สามก๊กฉบับลายคราม
ผู้พิชิตสามก๊ก
ตอนที่ ๓ ศัตรูเจ้าเล่ห์
เล่าเซี่ยงชุน
สุมาอี้กับบุตรชายทั้งสองยกกองทัพมาใกล้จะถึงเมืองเสเสีย ทหารกองหน้าก็กลับมารายงานว่า
“..........บัดนี้ข้าพเจ้ายกเข้าถึงเชิงกำแพง เห็นเมืองเงียบอยู่ มีแต่คนประตูละยี่สิบคน นั่งกวาดหยากเยื่อเฉยอยู่ แล้วตัวขงเบ้งนั้นขึ้นนั่งดีดกระจับปี่เล่นอยู่บนหอรบ เห็นประหลาดนัก จะเข้าเมืองนั้นก็เกรงจะถูกกลขงเบ้ง จึงกลับมาบอกท่าน.........”
สุมาอี้ได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ แล้วจึงว่าขงเบ้งนี้จะอาจกระนั้นเจียวหรือ เรามิเชื่อจะไปดูเอง และสุมาอี้กับบุตรทั้งสองกับทหารประมารยี่สิบคน ก็ขึ้นม้าไปยืนอยู่ใกล้กำแพงเมืองเสเสีย แลขึ้นไปบนหอรบเห็นขงเบ้งแต่งตัวโอ่อ่า หน้าตาแช่มชื่นเบิกบานสบายอยู่ ก็คิดว่ากองทัพเรายกมาเป็นการจวนตัวถึงเพียงนี้ ขงเบ้งหามีความสะดุ้งใจไม่ กลับดีดกระจับปี่เล่นเสียอีกเล่า ชะรอยจะแต่งกลไว้ลวงเราเป็นมั่นคง คิดฉะนั้นแล้วก็กริ่งใจกลัวว่าขงเบ้งจะซุ่มทหารไว้ ก็ชักม้าพาทหารกลับไป แล้วสั่งถอยทัพทันที สุมาเจียวผู้บุตรจึงห้ามว่า
“...........เหตุไฉนบิดาจึงมากลัวขงเบ้งดังนี้ ขงเบ้งนี้เป็นคนสิ้นทหาร สุดความคิดสู้เรามิได้แล้ว ก็ซังตายแข็งใจทำกลเปล่า ๆ อยู่.........”
สุมาอี้จึงว่า
“.........ตัวเจ้าหนุ่มแก่ความยังมิรู้สันทัด เคยกลของขงเบ้ง อันขงเบ้งเป็นคนมีสติปัญญา ชำนาญในการสงครามนัก จะทำการสิ่งใดก็แน่นอน เคยทำกลศึกมีชัยมาหลายครั้ง เจ้ามีสติปัญญาแต่เพียงนี้ จะล่วงดูหมิ่นขงเบ้งเป็นผู้ใหญ่แก่กล้าในการศึกนั้นมิบังควร แม้จะขืนทำล่วงเกินไปก็จะต้องด้วยกลของขงเบ้ง พากันตายเสียสิ้น ซึ่งถ้อยคำของเจ้าว่าเราจะเชื่อฟังมิได้.........”
ว่าแล้วก็สั่งให้ทหารถอยโดยด่วน ให้กองหลังเป็นกองหน้า ให้กองหน้าคอยระวังหลัง เร่งให้ทหารทั้งปวงรีบไป จนมาถึงตำบลเขาบุกองสัน ได้ยินเสียงทหารซึ่งตั้งซุ่มอยู่บนเขานั้นโห่ร้องเสียงสนั่นลงมา สุมาอี้ก็ตกใจว่าแก่บุตรทั้งสองว่า แม้เรามิรีบหนีมาก็จะต้องกลของขงเบ้งจริง ว่ายังมิทันขาดคำก็แลไปเห็นกองทัพยกลงมาจากเนินเขา มีธงดำแม่ทัพจารึกชื่อเตียวเปา บุตรของเตียวหุย ทหารทั้งปวงก็ตกใจกลัว ทิ้งศัสตราวุธเสีย วิ่งหนีร่นถอยหลังมาถึงปากทางจะออกทางใหญ่ ก็เห็นกองทัพยกลงมาสกัดอีกกองหนึ่ง มีธงแดงจารึกชื่อกวนหินบุตรของกวนอูเป็นแม่ทัพ
สุมาอี้สำคัญว่าขงเบ้งทำกลอุบายซุ่มทหารไว้ก็ตกใจ พาทหารทั้งปวงให้แตกตื่นกันเป็นอลหม่าน แต่ทหารทั้งสองกองนั้นก็มิได้ติดตามมา เมื่อหนีมาได้ไกลแล้วก็แจ้งข่าวจากชาวบ้านว่า ขงเบ้งยกทหารเลิกไปจากเมืองเสเสียแล้ว จึงพากองทัพกลับเข้าไปในเมือง สอบถามชาวเมืองทั้งปวงว่า ขงเบ้งมาตั้งอยู่ในเมืองนี้ มีทหารอยู่สักเท่าใด หญิงชายทั้งนั้นก็บอกว่าขงเบ้งนั้นมีทหารแค่สองพันห้าร้อย แต่ล้วนพลเรือน ทหารที่มีฝีมือนั้นหามีไม่ และกวนหินเตียวเปาที่ตั้งอยู่ตำบลเขาบุกองสันนั้นเล่า ก็มีทหารกองละสามพันเท่านั้น ทำกลวิ่งสับสนเปลี่ยนกันไปหัวเขาท้ายเขา สุมาอี้แจ้งดังนั้นแล้วก็เอามือตบอกเข้าแล้วว่า เรามิรู้เท่าความคิดขงเบ้งเลย
ครั้นพักกองทัพอยู่ในเมืองเสเสีย จนจัดการบ้านเมืองเรียบร้อยเป็นปกติแล้ว ก็ยกทหารกลับเมืองเตียงฮัน เข้าเฝ้าฮ่องเต้กราบทูลเรื่องราวซึ่งได้รบพุ่งนั้นทุกประการ พระเจ้าโจยอยก็มีความยินดีจึงตรัสว่า
“............ซึ่งท่านยกทหารไปกำจัดศัตรู กลับคืนเอาหัวเมืองได้ครั้งนี้ ก็เป็นความชอบของท่านใหญ่หลวงนัก...........”
