copy บทความสนุกๆมาให้อ่านครับ////////โลกตะลึง!ไทยสยบ“กันยายนทมิฬ” ต่างสรรเสริญ “ไซมิสทอล์ค”!!

เครดิต http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9580000140845
โดยนามแฝง โรมบุนนาค
        เมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๑๕ ประเทศไทยตกเป็นข่าวเขย่าขวัญกึกก้องไปทั้งโลก จากเหตุการณ์ขบวนการ “กันยายนทมิฬ” หรือ “แบลกเซปเทมเบอร์” ซึ่งเป็นขบวนการก่อการร้ายของชาวปาเลสไตน์ บุกเข้ายึดสถานทูตอิสราเอลในกรุงเทพฯ จับเจ้าหน้าที่สถานทูตเป็นตัวประกัน
       
       ขณะนั้น ทั่วโลกยังช็อกไม่หายกับปฏิบัติการของขบวนการนี้ ที่บุกเข้ายึดหมู่บ้านโอลิมปิกที่เมืองมิวนิค เยอรมัน เมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา จับนักกีฬาอิสราเอล ๙ คนเป็นตัวประกันขอแลกกับขบวนการปาเลสไตน์ที่ถูกอิสราเอลจับไว้ การเจรจาสามารถตกลงกันได้ แต่พอเวลาส่งตัวที่สนามบินได้เกิดความผิดพลาดขึ้นเมื่อ ตร.เยอรมันยิงขบวนการคนหนึ่งตาย พวกที่เหลือเลยระเบิดตัวประกันตายพร้อมกับกลุ่มขบวนการทั้งหมด คนทั้งหลายจึงพากันวิตกว่า เหตุการณ์ครั้งนี้จะจบลงด้วยโศกนาฏกรรมทำนองเดียวกัน ทั่วโลกต่างพุ่งความสนใจติดตามข่าวจากกรุงเทพฯด้วยใจระทึก
       
       แต่ทว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ได้เป็นบทพิสูจน์อีกครั้งว่า ประเทศไทยเป็นดินแดนที่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง เป็นดินแดนแห่งสันติสุขซึ่งไม่มีที่ใดในโลกเหมือน และมีความเป็นไทยๆที่ใครไม่มี
       
       เหตุการณ์ระทึกขวัญเริ่มขึ้นราว ๑๒ น.ของวันนั้น เมื่อมีชาย ๒ คนแต่งกายด้วยชุดสากลสีเทา ปีนรั้วสถานทูตอิสราเอลที่ซอยหลังสวน ถนนเพลินจิต ข้างโรงเรียนมาแตร์เดอี เข้าไปโดยไม่มีใครสังเกตเห็น เพราะเป็นวันหยุดราชการของไทย เมื่อพบ พลตำรวจสัญชัย เพียรการนา ตำรวจสันติบาลกอง ๑ ซึ่งถูกส่งมารักษาการณ์สถานทูต ก็โค้งแล้วส่งยิ้มให้ พลฯสัญชัยนึกว่าเป็นเจ้าหน้าที่สถานทูตกลับมาจากพระราชพิธีสถาปนาสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชที่พระที่นั่งอนันตสมาคม ขณะเดียวกัน พลฯ สัญชัยก็เห็นมีชายอีก ๒ คนสวมแจ็คเก็ตหนังสีน้ำตาลปืนรั้วด้านข้างสถานทูตเข้ามา แต่ไม่ทันได้ทำอะไรก็ถูกชาย ๒ คนแรกใช้ปืนกลมือที่ซ่อนมาในชุดสากลขู่บังคับ แล้วให้พาไปกวาดต้อนคนไทยที่อยู่ในสถานทูตขณะนั้น คือ พนักงานส่งเอกสารพร้อมด้วยภรรยาและลูกชายวัย ๒ เดือน คนขับรถอุปทูต และคนสวน ให้ออกไปจากสถานทูตทั้งหมด โดยกองโจรทั้ง ๔ ไม่ได้สนใจแม้แต่ปืนพกซึ่งเหน็บอยู่ที่เอวพลฯสัญชัย
       
