีขึ้นมาตามคำพิพากษาของศาลคอสตาริกา
เถาจูกง เทพเจ้าแห่งการค้าชาวจีนเคยกล่าวไว้ว่า
การค้าก็เหมือนกับการรบ การรบตัองใช้กลยุทธ์
Credit : Daniel Janzen & Winnie Hallwachs
ที่มา http://bit.ly/2EDCPVw
สันนิษฐานการเกิดป่าไม้จากกองกากส้ม ขอเขียนแบบประตู ไม่ใช่กลอน
เลียนแบบ น้าติง.คอม นักพากษ์กีฬามวยปล้ำ
หมู่ภมรจรมากินแล้ววางไข่ ย่อมไม่ไร้ปักษีถวิลหา
นาคีมุสิกต่างตามมา สัตว์นานาจึงเร่งมาเข้าร่วมวง
ณ ที่นี่ตรงนี้กลายเป็นแหล่งอาหาร การพบพานหลายสิ่งจึงบังเกิด
เปิดโลกกว้างทางไกลทุกแห่งหน แหล่งเจือปนโรคราวัชชพืชเมล็ดพืช
ชีพมืดชืดมาไม่นาน ค่อยค่อยผันผ่านเป็นพงพนา