เสี้ยวสามก๊ก
เสือไม่สิ้นลาย
เล่าเซี่ยงชุน
สงครามระหว่างจ๊กก๊กของพระเจ้าเล่าเสี้ยน ราชบุตรของพระเจ้าเล่าปี่ แห่งเมืองเสฉวน กับวุยก๊กของพระเจ้าโจยอย ราชบุตรของพระเจ้าโจผี หลานของโจโฉ แห่งเมืองลกเอี๋ยงนั้นทั้งสองฝ่ายได้สู้รบกันถึงหกครั้ง แต่ขงเบ้งเสนาธิการทหารสูงสุดของฝ่ายจ๊กก๊ก ซึ่งผู้คนจำนวนมากสรรเสริญว่า เป็นผู้หยั่งรู้ดินฟ้ามหาสมุทรดังเทพยดา ก็ไม่สามารถที่จะเอาชนะฝ่ายวุยก๊ก ให้ เด็ดขาดลงได้ ทั้งที่เป็นฝ่ายรุกเข้าไปในดินแดนของฝ่ายตรงข้ามก่อนทุกครั้ง ทั้งนี้ก็เพราะฝ่ายตั้งรับมีแม่ทัพใหญ่ที่ชื่อว่าสุมาอี้ นั่นเอง ในการรบครั้งสุดท้ายเมื่อ พ.ศ.๗๗๖ ขงเบ้งเกือบจะได้ชัยชนะแล้ว แต่ก็มีเหตุให้สุมาอี้หลุดรอดไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ในการรบครั้งนั้น หลังจากที่ขงเบ้งพักรบไปเพื่อทำนุบำรุงไพร่พลอยู่ถึงสามปี ก็ยก ทัพใหญ่ประมาณสี่สิบหมื่น มาทางเขากิสานสมรภูมิเก่า ที่เคยปะทะกันมาหลายครั้งแล้ว พระเจ้าโจยอยทรงปรึกษาสุมาอี้ว่าจะคิดอ่านประการใด สุมาอี้ก็ทูลว่า
“………อันดาวสำหรับเมืองเสฉวนนั้นเศร้าหมองนัก ซึ่งขงเบ้งยกมาครั้งนี้เหมือนหนึ่งหาภัยใส่ตัว พระองค์อย่าคิดวิตกเลย ไว้ข้าพเจ้าจะอาสาไปต้านทานเอาชัยชนะให้ได้……..”
แล้วสุมาอี้ก็พาบุตรชายสี่คนของแฮหัวเอี๋ยน ทหารเอกสมัยโจโฉไปในกองทัพซึ่งมีกำลังพลพอกันกับฝ่ายตรงข้าม เตรียมตั้งรับที่เมืองเตียงฮัน และวางแนวต้านทานไว้ตามลำแม่น้ำอุยโห โดยให้กองหน้าข้ามฟากไปตั้งค่ายไว้ทางฝั่งตะวันตก ที่ข้าศึกจะมุ่งหน้าเข้ามา ส่วนสุมาอี้คุมกองหลังตั้งค่ายทางฝั่งตะวันออก และทำสะพานข้ามเพื่อช่วยเหลือกันหลายแห่ง กับให้ทหารเกาทัณฑ์ซุ่มที่เชิงสะพานทั้งสองฟาก คอยรับมือกับข้าศึกที่จะลอบเข้ามาทำลายสะพานด้วย
ฝ่ายขงเบ้งนั้นตั้งค่ายเรียงรายตั้งแต่ด่านเกียมโก๊ะ มาจนถึงเขากิสานประมาณสิบห้าค่าย อยู่ทางเหนือน้ำ และทำแพประมาณร้อยเศษ บรรทุกหญ้าฟางและใส่เชื้อเพลิงไว้ล่องตามลำน้ำมาเผาสะพานของสุมาอี้ เมื่อยกเข้าตีค่ายพร้อมกันทั้งสองฝั่ง
ครั้นถึงวันที่กำหนด ขงเบ้งสั่งให้ทหารเอกยกพลเข้าตีสุมาอี้ ตามแผนที่วางไว้ กลับไม่สำเร็จ ทหารสามกองที่เข้าตีค่ายฝั่งตะวันออก ก็ถูกตอบโต้จนแตกพ่ายกลับไป ฝ่ายที่ล่องแพเข้ามาจะเผาสะพาน ก็ถูกซุ่มยิงด้วยเกาทัณฑ์จนทหารกำกับแพตกน้ำตาย ก่อนที่จะได้จุดเพลิง ส่วนอีกหกกองที่ตั้งใจจะลอบโจมตีค่ายฝั่งตะวันตก ได้ข่าวว่าทางฝั่งตรงข้ามแตกพ่ายแล้ว จึงจะถอยกลับ ก็ถูกล้อมตีกระหนาบจนแตกยับเยิน ทหารล้มตายลงประมาณกึ่งหนึ่ง ตัวนายต้องตะเกียกตะกายหนีเอาตัวรอดไปหมด ขงเบ้งจึงได้เห็นว่าสุมาอี้ไม่ใช่หมู
ต่อมาสุมาอี้วางแผนให้แต้บุ๋น หนีไปสามิภักดิ์กับขงเบ้งเพื่อเป็นใส้ศึก ไม่นานนักก็มีคนของขงเบ้งชื่อกิตุ้น ถือหนังสือของแต้บุ๋นมาหาสุมาอี้ที่ค่าย สุมาอี้ถามว่าเหตุใดจึงได้ถือหนังสือมา กิตุ้นก็บอกว่า
“…….ตัวข้าพเจ้ากับแต้บุ๋นเป็นชาวลกเอี๋ยงด้วยกัน ครั้นข้าพเจ้าพลัดไปอยู่เมืองเสฉวน เข้าเป็นทหารเลวในกองทัพขงเบ้ง บัดนี้แต้บุ๋นทำความชอบต่อขงเบ้งเป็นอันมาก ขงเบ้งตั้งให้แต้บุ๋นเป็นนายทหารเอก แต้บุ๋นจึงให้ข้าพเจ้าถือหนังสือมาให้ท่าน…..”