สุมาอี้จึงกราบทูลว่า
“............ซึ่งข้าพเจ้ายกไปทำการกำจัดข้าศึกครั้งนี้ ก็ยังมิราบคาบทีเดียว ด้วยทหารขงเบ้งนั้นแตกหนีกลับไปพักอยู่ในเมืองฮันต๋งนั้นได้มาก เห็นขงเบ้งจะซ่องสุมผู้คนกลับมาทำการอีก ข้าพเจ้าจะขอยกกองทัพใหญ่ไปตีเมืองฮันต๋งเสีย ถ้าได้เมืองฮันต๋งแล้ว เห็นว่าในขอบขัณฑสีมานี้ จะมีความสุขสืบไป...........”
พระเจ้าโจยอยก็มีพระทัยยินดี จึงให้เกณฑ์ทหารทุกหัวเมืองให้แก่สุมาอี้ทั้งสิ้น แต่ซุนจู้ขุนนางผู้ใหญ่ได้ทูลห้ามปรามว่า
“...........ครั้งพระอัยกาของพระองค์ เมื่อยังเป็นมหาอุปราชอยู่ ได้ออกพระโอษฐ์ตรัสไว้ว่า เมืองฮันต๋งคับขันนักประดุจหนึ่งตั้งอยู่ในปากเหว หากบุญเราจึงได้สำเร็จ แม้วาสนาหาไม่ก็จะพาทหารทั้งปวงตายเสียเหมือนหนึ่งตกลงในเหว พระองค์ก็มีสติปัญญาชำนาญในการสงคราม ยังออกพระโอษฐ์ถึงเพียงนี้............”
และได้ถวายคำแนะนำว่า อนึ่งตำบลจำก๊กนั้นเล่า ก็เป็นเมืองแดนต่อแดน มีจังหวัดโดยรอบกว้างถึงห้าพันเส้น แต่ล้วนซอกห้วยธารเขาป่าดงรกชัฏ หนทางที่จะยกพลทหารเดินขบวนทัพไปนั้นก็ยากขัดสน ขอให้งดกองทัพไว้ก่อน แล้วเกณฑ์ทหารที่มีฝีมือ เป็นผู้ใหญ่คุมทหารไปตั้งรักษาด่านทางทุกตำบล อย่าให้ศัตรูล่วงเข้ามาได้ แล้วปลูกเลี้ยงบำรุงทหารทั้งปวงให้มีกำลังแกล้วกล้าขึ้น รอดูท่วงทีเมืองเสฉวนกับเมืองกังตั๋ง ซึ่งเป็นอริกันอยู่ เมื่อสองเมืองนี้เกิดจลาจลกันขึ้นเอง ฝ่ายเราเห็นได้ทีแล้ว จึงยกทหารเดินสบายเข้าไปเอาเมืองเสฉวน ก็จะได้เปรียบดีกว่ารีบยกไปบัดนี้
พระเจ้าโจยอยจึงตรัสถามสุมาอี้ว่า ขุนนางผู้เฒ่าว่าดังนี้ จะเห็นเป็นประการใด สุมาอี้ก็เห็นคล้อยตามที่ซุนจู้ว่า ฮ่องเต้จึงให้สุมาอี้ส่งทหารไปอยู่รักษาด่านทุกตำบล แล้วให้โกฉุยกับเตียวคับอยู่รักษาเมืองเตียงฮัน ส่วนตนเองก็เชิญฮ่องเต้เสด็จยกทัพกลับไปเมืองลกเอี๋ยงนครหลวง
ต่อมาก็ได้ยินกิตติศีพท์ว่า ขงเบ้งสั่งให้ประหารชีวิตม้าเจ๊ก ฐานที่รักษาตำบลเกเต๋งไว้ไม่ได้ และตัวขงเบ้งเองก็กราบทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยน ให้ลดยศลงสามขั้น ฐานยกทัพไปรบแล้วเสียทหารเป็นอันมาก โดยมิได้ชัยชนะกลับไป
อีกไม่นานนักขงเบ้งก็ยกทัพสามสิบหมื่น มาตีวุยก๊กเป็นครั้งที่สอง โดยเดินทัพมาทางตำบลตันฉอง แต่นายด่านต้านทานไว้อย่างเข้มแข็ง ขงเบ้งรบพุ่งอยู่ประมาณยี่สิบวัน ก็ไม่สามารถผ่านเข้ามาได้ จึงต้องแบ่งทหารสองกองคุมตำบลตันฉองไว้กองหนึ่ง และไปคุมตำบลเกเต๋งไว้อีกกองหนึ่ง แล้วก็ยกกำลังส่วนใหญ่มาทางตำบลกิสาน โจจิ๋มคุมทหารออกต่อต้าน ก็แตกพ่ายนายทหารเอกตายไปคนหนึ่ง ต้องแจ้งมาทางเมืองลกเอี๋ยง ขอกองหนุนไปช่วย
พระเจ้าโจยอยก็มีรับสั่งปรึกษากับสุมาอี้ว่า จะคิดอ่านป้องกันข้าศึกประการใด สุมาอี้ก็กราบทูลว่า
