สงครามสายลับ ๓ ม๊.ค.๖๑

เสี้ยวสามก๊ก

สงครามสายลับ

เล่าเซี่ยงชุน

การศึกสงครามครั้งใหญ่ในสามก๊ก ที่มีชื่อเสียงเป็นที่กล่าวขวัญกันมานั้น มีมากมายหลายครั้ง แต่ที่มีผู้จำได้แม่นยำมาก ก็เห็นจะเป็นครั้งที่ทางราชการไทย ได้นำมาใช้เป็นบทเรียนภาษาไทย สำหรับชั้นมัธยมต้นเมื่อกว่าห้าสิบปีมาแล้ว คือการรบที่ปากอ่าวหน้าเมืองกังตั๋ง ที่เรียกกันว่าศึกเซ็กเพ็ก และในบทเรียนเรียกว่า ตอนโจโฉแตกทัพเรือ นั่นเอง

ความจริงในการศึกครั้งนั้น โจโฉมิได้ยกมาแต่ทัพเรือเท่านั้น เพราะโจโฉเป็นใหญ่อยู่ที่เมืองฮูโต๋ทางเหนือ ซึ่งเป็นเมืองดอน แต่มาตีได้เมืองเกงจิ๋วซึ่งอยู่ติดชายทะเล จึงเกณฑ์ทัพเรือมาจากเมืองเกงจิ๋ว รวมกับทัพบกที่มาจากเมืองฮูโต๋แล้ว มีกำลังพลร่วมร้อยหมื่น ตั้งค่ายทัพบกเรียงรายต่อกันไปเป็นระยะทางถึงสามพันเส้น ส่วนทัพเรือที่จอดทอดอยู่ชายทะเลนั้น ดังหนึ่งจะเต็มมหาสมุทร

ทางฝ่ายเมืองกังตั๋งของซุนกวนนั้น มีจิวยี่เป็นแม่ทัพใหญ่ โลซกเป็นที่ปรึกษา มีกำลังพลเพียงห้าหมื่น น้อยกว่าโจโฉถึงยี่สิบเท่า แต่ได้ขงเบ้งที่ปรึกษาผู้หยั่งรู้ดินฟ้ามหาสมุทรของเล่าปี่ พันธมิตรจอมปลอม มาช่วยคิดการศึกอีกแรงหนึ่ง แม้จิวยี่จะไม่ไว้วางใจขงเบ้ง และคอยคิดหาทางกำจัดอยู่เสมอ แต่ก็ต้องอาศัยวิชาความรู้ที่เหนือกว่าของขงเบ้ง ให้เป็นประโยชน์ในการรบกับโจโฉอยู่หลายครั้ง

ในสงครามคราวนี้ ก่อนที่จะได้รบกันอย่างจริงจัง มีการส่งไส้ศึกไปหาข่าวล้วงความลับด้วยกันทั้งสองฝ่าย ข้างละหลายคนและหลายครั้ง เริ่มแรกเมื่อทัพเรือส่วนหน้าที่โจโฉส่งออกไปลองกำลังกับทัพเรือของกังตั๋งแล้วแตกพ่ายกลับมา ก็เรียกชัวมอกับเตียวอุ๋นแม่ทัพเรือชาวเมืองเกงจิ๋ว มาคาดโทษว่า

“…….ทหารเมืองกังตั๋งน้อยกว่าเราเหตุใดจึงแตกมา หรือตัวทั้งสองมิได้ตั้งใจทำการโดยสุจริต แกล้งให้เสียมาดังนี้…….”

ชัวมอแก้ตัวว่า

“……..ทหารเมืองเกงจิ๋วมิได้ฝึกสอน ละไว้นานแล้ว ประการหนึ่งเล่า ทหารของท่านก็ล้วนแต่ชาวดอนไม่ชำนาญในทัพเรือ จึงเสียทีแก่จิวยี่ เพราะเหตุนี้ขอให้ท่านคิดอ่านเอาเรือทอดต่อกัน ล้อมเป็นค่ายไว้กลางน้ำ จึงให้ทหารเมืองซีจิ๋วเมืองเชียงจิ๋วเข้าอยู่ภายใน ให้ทหารเมืองเกงจิ๋วอยู่รอบนอก ฝึกสอนให้เจนในการทัพเรือจงได้……..”