สุมาอี้ก็รับเอาหนังสือนั้นมาอ่านดู มีเนื้อความว่า
ข้าพเจ้าแต้บุ๋นขอคำนับมาถึงสุมาอี้ ด้วยการทั้งปวงนั้นได้ทีอยู่แล้ว พรุ่งนี้เวลาสองยามให้ท่านยกมาปล้นค่ายขงเบ้งเถิด ข้าพเจ้าจะจุดเพลิงขึ้นในค่าย แล้วจึงจะตีกระหนาบ ออกไป
สุมาอี้อ่านทวนไปทวนมาหลายกลับ จำได้ว่าเป็นลายมือของแต้บุ๋น ก็มิได้มีความสงสัย จึงแต่งโต๊ะเลี้ยงกิตุ้นแล้วให้กลับไปบอกแต้บุ๋นให้เตรียมการไว้พร้อม ตนจะยกทหารไปทำการตามที่กำหนดนัด
รุ่งขึ้นสุมาอี้ก็จัดแจงทหาร เตรียมจะยกไปเวลาสองยาม สุมาสูบุตรชายคนโตก็ทักท้วงว่า
“……..ซึ่งบิดาจะทำการครั้งนี้ อย่าเพ่อเชื่อหนังสือแต้บุ๋นก่อน เกลือกขงเบ้งคิดอ่านซ้อนกลก็จะมีอันตรายถึงท่าน ขอให้แต่งนายทหารยกไปปล้นค่าย ท่านจงยกหนุนไปข้างหลัง ถึงอับจนก็จะได้แก้ไขง่าย……..”
สุมาสูกับสุมาเจียวบุตรสองคนนี้ ได้เคยไปทัพร่วมรบด้วยกันกับบิดาหลายคราว เมื่อเจ็ดปีก่อนขงเบ้งยกมาตีวุยก๊กเป็นหนแรกนั้น สุมาอี้นำทหารสิบห้าหมื่นจะเข้าตีเมืองเสเสีย ซึ่งเป็นที่เก็บเสบียงของขงเบ้ง แต่ไม่กล้าลงมือเพราะขงเบ้งเปิดประตูเมืองไว้ทั้งสี่ด้าน ไม่มีทหารเตรียมสู้รบต่อต้าน ตัวขงเบ้งขึ้นไปนั่งดีดกระจับปี่อยู่บนหอรบ กับเด็กน้อยสองคน สุมาอี้ก็กริ่งเกรงว่าจะเป็นกลอุบาย สุมาเจียวก็ว่าเหตุไฉนบิดาจึงมากลัวขงเบ้งดังนี้ เวลานี้ขงเบ้งไม่มีทหารเหลืออยู่แล้ว หมดความคิดที่จะต่อสู้ จึงซังกะตายทู่ซี้ทำเป็นกลอุบายหลอกเรา
สุมาอี้ก็มิได้เชื่อฟังและว่า
“………ตัวเจ้าหนุ่มแก่ความ ยังไม่เคยรู้เคยเห็นกลของขงเบ้ง อันตัวขงเบ้งนั้นเป็นคนมีสติปัญญาชำนาญในการสงครามนัก จะทำการสิ่งใดก็แน่นอน เคยทำกลศึกมีชัยมาหลายครั้ง เจ้ามีสติปัญญาแต่เพียงนี้ จะล่วงดูหมิ่นขงเบ้งผู้ใหญ่แก่การศึกนั้นมิบังควร………”
แล้วก็สั่งให้ทหารถอยกลับ ภายหลังเมื่อได้ทราบว่าขงเบ้งถอยทัพไปแล้ว สุมาอี้เข้ายึดเมืองเสเสียไว้ จึงได้ความจากชาวบ้านชาวเมืองว่า ขงเบ้งนั้นมีทหารที่ไม่ใช่พลรบ อยู่ในเมืองเพียงสองพันห้าร้อยคนเท่านั้น สุมาอี้จึงได้แต่เสียดายที่ตนไม่เชื่อคำทักท้วงของบุตร ชัยชนะที่อยู่ในกำมือจึงหลุดลอยไป ทำให้ศัตรูคู่อาฆาตนี้กลับมารังควาญได้อีกถึงห้าครั้ง
ในครั้งนี้สุมาอี้เห็นชอบด้วย จึงให้จีนล่งทหารเอก คุมพลเข้าตีค่ายขงเบ้งตอน สองยาม ก็แลเห็นแต่แสงเพลิงและได้ยินเสียงโห่ร้องอื้ออึง ไม่แจ้งว่าจีนล่งตีค่ายสำเร็จหรือไม่ ก็รีบยกตามไปช่วยจึงถูกล้อมตีกระหนาบ ด้วยเกียงอุยและอุยเอี๋ยนทหารเสือของขงเบ้ง จนทหารของ สุมาอี้ล้มตายลงเป็นอันมาก ตัวจีนล่งกับทหารหมื่นหนึ่งนั้น ถูกฆ่าตายในสนามรบจนหมดสิ้นทั้งนายและไพร่ สุมาอี้นั้นพาทหารที่เหลือตายหนีรอดกลับมาค่ายได้ อย่างสะบักสบอมเต็มที
เช้าวันรุ่งขึ้นได้เห็นศรีษะของแต้บุ๋น เสียบอยู่ที่ค่ายของขงเบ้ง สุมาอี้จึงได้รู้ว่าที่แท้ แต้บุ๋นถูกขงเบ้งจับได้และซ้อนกล บังคับให้เขียนหนังสือมาลวงตน เมื่อได้ชัยชนะแล้วจึงประหารชีวิตเสีย สุมาอี้จึงไม่ยอมออกรบอีก ไม่ว่าขงเบ้งจะส่งทหารมาท้าทายสักกี่ครั้งก็ตาม
จนเวลาล่วงไปสิบสี่สิบห้าวัน ม้าใช้ก็มาแจ้งข่าวแก่สุมาอี้ว่า ขงเบ้งใช้เกวียนขนเสบียงอาหารจากด่านกิมโก๊ะ มาส่งที่ค่ายเขากิสานทั้งวันทั้งคืน โคที่ลากเกวียนก็มิได้เหน็ดเหนื่อย เพราะเป็นโคยนต์ที่ขงเบ้งสร้างขึ้นมาไม่ได้มีชีวิต ไม่ต้องกินหญ้ากินน้ำ สุมาอี้ก็ตกใจจึงว่า