“..............ซึ่งกองทัพเมืองเสฉวนจะยกมาทางตันฉองนั้นขัดสน มามิได้จึงยกกองทัพตลบมาทางตำบลกิสานนี้ หวังจะแยกพลทหารมาตามทางลัด ข้าพเจ้าจะแต่งทหารออกไปปิดทางลัดทั้งปวงเสียให้สิ้น อย่าให้เข้ามาได้ ถ้าช้าอยู่ประมาณสองเดือนแล้ว กองทัพขงเบ้งก็จะขัดสนข้าวปลาอาหาร เห็นจะเลิกไปเอง ฝ่ายเราได้ทีก็จะยกทหารโจมตีเอา เห็นจะจับตัวขงเบ้งได้โดยง่าย ขอให้มีหนังสือกำชับโจจิ๋นเสีย อย่าให้ยกทหารล่วงไป จงยับยั้งดูท่วงทีชั้นเชิงขงเบ้งให้แน่นอนก่อน ให้ระมัดระวังกลของขงเบ้งซึ่งจะแต่งล่อลวงนั้นให้จงได้..........”
พระเจ้าโจยอยก็ทรงเห็นชอบด้วย จึงให้แต่งหนังสือตามคำสุมาอี้ ให้คนถือไปให้โจจิ๋น แต่สุมาอี้ได้สั่งคนเดินหนังสือว่า อย่าบอกแก่โจจิ๋นว่าตนเป็นผู้ทูลให้ฮ่องเต้มีหนังสือรับสั่งมา ด้วยเกรงว่าโจจิ๋นจะน้อยใจ เพราะเป็นขุนนางผู้ใหญ่กว่าตน
แต่โจจิ๋นก็รู้จนได้และไม่เชื่อถือรับสั่งนั้น ขืนทำอุบายออกไปรบกับขงเบ้ง จึงถูกขงเบ้งซ้อนกลต้องแตกพ่ายยับเยิน เสียทหารไปเป็นอันมาก รวมทั้งนายทหารเอกอีกหนึ่งนายด้วย แล้วขงเบ้งก็ยกทัพกลับไปเมืองฮันต๋ง
ถึง พ.ศ.๗๗๒ ขุนนางเมืองกังตั๋งได้จัดพิธีราชาภิเษกยกซุนกวนขึ้นเป็นฮ่องเต้ของง่อก๊ก แล้วก็มีไมตรีกับพระเจ้าเล่าเสี้ยนแห่งจ๊กก๊ก ขงเบ้งจึงยกทัพมารุกรานวุยก๊กเป็นครั้งที่สาม คราวนี้ยึดตำบลตันฉองได้โดยง่าย เพราะผู้รักษาด่านป่วยหนัก และถึงแก่ความตายเมื่อขงเบ้งบุกเข้ายึดโดยไม่รู้ตัว และขงเบ้งก็ให้ทหารเอกสองนาย ยกทหารไปยึดด่านซันกวนได้อีก แล้วขงเบ้งก็ยกพลเข้ามาตั้งอยู่ที่ตำบลกิสานอีกครั้ง
เตียวคับ โกฉุย และ ซุนเล้ ซึ่งอยู่รักษาเมืองเตียงฮัน ก็มีหนังสือแจ้งมาทางเมืองหลวง พระเจ้าโจยอยก็ปรึกษากับสุมาอี้ว่า ถ้าทหารเมืองกังตั๋งกับเมืองเสฉวนร่วมมือกัน วุยก๊กจะมิเป็นอันตรายหรือ สุมาอี้ก็กราบทูลว่าพระองค์อย่าวิตกเลย อันเมืองกังตั๋งนั้นเห็นจะไม่มาทำร้ายเรา ด้วยเป็นอริกันอยู่กับเมืองเสฉวนอยู่แต่เดิม บัดนี้ขงเบ้งคิดกลัวอยู่ว่าถ้ากองทัพของเราจะยกไปตีเมืองเสฉวน เกรงว่าซุนกวนจะพลอยเข้าด้วย จึงแกล้งแต่งคนไปประจบประแจงเสีย หวังจะมิให้เมืองกังตั๋งคิดร้าย ทางเมืองกังตั๋งเกรงใจก็ยอมรับไมตรี และคอยทีอยู่ถ้าขงเบ้งเพลี่ยงพล้ำแก่เรา ก็คงจะซ้ำเอาจนได้ อันกองทัพเมืองกังตั๋งนั้นไม่น่ากลัวเลย
พระเจ้าโจยอยก็สรรเสริญว่าสุมาอี้คิดการสุขุม หยั่งรู้ได้ตลอดไป จึงตั้งให้เป็นนายทัพใหญ่มีอาญาสิทธิ์ทุกประการ สุมาอี้ก็จัดกองทัพยกไปเมืองเตียงฮัน และให้เตียวคับคุมทหารสิบหมื่น ไปตั้งรับขงเบ้งที่เขากิสาน และให้โกฉุยกับซุนเล้คุมทหารคนละพันไปรักษาเมืองปูเต๋าและ อิมเป๋งไว้ให้ดี แต่ทั้งสองไปยังไม่ทันถึงเมืองนั้น ก็พบกับทหารของขงเบ้งซึ่งยึดเมืองทั้งสองไว้ได้แล้ว และดักซุ่มโจมตีจนแตกพ่ายกลับมาหาสุมาอี้