โจโฉก็อนุญาตให้ดำเนินการได้ แม่ทัพเรือทั้งสองก็จัดการให้เรือใหญ่ ทอดเป็นวงรอบนอก เว้นช่องประตูเข้าออกยี่สิบสี่ประตู ข้างในให้ทหารบกลงเรือรบ ฝึกซ้อมการแจวไล่และหนี ให้มีความชำนาญในการรบ ทั้งกลางวันและกลางคืน จุดคบเพลิงสว่างไสวเห็นได้ไกลจนถึงค่ายของจิวยี่

ฝ่ายจิวยี่จึงจัดทหารลงเรือเล่นกระจับปี่สีซอ ทำเพลงมโหรีแจวเข้าไปสอดแนมใกล้ค่ายทัพเรือของโจโฉ จนกองลาดตระเวนของโจโฉเจอเข้า จึงหนีกลับไป โจโฉก็แค้นใจว่าจิวยี่บังอาจดูหมิ่นทหารของตนยิ่งนัก คิดจะแก้แค้นให้จงได้

เจียวก้านที่ปรึกษาของโจโฉคนหนึ่ง จึงรับอาสาที่จะไปเกลี้ยกล่อมจิวยี่เอง เพราะเมื่อยังเด็กนั้นเป็นเพื่อนเรียนหนังสือครูเดียวกันมา โจโฉก็ส่งเจียวก้านลงเรือน้อยไปกับเด็กตามหลังเพียงคนเดียว เมื่อพบกับจิวยี่ที่ค่ายทหารของเมืองกังตั๋งแล้ว จิวยี่ก็จัดโต๊ะเลี้ยงดูอย่างเต็มที่ตามประสาเพื่อนเก่า แต่ห้ามพูดเรื่องการศึกสงครามเด็ดขาด จนเมาแล้วจิวยี่ก็ให้เจียวก้านนอนเตียงเดียวกัน พอจิวยี่หลับแล้วเจียวก้านก็ลุกขึ้นไปค้นดูบนโต๊ะจิวยี่ ได้หนังสือฉบับหนึ่งเป็นของชัวมอเตียวอุ๋น มีมาถึงจิวยี่ว่าจะตัดศีรษะโจโฉมาให้ในไม่ช้านี้

เจียวก้านก็ดีใจว่าได้ความลับชั้นยอดแล้ว จึงรีบหนีมาแต่กลางดึก เอาหนังสือมาให้โจโฉ เมื่ออ่านรู้ความตลอดแล้วก็เชื่อสนิท และมีความโกรธเป็นกำลัง จึงเรียกตัวแม่ทัพเรือทั้งสองมา สั่งให้นำทัพออกไปตีทัพเรือจิวยี่ ทั้งสองก็ว่าฝึกสอนทหารยังไม่ชำนาญในการรบ ขอให้งดไว้ก่อน โจโฉก็ว่าจะรอให้ศีรษะของตนไปอยู่ในมือจิวยี่ก่อนหรือ แล้วก็หาว่าขัดคำสั่ง ให้เอาตัว ชัวมอเตียวอุ๋นไปประหารเสีย โดยเจ้าตัวทั้งสองหารู้ไม่ว่าตนผิดเรื่องใด เมื่อโจโฉเห็นศีรษะของสองแม่ทัพเรือแล้ว จึงได้สติว่าตนวู่วามเสียกลอุบายจิวยี่ไปแล้ว แต่ก็ต้องนิ่งไว้มิให้ผู้ใดรู้

ต่อมาจิวยี่ใช้ให้ขงเบ้งยกกองเรือมาหลอกตีทัพเรือของโจโฉ ในคืนที่หมอกลงหนาแน่น ทหารของโจโฉก็ระดมยิงเกาทัณฑ์สุ่มไปติดฟางในเรือของขงเบ้ง เสียลูกเกาทัณฑ์ให้ข้าศึกไปร่วมสิบหมื่นดอก โจโฉก็ยิ่งแค้นใจ จึงให้ชัวต๋งกับชัวโฮ น้องของชัวมอทำเป็นหนีไปสมัครอยู่กับจิวยี่ ทั้งสองก็รับอาสาว่าจะไปตัดศีรษะจิวยี่กับขงเบ้งมาให้ได้ และลงเรือเดินทางไปหาจิวยี่ที่ค่ายฝั่งตรงกันข้ามของอ่าว แล้วบอกกับจิวยี่ว่า

“……ชัวมอพี่ข้าพเจ้าหาความผิดมิได้ โจโฉให้ฆ่าเสีย ข้าพเจ้ามีใจพยาบาทคิดแค้นโจโฉอยู่เป็นอันมาก จึงพากันหนีมาหวังจะอยู่ทำราชการด้วยท่าน แม้ท่านจะยกออกไปรบเมื่อใด ข้าพเจ้าจะอาสาเป็นทัพหน้า…….”