“……เราให้หน่วงไว้ไม่ออกรบพุ่ง หวังจะให้กองทัพขงเบ้งขาดเสบียง บัดนี้ขงเบ้งให้ทำโคยนต์เข็นเกวียนเสบียงมาส่งกันมิได้ขาด เห็นการสงครามนี้จะยืดยาวไป……”
แล้วก็ให้ทหารเอกสองคนคุมทหารห้าร้อย แต่งตัวปลอมเป็นทหารจ๊กก๊ก ไปแอบซุ่มดักโจมตีเกวียนเสบียงชิงเอาโคยนต์มาได้ห้าตัว สุมาอี้ก็ชมว่าขงเบ้งคิดอ่านทำดีนัก แล้วให้ช่างประมาณร้อยคน รื้อโคยนต์นั้นออกดูและทำเทียมให้เหมือนทุกชิ้น ทั้งใหญ่น้อยหนาบางและสั้นยาว แล้วประกอบกันเข้าเป็นโคยนต์ ใช้เวลาประมาณห้าสิบวันก็ได้มากมาย สามารถให้ทหารคุมเกวียนลากด้วยโคยนต์ ไปขนเสบียงจากเมืองเสหลงมาส่งให้ที่เมืองเตียงฮันมิได้ขาด
แต่สุมาอี้ขนเสบียงอยู่ได้ประมาณยี่สิบวัน ก็ถูกทหารของขงเบ้งปลอมตัวเป็นทหารวุยก๊ก มายึดเกวียนไว้ได้และคุมให้เดินไปทางค่ายขงเบ้ง พอทหารของสุมาอี้รวบรวมพลตามไปแย่งเกวียนคืน โคยนต์เหล่านั้นก็ยืนนิ่งไม่เดินกลับ เพราะทหารของขงเบ้งพลิกลิ้นในตัวโคยนต์เสีย และทหารของสุมาอี้ไม่รู้วิธีแก้ ครั้นทหารของขงเบ้งย้อนมาโจมตีอีก จนยึดเกวียนเสบียงได้ ก็พลิกลิ้นกลับทำให้โคยนต์เดินต่อไปตามเดิม
เมื่อสุมาอี้รู้ว่ากองเสบียงของตนถูกโจมตี ก็คุมทหารมาช่วย แต่ก็ถูกล้อมตีกระหนาบทั้งซ้ายขวาโดยไม่รู้ตัวจนแตกพ่าย สุมาอี้ควบม้าหนีไปโดยมีเลียวฮัวทหารเอกของขงเบ้งตามติดไป พอใกล้จะถึงตัวก็เอาง้าวฟัน แต่สุมาอี้ชักม้าลอดกิ่งไม้พ้นไปได้ ง้าวของเลียวฮัวจึงติดต้นไม้กว่าจะดึงทวนออกได้สุมาอี้ก็หนีไปพ้นมือแล้ว เหลือแต่หมวกทองตำแหน่งแม่ทัพ ที่หล่นอยู่โคนต้นไม้ในป่า ให้เก็บเอาไปเป็นที่ระลึกเท่านั้น
สุมาอี้ก็วิตกทุกข์ร้อนยิ่งนัก เพราะเสียทหารแลเสบียงไปเป็นอันมาก จึงให้ทหารรักษาค่ายไว้มั่นคง ไม่ยอมออกรบแม้ว่าฝ่ายข้าศึกจะเอาหมวกทองของตน มาเยาะเย้ยและท้าทาย จนนายทัพนายกองทั้งปวงต่างก็โกรธ แต่งตัวใส่เกราะจะออกไปรบแทน สุมาอี้ก็ห้ามไว้ว่าอย่าออกไปเลย อันโบราณกล่าวไว้ว่า เหตุการณ์นิดหนึ่งจะพาให้เสียการใหญ่ ทหารฝ่ายขงเบ้งจึงต้องเก้อกลับไป
ต่อมาแฮหัวโฮกับแฮหัวฮุย บุตรของแฮหัวเอี๋ยนแจ้งว่าขงเบ้งให้ตั้งค่าย อยู่บนเนินเขาและปากทางหุบเขาเฮาโลก๊ก แล้วตั้งทับและตึกดินเล็ก ๆ เรียงรายอยู่เป็นอันมาก เห็นว่าการศึกครั้งนี้จะยืดยาว ควรจะคิดอ่านทำลายเสียก่อน นานไปจะกำจัดลำบาก สุมาอี้ก็ว่าซึ่งข้าศึกทำการทั้งปวงนั้น เห็นจะเป็นกลอุบายของขงเบ้ง ครั้นจะยกออกรบพุ่งก็เกรงจะเสียที ทั้งสองนายก็ขออาสาคุมทหารไปตีเอง สุมาอี้ขัดไม่ได้จึงอนุญาตให้คุมทหารสองพัน แบ่งเป็นสองกองออกไปโจมตีขบวนเกวียนเสบียงของขงเบ้ง จับเชลยมาซักถามข่าวคราวทางฝ่ายข้าศึกแล้วก็ปล่อยไป
สุมาอี้หาข่าวจนแน่ใจแล้วว่า ขงเบ้งนั้นตั้งค่ายอยู่ที่เขาเซียมก๊ก แต่ขนเสบียงไปเก็บไว้ที่เขาเฮาโลก๊ก จึงวางแผนให้ทหารเข้าตีค่ายใหญ่ของขงเบ้งที่เขากิสาน แล้วตนเองจะคุมทหารไปตีค่ายเขาเซียมก๊กและเขาเฮาโลก๊ก สุมาสูก็ทักอีกว่า
“………ค่ายใหญ่ของขงเบ้งนั้นอยู่ข้างหลัง ซึ่งขงเบ้งไปตั้งค่ายอยู่บนเนินเขาเซียมก๊กนั้น เยื้องเข้ามาเป็นค่ายหน้า เหตุใดบิดามิได้สั่งให้ไปตีเอาค่ายหน้าก่อน จะด่วนไปตีเอาค่ายหลังนั้น เกลือกขงเบ้งยกไปช่วย ทหารเราก็จะมิเสียทีหรือ…….”