แต่สุมาอี้ก็ไม่เอาโทษ กลับปลอบว่าตนไม่รู้เท่าทันขงเบ้งเอง และให้ทั้งสองไปรักษาเมืองไปเซียและเมืองหยงจิ๋วไว้ แม้ทหารขงเบ้งจะไปยั่วเย้าประการใด ก็อย่าออกมาสู้รบด้วย ตนจะหาอุบายรบกับขงเบ้งเอง แล้วก็ให้เตียวคับคุมทหารหมื่นหนึ่ง ไปทางลัดเข้าตีค่ายขงเบ้งที่ยึดเมืองทั้งสองอยู่ ก็โดนซุ่มโจมตีต้องถอยมาอีกครั้ง สุมาอี้ก็เสียใจที่พ่ายแพ้แก่ขงเบ้งถึงสองครั้งติด ๆ กัน ตั้งแต่นั้นสุมาอี้ก็มิได้ให้ทหารออกมาสู้รบกับขงเบ้งอีกเลย
ฝ่ายขงเบ้งก็แต่งให้ทหารยกออกมายั่วหลายครั้ง สุมาอี้ก็นิ่งเฉยไม่ยอมสู้รบให้เปลืองแรง ขงเบ้งทำเช่นนั้นอยู่สิบสี่สิบห้าวัน ก็ถอยออกไปจากค่ายเดิม สุมาอี้ได้ข่าวก็ให้ม้าใช้ไปสืบข่าว ก็ได้ความว่าขงเบ้งถอยไปเพียงสามร้อยเส้น ก็ว่า
“.............ขงเบ้งยกไปบัดนี้ปรารถนาจะลวงให้เราตามไป ถ้าเราตามคงจะต้องด้วยกลเป็นมั่นคง..........”
เตียวคับก็ท้วงว่า
“............ขงเบ้งขัดสนเสบียงอาหารจึงถอยทัพไป เหตุใดท่านจึงมิได้ยกทหารตาม
ไปโจมตี จะมาคิดวิตกกลัวกลขงเบ้งด้วยอันใด..........”
สุมาอี้ก็ว่า
“............ปีก่อนนั้นเราก็รู้ว่าเมืองเสฉวนได้ข้าวปลาอาหารมาก แลบัดนี้ก็เป็น เทศ กาลข้าวโภชน์สาลี กองทัพขงเบ้งจะกินไปได้อยู่อีกครึ่งปี เห็นไม่ขัดสน ซึ่งทำนี้เป็นกลลวงจะตามไปนั้นมิได้............”
แล้วสุมาอี้ก็ให้คนไปสืบดูอีก ม้าใช้กลับมาบอกว่า กองทัพขงเบ้งถอยไปอีกสามร้อยเส้น เตียวคับก็ยืนยันว่าขงเบ้งขัดสนอาหารแน่ แต่กลัวเราจะรู้จึงทำเป็นค่อย ๆ ถอย สุมาอี้ก็ไม่เชื่อใช้คนไปดูอีก ขงเบ้งก็ถอยไปอีกสามร้อยเส้น คราวนี้เตียวคับทนไม่ได้ขออาสายกทหารตามไปตี ถ้าไม่สำเร็จก็เอาศีรษะตนเองเป็นประกัน สุมาอี้เห็นว่าห้ามไม่ฟัง ก็ยอมให้ยกไปได้ แต่ก็ยังกลัวจะเสียทีจึงยกทหารตามไปเป็นกองหนุน
รุ่งขึ้นเตียวคับกับโต้เหลงคุมทหารสามหมื่น ตามไปตีทัพขงเบ้ง แล้วก็ถูกขงเบ้งวางอุบายล้อมตีทหารเตียวคับ แม้สุมาอี้จะตามไปช่วยทัน แต่ทหารขงเบ้งก็ย้อนกลับมายึดค่ายสุมาอี้ไว้ได้ สุมาอี้ก็ตกใจหันกลับชิงค่ายคืน กลายเป็นศึกสองด้าน จึงถูกตีแตกกระจายทั้งสองทาง แล้ว ขงเบ้งก็รวบรวมพลยกกลับไปเมืองฮันต๋ง สุมาอี้ยึดค่ายคืนได้แล้วก็ไม่กล้าติดตามไปอีกเลย
########
ผู้พิชิตสามก็ (๓) ๗ ก.พ.๖๑
ผู้พิชิตสามก๊ก
ตอนที่ ๓ ศัตรูเจ้าเล่ห์
เล่าเซี่ยงชุน
สุมาอี้กับบุตรชายทั้งสองยกกองทัพมาใกล้จะถึงเมืองเสเสีย ทหารกองหน้าก็กลับมารายงานว่า
“..........บัดนี้ข้าพเจ้ายกเข้าถึงเชิงกำแพง เห็นเมืองเงียบอยู่ มีแต่คนประตูละยี่สิบคน นั่งกวาดหยากเยื่อเฉยอยู่ แล้วตัวขงเบ้งนั้นขึ้นนั่งดีดกระจับปี่เล่นอยู่บนหอรบ เห็นประหลาดนัก จะเข้าเมืองนั้นก็เกรงจะถูกกลขงเบ้ง จึงกลับมาบอกท่าน.........”