       จากนั้นทั้ง ๔ ก็ปราดเข้าไปในตัวตึกสำนักงานสถานทูตซึ่งมีเจ้าหน้าที่หลายคนทำงานอยู่ ทั้งหมดถูกจี้ด้วยปืนกลและถูกจับมัดไปรวมกันไว้ที่ชั้นบน ผู้ตกเป็นเหยื่อในครั้งนี้มี นายนิคสัน ฮาดาซ อุปทูต พร้อมด้วย นางรูธ ฮาดาซ ภรรยา นางซาร่าห์ เบอรี่ หัวหน้ากองการกงสุล พร้อมกับนายแดน เบอร์รี่ นายเวรสถานทูตผู้สามี นายพินฮัสส์ เลวี่ พ่อบ้านสถานทูต ส่วน นายรีห์อาวีน อามีร์ เอกอัครราชทูต ไปร่วมพระราชพิธีสถาปนามกุฎราชกุมาร เลยโชคดีไป คนโชคร้ายที่มาแทนก็คือ นายซีมอน อาร์วีมอร์ เอกอัคราชทูตอิสราเอลประจำกรุงพนมเปญ ซึ่งมาติดต่องานในตอนนั้นพอดี เลยถูกจับเป็นตัวประกันรวม ๖ คน
       
       เมื่อเจ้าหน้าที่ของไทยทราบข่าวต่างวิ่งกันพล่าน สถานีตำรวจลุมพินี ๑ เจ้าของท้องที่ ส่งตำรวจทั้งโรงพักมาล้อมสถานทูตอิสราเอลไว้ ตามด้วยหน่วยคอมมานโดกองปราบ ทหารจากศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ หน่วยรบพิเศษจากป่าหวาย ลพบุรี มีนายตำรวจใหญ่มากันพร้อมหน้า และใช้เครื่องขยายเสียงพูดภาษาอังกฤษเข้าไปขอเจรจาด้วย ว่ามีจุดประสงค์อะไรที่ทำเช่นนี้ พวกกองโจรได้ทุบกระจกหน้าต่างอาคารสถานทูตแล้วชูธงปาเลสไตน์ออกมา พร้อมกับบอกว่าถ้าจะเข้ามาต้องวางอาวุธก่อน มิฉะนั้นจะสังหารตัวประกันทั้งหมด
       
       พ.ต.ท.จำทูน สวัสดิชูโต ได้รับมอบหมายให้เข้าไปเจรจา จึงปีนรั้วเข้าไป เมื่อไปถึงตัวตึกก็ชูมือให้ดูว่าไม่มีอาวุธ พวกกองโจรได้โยนกระดาษลงมา ๒ แผ่น ซึ่งเป็นทั้งเงื่อนไขและข้อเรียกร้อง คือ
       
       เอ. เราต้องการหลักประกันที่แน่นอนดังนี้
       
       ๑. ประชาชนของประเทศนี้เป็นมิตรของพวกเรา ฉะนั้นเราจึงไม่ต้องการที่จะสร้างปัญหายุ่งยากและทำให้เสียเอกภาพของประเทศ
       
       ๒. พวกเราเป็นสมาชิกองค์การปาเลสไตน์“แบลคเซปเทมเบอร์” กลุ่ม อาลี ทาฮา
       
       ๓. พวกซีออนนีสต์ ซึ่งครอบครองแผ่นดินปาเลสไตน์นั้นเป็นพวกอาชญากร และเป็นพวกไร้มนุษยธรรมที่ทำลายล้างพวกเรา ฉะนั้นเราจึงจะไม่มีการหยุดยั้งที่จะติดตาม จนกระทั่งอำนาจเถื่อนของพวกเขาเหล่านั้นได้หมดไป โดยยอมตามข้อต้องการของเรา
       
       ๔. เราเห็นว่าสถานทูตอิสราเอลก็คือแผ่นดินปาเลสไตน์ ฉะนั้นเราจึงมีสิทธิ์จะทำการใดๆ เพื่อประโยชน์แก่พวกเรา
       