จิวยี่ก็รับเอาตัวไว้ และให้ไปอยู่ในกองทัพหน้า กับกำเหลงทหารเอกของกังตั๋ง ให้เลี้ยงดูเป็นอย่างดี

ต่อมาเมื่อจิวยี่ประชุมแม่ทัพนายกอง จิวยี่เสนอว่า

“……..ฝ่ายเราทหารน้อยกว่าเขานัก ซึ่งจะคิดรบพุ่งนั้นใช่จะสำเร็จแต่ในวันเดียวนั้นหามิได้ เราจะแจกเสบียงอาหารให้นายทัพนายกองทั้งปวง ให้แจกทหารเลวกินกำหนดให้พอสามเดือน……..”

อุยกายนายทหารเอกรุ่นพ่อของซุนกวน ก็-ดันให้ว่า

“…….อย่าแจกเสบียงไว้แต่สามเดือนเลย ข้าพเจ้าแถมให้แจกไว้ถึงสามสิบเดือนอีก การศึกนั้นก็หาสำเร็จไม่ จงเร่งคิดอ่านรบพุ่งให้กองทัพโจโฉแตกไปในเดือนหนึ่ง ถ้าไม่แตกก็ให้ทำตามคำเตียวเจียวว่า เราท่านทั้งปวงจะชวนกันถอดเกราะทิ้งอาวุธเสีย เข้าไปขอออกแก่โจโฉ จะมิดีกว่าอีกหรือ…….”

จิวยี่ก็โกรธเป็นกำลังจึงสั่งให้ทหารเอาอุยกายไปประหารเสีย อุยกายก็ตอบโต้ว่า

“…….ตัวกูอาสาทำสงครามมาแต่ครั้งซุนเกี๋ยน จนได้เป็นใหญ่ในเมืองกังตั๋ง ครั้นซุนเกี๋ยนถึงแก่ความตาย กูก็เป็นข้าทหารต่อมาจนถึงซุนเซ็ก ซุนกวน ก็ได้สามนายแล้ว แต่กูเป็นคนอาภัพครั้งนี้จึงได้เป็นลูกกองคนใหม่……..”

จิวยี่ก็โกรธยิ่งขึ้นเร่งให้เอาตัวไปประหาร แม้แต่กำเหลงขอโทษแทน จิวยี่ก็ไม่ฟังให้ไล่กำเหลงออกไปจากที่ประชุม พวกที่ปรึกษาและนายทหารทั้งปวงก็คำนับช่วยกันขอโทษให้อุยกายอีก จิวยี่จึงลดโทษลงให้เฆี่ยนร้อยหนึ่ง ทหารก็เอาตัวอุยกายมาเฆี่ยนหลังได้ห้าสิบที พวกที่ปรึกษาและนายทหารก็ขอไว้อีก จิวยี่จึงว่า

“…….ครั้งนี้กูตีห้าสิบที สืบไปภายหน้ามิได้หลาบจำ บังอาจขัดขวางอีก กูจะตัดศีรษะเสียบประจานไว้……..”

พวกทหารก็เข้าพยุงอุยกายกลับไปที่พัก อุยกายนั้นหลังแตกเป็นแผลโลหิตไหลสลบไปสองครั้ง พรรคพวกก็แก้ไขให้ฟื้นขึ้น และช่วยกันทายารักษาพยาบาล งำเต๊กที่ปรึกษาซึ่งเป็นเพื่อนกับอุยกายก็มาเยี่ยม อุยกายจึงขอร้องให้ช่วยนำหนังสือไปล่อลวงโจโฉแทนตัว งำเต๊กก็ยินดีช่วยเหลือ แล้วรีบปลอมเป็นชาวประมง ลงเรือน้อยไปทอดแหแถวค่ายทัพเรือของโจโฉ ในค่ำวันนั้น เมื่อกองตระเวนพบเข้าก็จับตัวงำเต๊กไปให้โจโฉ งำเต๊กก็เจรจาทั้งล่อทั้งชนให้โจโฉเชื่อว่า อุยกายที่ถูกจิวยี่ทำโทษอย่าหนักนั้นจะหนีมาเข้ากับโจโฉ แล้วก็ส่งหนังสือของอุยกายให้ โจโฉอ่านทบทวนเกือบสิบครั้ง และถูกงำเต๊กหว่านล้อมก็ยังไม่ค่อยปลงใจจะรับ พอดีมีทหารเอาหนังสือลับของชัวต๋งมาส่งให้ เล่าความเรื่องที่จิวยี่ทำโทษอุยกายสาหัส จึงยอมเชื่อและให้งำเต๊ก กลับไปนัดกับอุยกายอีกครั้งว่าจะมาเมื่อไร