สุมาอี้ได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ แล้วจึงว่าขงเบ้งนี้จะอาจกระนั้นเจียวหรือ เรามิเชื่อจะไปดูเอง และสุมาอี้กับบุตรทั้งสองกับทหารประมารยี่สิบคน ก็ขึ้นม้าไปยืนอยู่ใกล้กำแพงเมืองเสเสีย แลขึ้นไปบนหอรบเห็นขงเบ้งแต่งตัวโอ่อ่า หน้าตาแช่มชื่นเบิกบานสบายอยู่ ก็คิดว่ากองทัพเรายกมาเป็นการจวนตัวถึงเพียงนี้ ขงเบ้งหามีความสะดุ้งใจไม่ กลับดีดกระจับปี่เล่นเสียอีกเล่า ชะรอยจะแต่งกลไว้ลวงเราเป็นมั่นคง คิดฉะนั้นแล้วก็กริ่งใจกลัวว่าขงเบ้งจะซุ่มทหารไว้ ก็ชักม้าพาทหารกลับไป แล้วสั่งถอยทัพทันที สุมาเจียวผู้บุตรจึงห้ามว่า
“...........เหตุไฉนบิดาจึงมากลัวขงเบ้งดังนี้ ขงเบ้งนี้เป็นคนสิ้นทหาร สุดความคิดสู้เรามิได้แล้ว ก็ซังตายแข็งใจทำกลเปล่า ๆ อยู่.........”
สุมาอี้จึงว่า
“.........ตัวเจ้าหนุ่มแก่ความยังมิรู้สันทัด เคยกลของขงเบ้ง อันขงเบ้งเป็นคนมีสติปัญญา ชำนาญในการสงครามนัก จะทำการสิ่งใดก็แน่นอน เคยทำกลศึกมีชัยมาหลายครั้ง เจ้ามีสติปัญญาแต่เพียงนี้ จะล่วงดูหมิ่นขงเบ้งเป็นผู้ใหญ่แก่กล้าในการศึกนั้นมิบังควร แม้จะขืนทำล่วงเกินไปก็จะต้องด้วยกลของขงเบ้ง พากันตายเสียสิ้น ซึ่งถ้อยคำของเจ้าว่าเราจะเชื่อฟังมิได้.........”
ว่าแล้วก็สั่งให้ทหารถอยโดยด่วน ให้กองหลังเป็นกองหน้า ให้กองหน้าคอยระวังหลัง เร่งให้ทหารทั้งปวงรีบไป จนมาถึงตำบลเขาบุกองสัน ได้ยินเสียงทหารซึ่งตั้งซุ่มอยู่บนเขานั้นโห่ร้องเสียงสนั่นลงมา สุมาอี้ก็ตกใจว่าแก่บุตรทั้งสองว่า แม้เรามิรีบหนีมาก็จะต้องกลของขงเบ้งจริง ว่ายังมิทันขาดคำก็แลไปเห็นกองทัพยกลงมาจากเนินเขา มีธงดำแม่ทัพจารึกชื่อเตียวเปา บุตรของเตียวหุย ทหารทั้งปวงก็ตกใจกลัว ทิ้งศัสตราวุธเสีย วิ่งหนีร่นถอยหลังมาถึงปากทางจะออกทางใหญ่ ก็เห็นกองทัพยกลงมาสกัดอีกกองหนึ่ง มีธงแดงจารึกชื่อกวนหินบุตรของกวนอูเป็นแม่ทัพ
สุมาอี้สำคัญว่าขงเบ้งทำกลอุบายซุ่มทหารไว้ก็ตกใจ พาทหารทั้งปวงให้แตกตื่นกันเป็นอลหม่าน แต่ทหารทั้งสองกองนั้นก็มิได้ติดตามมา เมื่อหนีมาได้ไกลแล้วก็แจ้งข่าวจากชาวบ้านว่า ขงเบ้งยกทหารเลิกไปจากเมืองเสเสียแล้ว จึงพากองทัพกลับเข้าไปในเมือง สอบถามชาวเมืองทั้งปวงว่า ขงเบ้งมาตั้งอยู่ในเมืองนี้ มีทหารอยู่สักเท่าใด หญิงชายทั้งนั้นก็บอกว่าขงเบ้งนั้นมีทหารแค่สองพันห้าร้อย แต่ล้วนพลเรือน ทหารที่มีฝีมือนั้นหามีไม่ และกวนหินเตียวเปาที่ตั้งอยู่ตำบลเขาบุกองสันนั้นเล่า ก็มีทหารกองละสามพันเท่านั้น ทำกลวิ่งสับสนเปลี่ยนกันไปหัวเขาท้ายเขา สุมาอี้แจ้งดังนั้นแล้วก็เอามือตบอกเข้าแล้วว่า เรามิรู้เท่าความคิดขงเบ้งเลย
ครั้นพักกองทัพอยู่ในเมืองเสเสีย จนจัดการบ้านเมืองเรียบร้อยเป็นปกติแล้ว ก็ยกทหารกลับเมืองเตียงฮัน เข้าเฝ้าฮ่องเต้กราบทูลเรื่องราวซึ่งได้รบพุ่งนั้นทุกประการ พระเจ้าโจยอยก็มีความยินดีจึงตรัสว่า
“............ซึ่งท่านยกทหารไปกำจัดศัตรู กลับคืนเอาหัวเมืองได้ครั้งนี้ ก็เป็นความชอบของท่านใหญ่หลวงนัก...........”