สุมาอี้ก็บอกแผนการให้ฟังว่า
“……เขากิสานนั้นเป็นค่ายมั่น แม้เรายกไปตี เห็นขงเบ้งแลทหารทั้งปวงก็จะยกไปช่วยค่ายใหญ่เป็นมั่นคง เราจึงจะแยกทหารไปโจมตีเอาค่ายปากทางเฮาโลก๊ก แลเนินเขาเซียมก๊กให้ได้ แล้วจะให้เผาข้าวปลาอาหารเสีย เมื่อขงเบ้งเสียเสบียงแล้ว เราก็จะทำศึกมีชัยชนะโดยง่าย……..”
แล้วสุมาอี้ก็ยกทหารไปทำการตามแผนนั้น ก็เจออุยเอี๋ยนดักอยู่ เมื่อรบกันได้สามเพลง อุยเอี๋ยนก็ชักม้าหนีไป สุมาอี้บุกเข้าไปถึงปากทางหุบเขาเฮาโลก๊ก ซึ่งเข้าใจว่าเป็นค่ายของขงเบ้ง แต่กลับไม่มีทหารอยู่เลย มีแต่ทับที่พักว่างเปล่า กับมีหญ้าฟางกองสุมอยู่เป็นอันมาก สุมาอี้ก็ชักเอะใจ บอกกับสุมาสูและสุมาเจียวผู้บุตรทั้งสองว่า
“……..อันในหุบเขานี้จำเพาะมีทางเข้าออกตามซอกแต่สองทาง แม้นขงเบ้งแต่งทหารมาซุ่มสกัดปากทางไว้ทั้งสองข้าง เราก็จะได้ความขัดสนนัก……..”
พอพูดขาดคำ ก็ได้ยินเสียงประทัดและทหารร้องอื้ออึง แล้วทิ้งคบเพลิงลงมาจากเนินเขาเป็นอันมาก เพลิงนั้นก็ติดชนวนแลดินประสิวที่อยู่ในทับ ไหม้เชื้อลุกโพลงขึ้นทั่วไปทั้งหุบเขา สุมาอี้เห็นดังนั้นก็ตกใจแทบสิ้นสติ ตกลงจากหลังม้ากอดบุตรชายทั้งสอง แล้วร่ำไห้ว่า ครั้งนี้ชีวิตเราพ่อลูกจะตายในที่นี้เป็นมั่นคง จะโดดขึ้นม้าก็ตกลงมาสามสี่ครั้ง จะหนีไปทางไหนก็ไม่ได้ เพราะมีแต่เพลิงลุกท่วมไปหมด
แต่ในทันใดนั้นเองก็เกิดลมพายุใหญ่พัดมา แลฟ้าผ่าลงเสียงดังแผ่นดินจะถล่ม แล้วฝนก็ตกลงมาห่าใหญ่ จนน้ำในหุบเขาท่วมขึ้นประมาณหนึ่งศอก และเพลิงนั้นก็ดับไปสิ้น สุมาอี้จึงร้องว่าบุญเรายังมีอยู่เป็นอันมาก เทพดาจึงบันดาลให้ฝนตกลงมาช่วยเรา แล้วก็พาบุตรทั้งสองออกมาถึงปากทาง จึงพบทหารกองหลังพากันกลับมาค่าย
ฝ่ายขงเบ้งนั้นบัญชาการอยู่บนเขา เมื่อเห็นอุยเอี๋ยนล่อสุมาอี้เข้ามาในหุบเขา เฮาโลก๊กได้นั้น ก็คิดว่าครั้งนี้สุมาอี้คงจะต้องตายอยู่กลางเพลิงเป็นแน่แท้ แต่พอฝนตกลงมาและ สุมาอี้หนีรอดไปได้ จึงทอดใจใหญ่แล้วว่า
“……ธรรมดาคนทั้งปวง จะทำสิ่งใดย่อมสำเร็จด้วยความคิด แม้การไม่ตลอด ก็เพราะผู้นั้นมีกรรมอยู่…….”