เมื่องำเต๊กกลับไปแล้ว โจโฉก็ปรึกษากับแม่ทัพนายกอง ถึงเรื่องที่อุยกายจะหนีมาอยู่ด้วย แต่ตนยังไม่วางใจ อยากจะหาคนไปสืบข่าวต่อ เจียวก้านก็อาสาว่า ครั้งก่อนรับอาสาไป เกลี้ยกล่อมจิวยี่ก็ไม่สำเร็จ จึงขอทำการแก้ตัวอีกครั้ง

เมื่อเจียวก้านมาพบจิวยี่ครั้งนี้ จิวยี่ก็ทำเป็นโกรธ หาว่าเจียวก้านเอาความลับของตนไปบอกโจโฉจึงเสียการ แล้วสั่งให้ทหารเอาตัวไปคุมไว้ที่วัดแห่งหนึ่งบนเนินเขา เจียวก้านถูกจำกัดเขตไม่สามารถจะออกไปไหนได้ ก็เดินเล่นอยู่ในวัดจนไปพบกับบังทอง ชาวเมืองเกงจิ๋วที่ หนีภัยจากกองทัพโจโฉ มาอาศัยลอยเรืออยู่ในแดนเมืองกังตั๋ง โดยมิได้อยู่ในกองทัพของจิวยี่ แม้ว่าจะเป็นเพื่อนกับโลซก บังทองนี้เป็นคนมีความรู้สติปัญญาดี ชำนาญตำราพิชัยสงคราม เมื่อเจียวก้าน ได้สนทนาด้วยก็มีความนับถือ จึงชักชวนให้ไปทำราชการอยู่กับโจโฉ บังทองก็ตกลงด้วย ทั้งสองจึงลงเรือของบังทองแอบหนีมาหาโจโฉที่ค่าย

โจโฉได้ยินกิตติศัพท์ของบังทองอยู่แล้ว จึงยินดีที่บังทองจะมาอยู่ด้วย และปรึกษาหารือเรื่องการจัดกำลังกองทัพ บังทองก็อธิบายได้แจ่มแจ้ง เมื่อโจโฉพาไปชมกองทัพเรือที่กำลังฝึกกันอยู่ บังทองก็ว่า

“…….มหาอุปราชตั้งขบวนทัพบกทัพเรือนี้ถูกถ้วนนัก สมกับคนทั้งปวงเลื่องลือ อันจิวยี่ครั้งนี้เห็นจะตายอยู่ในเงื้อมมือมหาอุปราชเป็นมั่นคง……”

โจโฉก็มีความยินดีที่ได้รับคำชม แล้วก็ถามถึงสิ่งที่ยังขาดตกบกพร่องอยู่ บังทองก็บอกว่า

“…….ทหารเรือรบของท่านเป็นชาวป่าชาวดอน ไม่สันทัดการทะเล อันการในทะเลนั้นกอรปด้วยคลื่นลมเป็นอันมาก ทหารทั้งปวงก็จะเมาคลื่นระส่ำระสายไป เพราะเรือรบนั้นโคลงเคลงการรบพุ่งก็จะไม่ทันท่วงที แม้เอาเรือรบใหญ่น้อยทั้งปวงผูกขนานเป็นแพเข้า กองละสี่สิบห้าสิบลำ เอาสายยูติดหน้าเรือทุกลำ แล้วเอาสายโซ่ร้อยให้ชิดกันไว้เป็นกอง ๆ แล้วเอากระดานปูปากเรือให้ตลอดถึงกันทุกลำ ตรึงตะปูให้แน่นเหมือนแผ่นดิน จึงให้ตั้งค่ายขึ้นไว้สำหรับจะได้ป้องกัน เมื่อเรือรบทั้งปวงแน่นอยู่แล้วทหารของเราก็จะไม่เมาคลื่น ทั้งม้าและคนก็เดินตลอดจะได้ช่วยรบพุ่งถึงกันถนัด……..”