       ๕. เราจะทำทุกวิถีทางที่จะให้พวกสถานทูตที่ถูกจับอยู่ในความปลอดภัย นอกจากฝ่ายตรงข้ามใช้วิธีการรุนแรง และไม่ยอมฟังคำเรียกร้องของเรา
       
       ๖. การกระทำรุนแรงใดๆ ไม่ว่าทางปฏิบัติหรือทางการเมือง จะทำให้ชีวิตของพวกที่ถูกจับเป็นอันตราย และรัฐบาลไทยก็ต้องเป็นผู้รับผิดชอบ
       
       ๗. ถ้าอิสราเอลปฏิเสธคำเรียกร้องของเรา เราก็ย่อมมีอิสระที่จะกระทำการใดๆ กับพวกที่ถูกจับในทำนองเดียวกับที่พวกอิสราเอลเป็นคนร้ายฆ่าประชาชนของเรา
       
       บี. ข้อเรียกร้องของเรามีย่อๆ ดังนี้
       
       ๑.ให้ปล่อยบุคคลซึ่งมีชื่อตามรายชื่อที่แนบท้ายมา เพราะพวกนี้เป็นพี่น้องของเราที่ถูกจับขังอยู่ในคุกของอิสราเอลผู้เป็นศัตรู
       
       ๒. ให้ส่งศพ มาคร์ที อาลี ทาฮา และ อับดุล อาร์ซิก แอล อาทาส (ผู้ซึ่งเป็นผู้เคราะห์ร้ายในเหตุการณ์สนามบิน“ล๊อด”) ให้ส่งศพไปยังครอบครัวของเขาที่เมืองเยรูซาเล็ม และเมืองเฮบบรอน
       
       ๓. เวลาสิ้นสุดในการยื่นคำขาดของเรา คือวันพรุ่งนี้ เวลาไม่เกิน ๐๘.๐๐ น. ในทุกกรณี
       
       ๔. ผู้ถูกจับที่คุมขังในคุกอิสราเอลที่จะให้ปล่อยนั้น ให้ส่งรายชื่อไปยังสนามบิน
       
       ๕. การล่าช้าใดๆ จะทำให้อยู่ในฐานะที่จะต้องดำเนินการตามวิธีการของเรา
       เงื่อนไขและข้อเรียกร้องของกองโจรได้ถูกถ่ายสำเนากระจายออกไปยังจอมพล ถนอม กิตติขจร นายกรัฐมนตรี และเอกอัครราชทูตอิสราเอล ซึ่งได้ติดต่อสายตรงไปยัง นางโกลดา แมร์ นายกรัฐมนตรี “หญิงเหล็ก” ของอิสราเอลทันที ทำให้คณะรัฐมนตรีของทั้ง ๒ ประเทศต้องเรียกประชุมด่วนพร้อมกัน
       
       หลังการประชุม ครม. จอมพลถนอมพร้อมด้วยบุคคลสำคัญของไทยอีกหลายคน ได้ไปชุมนุมกันที่โรงเรียนมาแตร์เดอี ซึ่งใช้เป็นกองบัญชาการ จัดกำลังเสริมล้อมสถานทูตไว้ทุกด้าน ทั้งยังเตรียมสปอร์ตไลท์ไว้พร้อม หากมีความจำเป็นก็จะตัดไฟสถานทูต แล้วบุกเข้าช่วยตัวประกันในคืนนั้น
       
       ตลอดทั้งวัน ตำรวจนครบาลได้ยกกำลังออกค้นตามโรงแรมที่ต้องสงสัยในกรุงเทพฯ โดยคาดว่ายังมีขบวนการแบลคเซปเทมเบอร์เป็นกองหนุนซุ่มเตรียมพร้อมอยู่อีก เพราะกลุ่มสมาชิกของโจรทั้ง ๔ ที่ยึดสถานทูตอยู่ขู่ว่า ถ้าพวกตนถูกตอบโต้ด้วยวิธีรุนแรง พลพรรคอีก ๔ กลุ่มก็จะลงมือก่อวินาศกรรมในกรุงเทพฯ เป็นการตอบแทน
       