และตั้งแต่นั้นสุมาอี้ก็ห้ามทหารมิให้ออกไปรบพุ่งกับทหารขงเบ้ง เป็นอันขาด ไม่ว่าข้าศึกจะมาท้ายทายอย่างไร ให้รักษาค่ายไว้จงมั่นคง เวลาล่วงไปหลายวัน ขงเบ้งก็ให้ทหารแบกหีบมามอบให้เป็นของขวัญแก่สุมาอี้ เมื่อเปิดออกดูก็เห็นมีผ้าซับในกางเกงของผู้หญิง และหนังสือฉบับหนึ่ง สุมาอี้ก็ฉีกออกอ่าน ในหนังสือนั้นมีเนื้อความว่า
สุมาอี้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ในเมืองลกเอี๋ยง ยกกองทัพออกม
เสือไม่สิ้นลาย ๓ มี.ค.๖๑
เสือไม่สิ้นลาย
เล่าเซี่ยงชุน
สงครามระหว่างจ๊กก๊กของพระเจ้าเล่าเสี้ยน ราชบุตรของพระเจ้าเล่าปี่ แห่งเมืองเสฉวน กับวุยก๊กของพระเจ้าโจยอย ราชบุตรของพระเจ้าโจผี หลานของโจโฉ แห่งเมืองลกเอี๋ยงนั้นทั้งสองฝ่ายได้สู้รบกันถึงหกครั้ง แต่ขงเบ้งเสนาธิการทหารสูงสุดของฝ่ายจ๊กก๊ก ซึ่งผู้คนจำนวนมากสรรเสริญว่า เป็นผู้หยั่งรู้ดินฟ้ามหาสมุทรดังเทพยดา ก็ไม่สามารถที่จะเอาชนะฝ่ายวุยก๊ก ให้ เด็ดขาดลงได้ ทั้งที่เป็นฝ่ายรุกเข้าไปในดินแดนของฝ่ายตรงข้ามก่อนทุกครั้ง ทั้งนี้ก็เพราะฝ่ายตั้งรับมีแม่ทัพใหญ่ที่ชื่อว่าสุมาอี้ นั่นเอง ในการรบครั้งสุดท้ายเมื่อ พ.ศ.๗๗๖ ขงเบ้งเกือบจะได้ชัยชนะแล้ว แต่ก็มีเหตุให้สุมาอี้หลุดรอดไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ในการรบครั้งนั้น หลังจากที่ขงเบ้งพักรบไปเพื่อทำนุบำรุงไพร่พลอยู่ถึงสามปี ก็ยก ทัพใหญ่ประมาณสี่สิบหมื่น มาทางเขากิสานสมรภูมิเก่า ที่เคยปะทะกันมาหลายครั้งแล้ว พระเจ้าโจยอยทรงปรึกษาสุมาอี้ว่าจะคิดอ่านประการใด สุมาอี้ก็ทูลว่า
“………อันดาวสำหรับเมืองเสฉวนนั้นเศร้าหมองนัก ซึ่งขงเบ้งยกมาครั้งนี้เหมือนหนึ่งหาภัยใส่ตัว พระองค์อย่าคิดวิตกเลย ไว้ข้าพเจ้าจะอาสาไปต้านทานเอาชัยชนะให้ได้……..”
แล้วสุมาอี้ก็พาบุตรชายสี่คนของแฮหัวเอี๋ยน ทหารเอกสมัยโจโฉไปในกองทัพซึ่งมีกำลังพลพอกันกับฝ่ายตรงข้าม เตรียมตั้งรับที่เมืองเตียงฮัน และวางแนวต้านทานไว้ตามลำแม่น้ำอุยโห โดยให้กองหน้าข้ามฟากไปตั้งค่ายไว้ทางฝั่งตะวันตก ที่ข้าศึกจะมุ่งหน้าเข้ามา ส่วนสุมาอี้คุมกองหลังตั้งค่ายทางฝั่งตะวันออก และทำสะพานข้ามเพื่อช่วยเหลือกันหลายแห่ง กับให้ทหารเกาทัณฑ์ซุ่มที่เชิงสะพานทั้งสองฟาก คอยรับมือกับข้าศึกที่จะลอบเข้ามาทำลายสะพานด้วย
ฝ่ายขงเบ้งนั้นตั้งค่ายเรียงรายตั้งแต่ด่านเกียมโก๊ะ มาจนถึงเขากิสานประมาณสิบห้าค่าย อยู่ทางเหนือน้ำ และทำแพประมาณร้อยเศษ บรรทุกหญ้าฟางและใส่เชื้อเพลิงไว้ล่องตามลำน้ำมาเผาสะพานของสุมาอี้ เมื่อยกเข้าตีค่ายพร้อมกันทั้งสองฝั่ง
ครั้นถึงวันที่กำหนด ขงเบ้งสั่งให้ทหารเอกยกพลเข้าตีสุมาอี้ ตามแผนที่วางไว้ กลับไม่สำเร็จ ทหารสามกองที่เข้าตีค่ายฝั่งตะวันออก ก็ถูกตอบโต้จนแตกพ่ายกลับไป ฝ่ายที่ล่องแพเข้ามาจะเผาสะพาน ก็ถูกซุ่มยิงด้วยเกาทัณฑ์จนทหารกำกับแพตกน้ำตาย ก่อนที่จะได้จุดเพลิง ส่วนอีกหกกองที่ตั้งใจจะลอบโจมตีค่ายฝั่งตะวันตก ได้ข่าวว่าทางฝั่งตรงข้ามแตกพ่ายแล้ว จึงจะถอยกลับ ก็ถูกล้อมตีกระหนาบจนแตกยับเยิน ทหารล้มตายลงประมาณกึ่งหนึ่ง ตัวนายต้องตะเกียกตะกายหนีเอาตัวรอดไปหมด ขงเบ้งจึงได้เห็นว่าสุมาอี้ไม่ใช่หมู
ต่อมาสุมาอี้วางแผนให้แต้บุ๋น หนีไปสามิภักดิ์กับขงเบ้งเพื่อเป็นใส้ศึก ไม่นานนักก็มีคนของขงเบ้งชื่อกิตุ้น ถือหนังสือของแต้บุ๋นมาหาสุมาอี้ที่ค่าย สุมาอี้ถามว่าเหตุใดจึงได้ถือหนังสือมา กิตุ้นก็บอกว่า
“…….ตัวข้าพเจ้ากับแต้บุ๋นเป็นชาวลกเอี๋ยงด้วยกัน ครั้นข้าพเจ้าพลัดไปอยู่เมืองเสฉวน เข้าเป็นทหารเลวในกองทัพขงเบ้ง บัดนี้แต้บุ๋นทำความชอบต่อขงเบ้งเป็นอันมาก ขงเบ้งตั้งให้แต้บุ๋นเป็นนายทหารเอก แต้บุ๋นจึงให้ข้าพเจ้าถือหนังสือมาให้ท่าน…..”