สุมาอี้จึงกราบทูลว่า
“............ซึ่งข้าพเจ้ายกไปทำการกำจัดข้าศึกครั้งนี้ ก็ยังมิราบคาบทีเดียว ด้วยทหารขงเบ้งนั้นแตกหนีกลับไปพักอยู่ในเมืองฮันต๋งนั้นได้มาก เห็นขงเบ้งจะซ่องสุมผู้คนกลับมาทำการอีก ข้าพเจ้าจะขอยกกองทัพใหญ่ไปตีเมืองฮันต๋งเสีย ถ้าได้เมืองฮันต๋งแล้ว เห็นว่าในขอบขัณฑสีมานี้ จะมีความสุขสืบไป...........”
พระเจ้าโจยอยก็มีพระทัยยินดี จึงให้เกณฑ์ทหารทุกหัวเมืองให้แก่สุมาอี้ทั้งสิ้น แต่ซุนจู้ขุนนางผู้ใหญ่ได้ทูลห้ามปรามว่า
“...........ครั้งพระอัยกาของพระองค์ เมื่อยังเป็นมหาอุปราชอยู่ ได้ออกพระโอษฐ์ตรัสไว้ว่า เมืองฮันต๋งคับขันนักประดุจหนึ่งตั้งอยู่ในปากเหว หากบุญเราจึงได้สำเร็จ แม้วาสนาหาไม่ก็จะพาทหารทั้งปวงตายเสียเหมือนหนึ่งตกลงในเหว พระองค์ก็มีสติปัญญาชำนาญในการสงคราม ยังออกพระโอษฐ์ถึงเพียงนี้............”
และได้ถวายคำแนะนำว่า อนึ่งตำบลจำก๊กนั้นเล่า ก็เป็นเมืองแดนต่อแดน มีจังหวัดโดยรอบกว้างถึงห้าพันเส้น แต่ล้วนซอกห้วยธารเขาป่าดงรกชัฏ หนทางที่จะยกพลทหารเดินขบวนทัพไปนั้นก็ยากขัดสน ขอให้งดกองทัพไว้ก่อน แล้วเกณฑ์ทหารที่มีฝีมือ เป็นผู้ใหญ่คุมทหารไปตั้งรักษาด่านทางทุกตำบล อย่าให้ศัตรูล่วงเข้ามาได้ แล้วปลูกเลี้ยงบำรุงทหารทั้งปวงให้มีกำลังแกล้วกล้าขึ้น รอดูท่วงทีเมืองเสฉวนกับเมืองกังตั๋ง ซึ่งเป็นอริกันอยู่ เมื่อสองเมืองนี้เกิดจลาจลกันขึ้นเอง ฝ่ายเราเห็นได้ทีแล้ว จึงยกทหารเดินสบายเข้าไปเอาเมืองเสฉวน ก็จะได้เปรียบดีกว่ารีบยกไปบัดนี้
พระเจ้าโจยอยจึงตรัสถามสุมาอี้ว่า ขุนนางผู้เฒ่าว่าดังนี้ จะเห็นเป็นประการใด สุมาอี้ก็เห็นคล้อยตามที่ซุนจู้ว่า ฮ่องเต้จึงให้สุมาอี้ส่งทหารไปอยู่รักษาด่านทุกตำบล แล้วให้โกฉุยกับเตียวคับอยู่รักษาเมืองเตียงฮัน ส่วนตนเองก็เชิญฮ่องเต้เสด็จยกทัพกลับไปเมืองลกเอี๋ยงนครหลวง
ต่อมาก็ได้ยินกิตติศีพท์ว่า ขงเบ้งสั่งให้ประหารชีวิตม้าเจ๊ก ฐานที่รักษาตำบลเกเต๋งไว้ไม่ได้ และตัวขงเบ้งเองก็กราบทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยน ให้ลดยศลงสามขั้น ฐานยกทัพไปรบแล้วเสียทหารเป็นอันมาก โดยมิได้ชัยชนะกลับไป
อีกไม่นานนักขงเบ้งก็ยกทัพสามสิบหมื่น มาตีวุยก๊กเป็นครั้งที่สอง โดยเดินทัพมาทางตำบลตันฉอง แต่นายด่านต้านทานไว้อย่างเข้มแข็ง ขงเบ้งรบพุ่งอยู่ประมาณยี่สิบวัน ก็ไม่สามารถผ่านเข้ามาได้ จึงต้องแบ่งทหารสองกองคุมตำบลตันฉองไว้กองหนึ่ง และไปคุมตำบลเกเต๋งไว้อีกกองหนึ่ง แล้วก็ยกกำลังส่วนใหญ่มาทางตำบลกิสาน โจจิ๋มคุมทหารออกต่อต้าน ก็แตกพ่ายนายทหารเอกตายไปคนหนึ่ง ต้องแจ้งมาทางเมืองลกเอี๋ยง ขอกองหนุนไปช่วย