       ขณะเดียวกันผู้แทนมุสลิมที่ได้เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระราชพิธีวันนั้น ก็นัดจะไปรวมตัวกันที่หน้าสถานทูตอิสราเอล เพื่อสวดคัมภีร์กุรอ่านให้กองโจรทั้ง ๔ ใจอ่อน ทั้งยังมีข่าวแพร่สะพัดไปว่านิสิตนักศึกษา ๖ สถาบัน มี ธรรมศาสตร์ จุฬา รามคำแหง เกษตร ศิลปากร และมหิดล กำลังระดมพลจะเดินขบวนไปยังหน้าสถานทูตอิสราเอล เพื่อเรียกร้องให้กลุ่มสมาชิกขบวนการยุติการกระทำ
       
       ส่วนประชาชนทั้งหลายที่รู้ข่าวต่างก็โกรธแค้นขบวนการปาเลสไตน์ ที่มาปฏิบัติการณ์ในวันสำคัญอันเป็นมหามงคลของชาวไทย นับเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และหลู่เกียรติคนไทย จึงอยากจะเห็นการจัดการโดยวิธีการแตกหัก
       
       ถ้าคนกลุ่มต่างๆเหล่านั้นมาชุมนุมกันที่หน้าสถานทูตอิสราเอล แล้วคนหนึ่งคนใดจงใจหรือกระทำไปด้วยความบ้าระห่ำ ทำให้มีเสียงปืนเกิดขึ้นเพียงนัดเดียว เหตุการณ์อันเลวร้ายก็จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
       
       ที่โรงเรียนมาแตร์เดอี ซึ่งเป็นกองบัญชาการของฝ่ายรัฐบาลไทย พร้อมหน้าด้วยบุคคลสำคัญทางการเมือง การทหารและตำรวจ ตั้งแต่จอมพลถนอม กิตติขจร นายกรัฐมนตรี พลเอกประภาส จารุเสถียร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยอยู่กันพร้อมหน้า ราว ๑๖.๐๐ น.พลอากาศเอกทวี จุลละทรัพย์ เสนาธิการทหารและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เดินทางมาถึงพร้อมด้วยพลโทเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ ขณะนั้นมีการติดต่อกันทางโทรศัพท์กับกลุ่มกองโจรแล้ว โดยมี นายทวี นภากร อดีตนักศึกษาไทยที่เคยไปศึกษาที่มหาวิทยาลัยไคโร ประเทศอียิปต์ มาช่วยเป็นล่ามให้ แต่ พล.อ.อ.ทวีเห็นว่านายทวีแค่เป็นล่ามแปลให้ได้เท่านั้น ไม่มีจิตวิทยาในการเจรจาพอ จึงบอกพลตรีชาติชาย ชุณหะวัณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ให้ติดต่อขอเอกอัครราชทูตอียิปต์มาช่วยเจรจาด้วย ซึ่งท่านทูต มุสตาฟา ฟาห์มี ก็ตอบตกลง
       
       ทางฝ่ายไทยได้ปรึกษาหารือกันว่าจะทำอย่างไรให้ขบวนการกู้ชาติปาเลสไตน์กลุ่มนี้ยุติปฏิบัติการ คือปล่อยชาวอิสราเอลที่จับตัวไว้ รัฐบาลไทยก็จะเปิดโอกาสให้เขาเดินทางออกนอกประเทศได้ พล อ.อ.ทวี จุลละทรัพย์ ซึ่งมีประสบการณ์ในเหตุการณ์โศกนาฏกรรมที่เมืองมิวนิคมาแล้ว จึงเสนอตัวต่อพลเอกประภาสว่าจะขอเข้าไปเจรจากับ “กันยายนทมิฬ” เอง เพราะการพูดกันทางโทรศัพท์ได้ยินแต่เสียงไม่เห็นหน้า ย่อมจะเข้าใจกันได้ยาก จอมพลประภาสให้ถามจอมพลถนอม พล.อ.อ.ทวีจึงขออนุญาตต่อนายกรัฐมนตรี โดยจะขอชวนเอกอัครราชทูตอียิปต์เข้าไปด้วย จอมพลถนอมลังเลที่จะให้รัฐมนตรีและเสนาธิการทหารเข้าไปเสี่ยง แต่เมื่อพลเอกประภาสบอกว่า
       