สุมาอี้ก็รับเอาหนังสือนั้นมาอ่านดู มีเนื้อความว่า
ข้าพเจ้าแต้บุ๋นขอคำนับมาถึงสุมาอี้ ด้วยการทั้งปวงนั้นได้ทีอยู่แล้ว พรุ่งนี้เวลาสองยามให้ท่านยกมาปล้นค่ายขงเบ้งเถิด ข้าพเจ้าจะจุดเพลิงขึ้นในค่าย แล้วจึงจะตีกระหนาบ ออกไป
สุมาอี้อ่านทวนไปทวนมาหลายกลับ จำได้ว่าเป็นลายมือของแต้บุ๋น ก็มิได้มีความสงสัย จึงแต่งโต๊ะเลี้ยงกิตุ้นแล้วให้กลับไปบอกแต้บุ๋นให้เตรียมการไว้พร้อม ตนจะยกทหารไปทำการตามที่กำหนดนัด
รุ่งขึ้นสุมาอี้ก็จัดแจงทหาร เตรียมจะยกไปเวลาสองยาม สุมาสูบุตรชายคนโตก็ทักท้วงว่า
“……..ซึ่งบิดาจะทำการครั้งนี้ อย่าเพ่อเชื่อหนังสือแต้บุ๋นก่อน เกลือกขงเบ้งคิดอ่านซ้อนกลก็จะมีอันตรายถึงท่าน ขอให้แต่งนายทหารยกไปปล้นค่าย ท่านจงยกหนุนไปข้างหลัง ถึงอับจนก็จะได้แก้ไขง่าย……..”
สุมาสูกับสุมาเจียวบุตรสองคนนี้ ได้เคยไปทัพร่วมรบด้วยกันกับบิดาหลายคราว เมื่อเจ็ดปีก่อนขงเบ้งยกมาตีวุยก๊กเป็นหนแรกนั้น สุมาอี้นำทหารสิบห้าหมื่นจะเข้าตีเมืองเสเสีย ซึ่งเป็นที่เก็บเสบียงของขงเบ้ง แต่ไม่กล้าลงมือเพราะขงเบ้งเปิดประตูเมืองไว้ทั้งสี่ด้าน ไม่มีทหารเตรียมสู้รบต่อต้าน ตัวขงเบ้งขึ้นไปนั่งดีดกระจับปี่อยู่บนหอรบ กับเด็กน้อยสองคน สุมาอี้ก็กริ่งเกรงว่าจะเป็นกลอุบาย สุมาเจียวก็ว่าเหตุไฉนบิดาจึงมากลัวขงเบ้งดังนี้ เวลานี้ขงเบ้งไม่มีทหารเหลืออยู่แล้ว หมดความคิดที่จะต่อสู้ จึงซังกะตายทู่ซี้ทำเป็นกลอุบายหลอกเรา
สุมาอี้ก็มิได้เชื่อฟังและว่า
“………ตัวเจ้าหนุ่มแก่ความ ยังไม่เคยรู้เคยเห็นกลของขงเบ้ง อันตัวขงเบ้งนั้นเป็นคนมีสติปัญญาชำนาญในการสงครามนัก จะทำการสิ่งใดก็แน่นอน เคยทำกลศึกมีชัยมาหลายครั้ง เจ้ามีสติปัญญาแต่เพียงนี้ จะล่วงดูหมิ่นขงเบ้งผู้ใหญ่แก่การศึกนั้นมิบังควร………”
แล้วก็สั่งให้ทหารถอยกลับ ภายหลังเมื่อได้ทราบว่าขงเบ้งถอยทัพไปแล้ว สุมาอี้เข้ายึดเมืองเสเสียไว้ จึงได้ความจากชาวบ้านชาวเมืองว่า ขงเบ้งนั้นมีทหารที่ไม่ใช่พลรบ อยู่ในเมืองเพียงสองพันห้าร้อยคนเท่านั้น สุมาอี้จึงได้แต่เสียดายที่ตนไม่เชื่อคำทักท้วงของบุตร ชัยชนะที่อยู่ในกำมือจึงหลุดลอยไป ทำให้ศัตรูคู่อาฆาตนี้กลับมารังควาญได้อีกถึงห้าครั้ง
ในครั้งนี้สุมาอี้เห็นชอบด้วย จึงให้จีนล่งทหารเอก คุมพลเข้าตีค่ายขงเบ้งตอน สองยาม ก็แลเห็นแต่แสงเพลิงและได้ยินเสียงโห่ร้องอื้ออึง ไม่แจ้งว่าจีนล่งตีค่ายสำเร็จหรือไม่ ก็รีบยกตามไปช่วยจึงถูกล้อมตีกระหนาบ ด้วยเกียงอุยและอุยเอี๋ยนทหารเสือของขงเบ้ง จนทหารของ สุมาอี้ล้มตายลงเป็นอันมาก ตัวจีนล่งกับทหารหมื่นหนึ่งนั้น ถูกฆ่าตายในสนามรบจนหมดสิ้นทั้งนายและไพร่ สุมาอี้นั้นพาทหารที่เหลือตายหนีรอดกลับมาค่ายได้ อย่างสะบักสบอมเต็มที
เช้าวันรุ่งขึ้นได้เห็นศรีษะของแต้บุ๋น เสียบอยู่ที่ค่ายของขงเบ้ง สุมาอี้จึงได้รู้ว่าที่แท้ แต้บุ๋นถูกขงเบ้งจับได้และซ้อนกล บังคับให้เขียนหนังสือมาลวงตน เมื่อได้ชัยชนะแล้วจึงประหารชีวิตเสีย สุมาอี้จึงไม่ยอมออกรบอีก ไม่ว่าขงเบ้งจะส่งทหารมาท้าทายสักกี่ครั้งก็ตาม
จนเวลาล่วงไปสิบสี่สิบห้าวัน ม้าใช้ก็มาแจ้งข่าวแก่สุมาอี้ว่า ขงเบ้งใช้เกวียนขนเสบียงอาหารจากด่านกิมโก๊ะ มาส่งที่ค่ายเขากิสานทั้งวันทั้งคืน โคที่ลากเกวียนก็มิได้เหน็ดเหนื่อย เพราะเป็นโคยนต์ที่ขงเบ้งสร้างขึ้นมาไม่ได้มีชีวิต ไม่ต้องกินหญ้ากินน้ำ สุมาอี้ก็ตกใจจึงว่า