โจโฉก็มีความยินดี รีบสั่งให้อิกิ๋มกับมอกาย แม่ทัพเรือคนใหม่จัดการตามที่บังทองบอกให้ทันที เหลือแต่เรือรบลำเล็กให้เอาไว้ใช้สอยเพียงสองร้อยสามร้อยลำ แล้วบังทองก็หาอุบายจะกลับไปเกลี้ยกล่อมที่ปรึกษา และนายทหารอีกหลายคนที่ไม่ชอบจิวยี่ให้มาอยู่ด้วย โจโฉก็ว่า

“……ถ้าท่านช่วยการครั้งนี้สำเร็จแล้ว ข้าพเจ้าจะทูลความชอบให้พระเจ้าเหี้ยนเต้ตั้งท่านเป็นขุนนางผู้ใหญ่…….”

บังทองจึงว่า

“……ข้าพเจ้ามาหาท่านนี้ใช่จะเห็นแก่ยศฐาศักดิ์หามิได้ เพราะเอ็นดูอาณาประชาราษฎรจะให้เป็นสุข แม้ท่านได้เมืองกังตั๋งแล้ว ขออย่าได้ฆ่าญาติพี่น้องข้าพเจ้าซึ่งอยู่ในเมืองนั้นเสียเลย………”

โจโฉก็ออกหนังสือคุ้มครองครอบครัวของบังทองให้ไป บังทองก็ลากลับไปเมือง กังตั๋ง จากนั้นการสงครามก็เริ่มต้นขึ้น แต่จิวยี่ก็ไม่สามารถจะเอาชนะโจโฉในการรบทางเรือได้ จนกระทั่งขงเบ้งออกอุบายทำพิธีเรียกลมสลาตัน ให้พัดจากฝั่งของเมืองกังตั๋งไปทางทัพเรือของโจโฉ จิวยี่จึงให้อุยกายจัดเรือยี่สิบลำ เอาหญ้าและฟางบรรทุกให้เต็ม เอาน้ำมันปลาราดจนชุ่ม แล้วเอาดินประสิวกับสุพรรณถัน โปรยไว้บนหญ้าและฟางสิ้นทั้งยี่สิบลำ แล้วเอาธงตะขาบเขียวปักหัวเรือตามที่บอกกับโจโฉไว้ เมื่อได้เวลาลมพัดกล้าอุยกายก็ให้ทหารเรือทั้งยี่สิบลำ แล่นใบเข้าไปหาค่ายเรือของโจโฉแล้วจุดไฟขึ้น เรือก็แล่นตามลมเข้าปะทะกับค่ายเกิดเพลิงลุกไหม้ขึ้นทั่วทุกค่าย

ฝ่ายจิวยี่ก็ให้กำเหลงแม่ทัพหน้า ตัดศีรษะชัวต๋งเอาฤกษ์แล้วก็ยกทัพบกไปตีค่ายเสบียงของโจโฉ ส่วนตนเองก็ตัดศีรษะชัวโฮเซ่นธงไชยแล้วก็ยกทัพเรือ เข้าตีซ้ำเติมค่ายเรือของโจโฉที่กำลังถูกเผาเป็นดุจทะเลเพลิง และทหารบนเรือก็ไม่มีกำลังใจจะสู้รบ มัวแต่หนีเพลิงเอาชีวิตรอด ตัวอุยกายถูกเกาทัณฑ์ของข้าศึกตกลงน้ำ แต่นายทหารของจิวยี่ช่วยขึ้นจากน้ำรอดตายไปได้

แล้วกองทัพร้อยหมื่นของโจโฉก็ถูกเผา แตกพ่ายไปทั้งทัพบกทัพเรือ จนสุดท้าย แม้ว่าตัวโจโฉจะหนีรอดไปได้ ก็มีทหารเหลือติดตามอยู่เพียงยี่สิบกว่าคนเท่านั้น

สงครามไส้ศึกหรือสายลับครั้งนี้ จึงยุติลงด้วยชัยชนะอย่างเด็ดขาด โดยอาศัยสายลับชั้นดีอย่าง อุยกาย งำเต๊ก และบังทอง ตรงข้ามกับความปราชัยอย่างย่อยยับของฝ่ายโจโฉ ซึ่งมีสายลับชั้นเลวอย่าง เจียวก้าน ชัวต๋ง และชัวโฮ ด้วยประการฉะนี้.

############
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่