พระเจ้าโจยอยก็มีรับสั่งปรึกษากับสุมาอี้ว่า จะคิดอ่านป้องกันข้าศึกประการใด สุมาอี้ก็กราบทูลว่า
“..............ซึ่งกองทัพเมืองเสฉวนจะยกมาทางตันฉองนั้นขัดสน มามิได้จึงยกกองทัพตลบมาทางตำบลกิสานนี้ หวังจะแยกพลทหารมาตามทางลัด ข้าพเจ้าจะแต่งทหารออกไปปิดทางลัดทั้งปวงเสียให้สิ้น อย่าให้เข้ามาได้ ถ้าช้าอยู่ประมาณสองเดือนแล้ว กองทัพขงเบ้งก็จะขัดสนข้าวปลาอาหาร เห็นจะเลิกไปเอง ฝ่ายเราได้ทีก็จะยกทหารโจมตีเอา เห็นจะจับตัวขงเบ้งได้โดยง่าย ขอให้มีหนังสือกำชับโจจิ๋นเสีย อย่าให้ยกทหารล่วงไป จงยับยั้งดูท่วงทีชั้นเชิงขงเบ้งให้แน่นอนก่อน ให้ระมัดระวังกลของขงเบ้งซึ่งจะแต่งล่อลวงนั้นให้จงได้..........”
พระเจ้าโจยอยก็ทรงเห็นชอบด้วย จึงให้แต่งหนังสือตามคำสุมาอี้ ให้คนถือไปให้โจจิ๋น แต่สุมาอี้ได้สั่งคนเดินหนังสือว่า อย่าบอกแก่โจจิ๋นว่าตนเป็นผู้ทูลให้ฮ่องเต้มีหนังสือรับสั่งมา ด้วยเกรงว่าโจจิ๋นจะน้อยใจ เพราะเป็นขุนนางผู้ใหญ่กว่าตน
แต่โจจิ๋นก็รู้จนได้และไม่เชื่อถือรับสั่งนั้น ขืนทำอุบายออกไปรบกับขงเบ้ง จึงถูกขงเบ้งซ้อนกลต้องแตกพ่ายยับเยิน เสียทหารไปเป็นอันมาก รวมทั้งนายทหารเอกอีกหนึ่งนายด้วย แล้วขงเบ้งก็ยกทัพกลับไปเมืองฮันต๋ง
ถึง พ.ศ.๗๗๒ ขุนนางเมืองกังตั๋งได้จัดพิธีราชาภิเษกยกซุนกวนขึ้นเป็นฮ่องเต้ของง่อก๊ก แล้วก็มีไมตรีกับพระเจ้าเล่าเสี้ยนแห่งจ๊กก๊ก ขงเบ้งจึงยกทัพมารุกรานวุยก๊กเป็นครั้งที่สาม คราวนี้ยึดตำบลตันฉองได้โดยง่าย เพราะผู้รักษาด่านป่วยหนัก และถึงแก่ความตายเมื่อขงเบ้งบุกเข้ายึดโดยไม่รู้ตัว และขงเบ้งก็ให้ทหารเอกสองนาย ยกทหารไปยึดด่านซันกวนได้อีก แล้วขงเบ้งก็ยกพลเข้ามาตั้งอยู่ที่ตำบลกิสานอีกครั้ง
เตียวคับ โกฉุย และ ซุนเล้ ซึ่งอยู่รักษาเมืองเตียงฮัน ก็มีหนังสือแจ้งมาทางเมืองหลวง พระเจ้าโจยอยก็ปรึกษากับสุมาอี้ว่า ถ้าทหารเมืองกังตั๋งกับเมืองเสฉวนร่วมมือกัน วุยก๊กจะมิเป็นอันตรายหรือ สุมาอี้ก็กราบทูลว่าพระองค์อย่าวิตกเลย อันเมืองกังตั๋งนั้นเห็นจะไม่มาทำร้ายเรา ด้วยเป็นอริกันอยู่กับเมืองเสฉวนอยู่แต่เดิม บัดนี้ขงเบ้งคิดกลัวอยู่ว่าถ้ากองทัพของเราจะยกไปตีเมืองเสฉวน เกรงว่าซุนกวนจะพลอยเข้าด้วย จึงแกล้งแต่งคนไปประจบประแจงเสีย หวังจะมิให้เมืองกังตั๋งคิดร้าย ทางเมืองกังตั๋งเกรงใจก็ยอมรับไมตรี และคอยทีอยู่ถ้าขงเบ้งเพลี่ยงพล้ำแก่เรา ก็คงจะซ้ำเอาจนได้ อันกองทัพเมืองกังตั๋งนั้นไม่น่ากลัวเลย