“……เราให้หน่วงไว้ไม่ออกรบพุ่ง หวังจะให้กองทัพขงเบ้งขาดเสบียง บัดนี้ขงเบ้งให้ทำโคยนต์เข็นเกวียนเสบียงมาส่งกันมิได้ขาด เห็นการสงครามนี้จะยืดยาวไป……”
แล้วก็ให้ทหารเอกสองคนคุมทหารห้าร้อย แต่งตัวปลอมเป็นทหารจ๊กก๊ก ไปแอบซุ่มดักโจมตีเกวียนเสบียงชิงเอาโคยนต์มาได้ห้าตัว สุมาอี้ก็ชมว่าขงเบ้งคิดอ่านทำดีนัก แล้วให้ช่างประมาณร้อยคน รื้อโคยนต์นั้นออกดูและทำเทียมให้เหมือนทุกชิ้น ทั้งใหญ่น้อยหนาบางและสั้นยาว แล้วประกอบกันเข้าเป็นโคยนต์ ใช้เวลาประมาณห้าสิบวันก็ได้มากมาย สามารถให้ทหารคุมเกวียนลากด้วยโคยนต์ ไปขนเสบียงจากเมืองเสหลงมาส่งให้ที่เมืองเตียงฮันมิได้ขาด
แต่สุมาอี้ขนเสบียงอยู่ได้ประมาณยี่สิบวัน ก็ถูกทหารของขงเบ้งปลอมตัวเป็นทหารวุยก๊ก มายึดเกวียนไว้ได้และคุมให้เดินไปทางค่ายขงเบ้ง พอทหารของสุมาอี้รวบรวมพลตามไปแย่งเกวียนคืน โคยนต์เหล่านั้นก็ยืนนิ่งไม่เดินกลับ เพราะทหารของขงเบ้งพลิกลิ้นในตัวโคยนต์เสีย และทหารของสุมาอี้ไม่รู้วิธีแก้ ครั้นทหารของขงเบ้งย้อนมาโจมตีอีก จนยึดเกวียนเสบียงได้ ก็พลิกลิ้นกลับทำให้โคยนต์เดินต่อไปตามเดิม
เมื่อสุมาอี้รู้ว่ากองเสบียงของตนถูกโจมตี ก็คุมทหารมาช่วย แต่ก็ถูกล้อมตีกระหนาบทั้งซ้ายขวาโดยไม่รู้ตัวจนแตกพ่าย สุมาอี้ควบม้าหนีไปโดยมีเลียวฮัวทหารเอกของขงเบ้งตามติดไป พอใกล้จะถึงตัวก็เอาง้าวฟัน แต่สุมาอี้ชักม้าลอดกิ่งไม้พ้นไปได้ ง้าวของเลียวฮัวจึงติดต้นไม้กว่าจะดึงทวนออกได้สุมาอี้ก็หนีไปพ้นมือแล้ว เหลือแต่หมวกทองตำแหน่งแม่ทัพ ที่หล่นอยู่โคนต้นไม้ในป่า ให้เก็บเอาไปเป็นที่ระลึกเท่านั้น
สุมาอี้ก็วิตกทุกข์ร้อนยิ่งนัก เพราะเสียทหารแลเสบียงไปเป็นอันมาก จึงให้ทหารรักษาค่ายไว้มั่นคง ไม่ยอมออกรบแม้ว่าฝ่ายข้าศึกจะเอาหมวกทองของตน มาเยาะเย้ยและท้าทาย จนนายทัพนายกองทั้งปวงต่างก็โกรธ แต่งตัวใส่เกราะจะออกไปรบแทน สุมาอี้ก็ห้ามไว้ว่าอย่าออกไปเลย อันโบราณกล่าวไว้ว่า เหตุการณ์นิดหนึ่งจะพาให้เสียการใหญ่ ทหารฝ่ายขงเบ้งจึงต้องเก้อกลับไป
ต่อมาแฮหัวโฮกับแฮหัวฮุย บุตรของแฮหัวเอี๋ยนแจ้งว่าขงเบ้งให้ตั้งค่าย อยู่บนเนินเขาและปากทางหุบเขาเฮาโลก๊ก แล้วตั้งทับและตึกดินเล็ก ๆ เรียงรายอยู่เป็นอันมาก เห็นว่าการศึกครั้งนี้จะยืดยาว ควรจะคิดอ่านทำลายเสียก่อน นานไปจะกำจัดลำบาก สุมาอี้ก็ว่าซึ่งข้าศึกทำการทั้งปวงนั้น เห็นจะเป็นกลอุบายของขงเบ้ง ครั้นจะยกออกรบพุ่งก็เกรงจะเสียที ทั้งสองนายก็ขออาสาคุมทหารไปตีเอง สุมาอี้ขัดไม่ได้จึงอนุญาตให้คุมทหารสองพัน แบ่งเป็นสองกองออกไปโจมตีขบวนเกวียนเสบียงของขงเบ้ง จับเชลยมาซักถามข่าวคราวทางฝ่ายข้าศึกแล้วก็ปล่อยไป
สุมาอี้หาข่าวจนแน่ใจแล้วว่า ขงเบ้งนั้นตั้งค่ายอยู่ที่เขาเซียมก๊ก แต่ขนเสบียงไปเก็บไว้ที่เขาเฮาโลก๊ก จึงวางแผนให้ทหารเข้าตีค่ายใหญ่ของขงเบ้งที่เขากิสาน แล้วตนเองจะคุมทหารไปตีค่ายเขาเซียมก๊กและเขาเฮาโลก๊ก สุมาสูก็ทักอีกว่า
“………ค่ายใหญ่ของขงเบ้งนั้นอยู่ข้างหลัง ซึ่งขงเบ้งไปตั้งค่ายอยู่บนเนินเขาเซียมก๊กนั้น เยื้องเข้ามาเป็นค่ายหน้า เหตุใดบิดามิได้สั่งให้ไปตีเอาค่ายหน้าก่อน จะด่วนไปตีเอาค่ายหลังนั้น เกลือกขงเบ้งยกไปช่วย ทหารเราก็จะมิเสียทีหรือ…….”