       “ให้เขาเข้าไป เชื่อฝีมือเขา”
       
       จอมพลถนอมก็ยอมอนุมัติ พล.อ.ทวีขออำนาจสิทธิ์ขาดที่จะสั่งการเรื่องนี้แต่เพียงผู้เดียว โดยเฉพาะการสั่งยิงหรือเคลื่อนย้ายกำลังตำรวจทหาร ห้ามคนอื่นเกี่ยวข้องทั้งหมด เพราะความผิดพลาดที่เมืองมิวนิคนั้นเนื่องจากมีผู้สั่งการหลายฝ่าย พลเอกประภาสก็บอกว่า
       
       “ให้ทั้งหมด ให้ทวีคนเดียว”
       
       พล อ.อ.ทวีได้หันไปชวน พล.ต.ชาติชาย ชุณหะวัณ เข้าไปด้วยกันอีกคน ซึ่ง พล.ต.ชาติชายก็ยินดี จึงมีผู้กล้าเข้าไปเจรจากับขบวนการปาเลสไตน์ ๔ คนคือ เสธ.ทวี พล.ต.ชาติชาย เอกอัครราชทูตอียิปต์ และนายทวี นภากร ผู้เป็นล่ามมาแต่ต้น
       
       พล.อ.อ.ทวีได้บันทึกเหตุการณ์ตอนที่เผชิญหน้ากับกองโจร “กันยายนทมิฬ” ครั้งนี้ไว้ว่า
       
       “เมื่อเราเดินเข้าประตูไปถึงตัวตึก ข้าพเจ้าก็บอกให้เอกอัครราชทูตอียิปต์ตะโกนเป็นภาษาอาหรับ บอกว่ารัฐบาลไทยขอส่งพลอากาศเอกทวี จุลละทรัพย์ และพลตรีชาติชาย ชุณหะวัณเข้ามาเพื่อทำการปรึกษาหารือกับท่าน สักพักหนึ่งหน้าต่างชั้นบนก็เปิดออกมา ข้าพเจ้าได้เห็นคนๆหนึ่งอยู่ที่ชั้นบน แล้วมีเสียงพูดกันอยู่ข้างในเป็นภาษาอาหรับ พร้อมกับมีเสียงเลื่อนโต๊ะเก้าอี้กันในห้องโถง พอประตูเปิดแง้มออกมา ก็มีคนโผล่ออกมาแล้วก็หันกลับไปพูดกับคนที่อยู่ข้างใน คนที่โผล่ออกมานี้หน้าตาท่าทางก็ไม่น่าจะเป็นคนเหี้ยมหาญเช่นนี้ เป็นคนรูปร่างสูงหน้าตาจุ๋มจิ๋ม สะพายปืนอาร์ก้ามีลูกระเบิดมือห้อยอยู่ตามเอวหลายลูก เขาได้เชิญเราเข้าไปข้างใน พอผ่านประตูห้องรับแขกเข้าไป เราก็เห็นว่า ตามประตูหน้าต่างปิดกลอนลั่นดานกันอย่างแน่นหนา มีโต๊ะเก้าอี้กั้นประตูไว้มากมาย เมื่อข้าพเจ้าเข้าไปก็ได้จับมือกับเขาก่อน เขาก็จับด้วย ข้าพเจ้าจึงแนะนำตัวว่า ข้าพเจ้าคือพลอากาศเอกทวี จุลละทรัพย์ และแนะนำพลตรีชาติชาย ชุณหะวัณให้รู้จัก เขาน่ะไม่บอกชื่อของเขาหรอก จับมือแล้วก็พยักหน้าให้เข้าไปข้างใน


ต่อข้างล่างนะครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่