พระเจ้าโจยอยก็สรรเสริญว่าสุมาอี้คิดการสุขุม หยั่งรู้ได้ตลอดไป จึงตั้งให้เป็นนายทัพใหญ่มีอาญาสิทธิ์ทุกประการ สุมาอี้ก็จัดกองทัพยกไปเมืองเตียงฮัน และให้เตียวคับคุมทหารสิบหมื่น ไปตั้งรับขงเบ้งที่เขากิสาน และให้โกฉุยกับซุนเล้คุมทหารคนละพันไปรักษาเมืองปูเต๋าและ อิมเป๋งไว้ให้ดี แต่ทั้งสองไปยังไม่ทันถึงเมืองนั้น ก็พบกับทหารของขงเบ้งซึ่งยึดเมืองทั้งสองไว้ได้แล้ว และดักซุ่มโจมตีจนแตกพ่ายกลับมาหาสุมาอี้
แต่สุมาอี้ก็ไม่เอาโทษ กลับปลอบว่าตนไม่รู้เท่าทันขงเบ้งเอง และให้ทั้งสองไปรักษาเมืองไปเซียและเมืองหยงจิ๋วไว้ แม้ทหารขงเบ้งจะไปยั่วเย้าประการใด ก็อย่าออกมาสู้รบด้วย ตนจะหาอุบายรบกับขงเบ้งเอง แล้วก็ให้เตียวคับคุมทหารหมื่นหนึ่ง ไปทางลัดเข้าตีค่ายขงเบ้งที่ยึดเมืองทั้งสองอยู่ ก็โดนซุ่มโจมตีต้องถอยมาอีกครั้ง สุมาอี้ก็เสียใจที่พ่ายแพ้แก่ขงเบ้งถึงสองครั้งติด ๆ กัน ตั้งแต่นั้นสุมาอี้ก็มิได้ให้ทหารออกมาสู้รบกับขงเบ้งอีกเลย
ฝ่ายขงเบ้งก็แต่งให้ทหารยกออกมายั่วหลายครั้ง สุมาอี้ก็นิ่งเฉยไม่ยอมสู้รบให้เปลืองแรง ขงเบ้งทำเช่นนั้นอยู่สิบสี่สิบห้าวัน ก็ถอยออกไปจากค่ายเดิม สุมาอี้ได้ข่าวก็ให้ม้าใช้ไปสืบข่าว ก็ได้ความว่าขงเบ้งถอยไปเพียงสามร้อยเส้น ก็ว่า
“.............ขงเบ้งยกไปบัดนี้ปรารถนาจะลวงให้เราตามไป ถ้าเราตามคงจะต้องด้วยกลเป็นมั่นคง..........”
เตียวคับก็ท้วงว่า
“............ขงเบ้งขัดสนเสบียงอาหารจึงถอยทัพไป เหตุใดท่านจึงมิได้ยกทหารตาม
ไปโจมตี จะมาคิดวิตกกลัวกลขงเบ้งด้วยอันใด..........”
สุมาอี้ก็ว่า
“............ปีก่อนนั้นเราก็รู้ว่าเมืองเสฉวนได้ข้าวปลาอาหารมาก แลบัดนี้ก็เป็น เทศ กาลข้าวโภชน์สาลี กองทัพขงเบ้งจะกินไปได้อยู่อีกครึ่งปี เห็นไม่ขัดสน ซึ่งทำนี้เป็นกลลวงจะตามไปนั้นมิได้............”
แล้วสุมาอี้ก็ให้คนไปสืบดูอีก ม้าใช้กลับมาบอกว่า กองทัพขงเบ้งถอยไปอีกสามร้อยเส้น เตียวคับก็ยืนยันว่าขงเบ้งขัดสนอาหารแน่ แต่กลัวเราจะรู้จึงทำเป็นค่อย ๆ ถอย สุมาอี้ก็ไม่เชื่อใช้คนไปดูอีก ขงเบ้งก็ถอยไปอีกสามร้อยเส้น คราวนี้เตียวคับทนไม่ได้ขออาสายกทหารตามไปตี ถ้าไม่สำเร็จก็เอาศีรษะตนเองเป็นประกัน สุมาอี้เห็นว่าห้ามไม่ฟัง ก็ยอมให้ยกไปได้ แต่ก็ยังกลัวจะเสียทีจึงยกทหารตามไปเป็นกองหนุน
รุ่งขึ้นเตียวคับกับโต้เหลงคุมทหารสามหมื่น ตามไปตีทัพขงเบ้ง แล้วก็ถูกขงเบ้งวางอุบายล้อมตีทหารเตียวคับ แม้สุมาอี้จะตามไปช่วยทัน แต่ทหารขงเบ้งก็ย้อนกลับมายึดค่ายสุมาอี้ไว้ได้ สุมาอี้ก็ตกใจหันกลับชิงค่ายคืน กลายเป็นศึกสองด้าน จึงถูกตีแตกกระจายทั้งสองทาง แล้ว ขงเบ้งก็รวบรวมพลยกกลับไปเมืองฮันต๋ง สุมาอี้ยึดค่ายคืนได้แล้วก็ไม่กล้าติดตามไปอีกเลย
########