สุมาอี้ก็บอกแผนการให้ฟังว่า
“……เขากิสานนั้นเป็นค่ายมั่น แม้เรายกไปตี เห็นขงเบ้งแลทหารทั้งปวงก็จะยกไปช่วยค่ายใหญ่เป็นมั่นคง เราจึงจะแยกทหารไปโจมตีเอาค่ายปากทางเฮาโลก๊ก แลเนินเขาเซียมก๊กให้ได้ แล้วจะให้เผาข้าวปลาอาหารเสีย เมื่อขงเบ้งเสียเสบียงแล้ว เราก็จะทำศึกมีชัยชนะโดยง่าย……..”
แล้วสุมาอี้ก็ยกทหารไปทำการตามแผนนั้น ก็เจออุยเอี๋ยนดักอยู่ เมื่อรบกันได้สามเพลง อุยเอี๋ยนก็ชักม้าหนีไป สุมาอี้บุกเข้าไปถึงปากทางหุบเขาเฮาโลก๊ก ซึ่งเข้าใจว่าเป็นค่ายของขงเบ้ง แต่กลับไม่มีทหารอยู่เลย มีแต่ทับที่พักว่างเปล่า กับมีหญ้าฟางกองสุมอยู่เป็นอันมาก สุมาอี้ก็ชักเอะใจ บอกกับสุมาสูและสุมาเจียวผู้บุตรทั้งสองว่า
“……..อันในหุบเขานี้จำเพาะมีทางเข้าออกตามซอกแต่สองทาง แม้นขงเบ้งแต่งทหารมาซุ่มสกัดปากทางไว้ทั้งสองข้าง เราก็จะได้ความขัดสนนัก……..”
พอพูดขาดคำ ก็ได้ยินเสียงประทัดและทหารร้องอื้ออึง แล้วทิ้งคบเพลิงลงมาจากเนินเขาเป็นอันมาก เพลิงนั้นก็ติดชนวนแลดินประสิวที่อยู่ในทับ ไหม้เชื้อลุกโพลงขึ้นทั่วไปทั้งหุบเขา สุมาอี้เห็นดังนั้นก็ตกใจแทบสิ้นสติ ตกลงจากหลังม้ากอดบุตรชายทั้งสอง แล้วร่ำไห้ว่า ครั้งนี้ชีวิตเราพ่อลูกจะตายในที่นี้เป็นมั่นคง จะโดดขึ้นม้าก็ตกลงมาสามสี่ครั้ง จะหนีไปทางไหนก็ไม่ได้ เพราะมีแต่เพลิงลุกท่วมไปหมด
แต่ในทันใดนั้นเองก็เกิดลมพายุใหญ่พัดมา แลฟ้าผ่าลงเสียงดังแผ่นดินจะถล่ม แล้วฝนก็ตกลงมาห่าใหญ่ จนน้ำในหุบเขาท่วมขึ้นประมาณหนึ่งศอก และเพลิงนั้นก็ดับไปสิ้น สุมาอี้จึงร้องว่าบุญเรายังมีอยู่เป็นอันมาก เทพดาจึงบันดาลให้ฝนตกลงมาช่วยเรา แล้วก็พาบุตรทั้งสองออกมาถึงปากทาง จึงพบทหารกองหลังพากันกลับมาค่าย
ฝ่ายขงเบ้งนั้นบัญชาการอยู่บนเขา เมื่อเห็นอุยเอี๋ยนล่อสุมาอี้เข้ามาในหุบเขา เฮาโลก๊กได้นั้น ก็คิดว่าครั้งนี้สุมาอี้คงจะต้องตายอยู่กลางเพลิงเป็นแน่แท้ แต่พอฝนตกลงมาและ สุมาอี้หนีรอดไปได้ จึงทอดใจใหญ่แล้วว่า
“……ธรรมดาคนทั้งปวง จะทำสิ่งใดย่อมสำเร็จด้วยความคิด แม้การไม่ตลอด ก็เพราะผู้นั้นมีกรรมอยู่…….”
และตั้งแต่นั้นสุมาอี้ก็ห้ามทหารมิให้ออกไปรบพุ่งกับทหารขงเบ้ง เป็นอันขาด ไม่ว่าข้าศึกจะมาท้ายทายอย่างไร ให้รักษาค่ายไว้จงมั่นคง เวลาล่วงไปหลายวัน ขงเบ้งก็ให้ทหารแบกหีบมามอบให้เป็นของขวัญแก่สุมาอี้ เมื่อเปิดออกดูก็เห็นมีผ้าซับในกางเกงของผู้หญิง และหนังสือฉบับหนึ่ง สุมาอี้ก็ฉีกออกอ่าน ในหนังสือนั้นมีเนื้อความว่า
สุมาอี้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ในเมืองลกเอี๋ยง ยกกองทัพออกม