เรื่องยาวหน่อยนะครับ
ปัจจุบัน ผม,แฟน,ลูกสาว 4 เดือน 20 วัน และแม่แฟน ได้ย้ายมาอยู่บ้านหลังใหม่ในตัวเมือง ซึ่งห่างจากบ้านเดิม 25 กม.โดยบ้านเดิมยังมี พ่อแฟน (ปู่และย่าของแฟน) อยู่ที่เดิม ตอนนี้ย้ายมาได้ประมาณ 1 อาทิตย์เศษๆ ปัญหามันก็เกิดขึ้นเมื่อแม่แฟนกลับไปบ้านเก่าวันศุกร์ และกลับมาบ้านใหม่วันอาทิตย์ตอนเย็นๆ
แม่แฟนบอกว่า...ระหว่างกลับบ้าน มีชาวบ้านบอกว่าให้เอาลูกสาวผมกลับมาเลี้ยงที่บ้านเก่าเหมือนเดิม เพราะสงสารพ่อแฟนที่ทำงานคนเดียว ไม่มีใครทำกับข้าว (ความจริงย่าของแฟนก็ทำอยู่) ไม่มีใครซักผ้าให้ และบอกว่าเด็กคนอื่นๆ ก็เลี้ยงที่บ้านกันทั้งนั้น ไม่มีใครเอาแม่แฟนไปเลี้ยงลูกกันในเมืองหรอก กลัวว่าพ่อแฟนจะไปกินเหล้า (พ่อแฟนเลิกเหล้ามาได้ 2-3 ปี) และอื่นๆอีกมากมาย แม่แฟนบอกอีกว่าหลังปีใหม่(เมษายน)ปีนี้ จะพาลูกสาวกลับไปอยู่บ้านเดิม เพราะกลัวว่าชาวบ้านเค้าพูดกันเยอะ อันที่จริงผมไม่มีปัญหากับพ่อและแม่แฟนผมเลย ถ้าในบ้านไม่มีคนสูบบุหรี่ บ้านเก่านั้นมีคนสูบบุหรี่ อยู่ 2 คน คือ พ่อแฟน และปู่ของแฟน
ตอนย้ายบ้านมาอาทิตย์ก่อนผม ”โคตรดีใจ” เลยที่ลูกสาวไม่ได้อยู่ในที่มีควันบุหรี่เยอะๆ เพราะตั้งแต่เกิดลูกสาวผมก็อยู่ในที่มีควันบุหรี่มาจนถึง 4 เดือนกว่าๆ ผมย้ำกับทุกคนในบ้านอยู่เสมอๆว่า ควันบุหรี่มือสองที่ออกจากลมหายใจคนสูบ มันไม่ได้หายไปไหน แต่ยังคงเกาะอยู่ตามฝาผนัง ตามพื้น ตามโต๊ะ ตามโซฟา รวมไปถึงตามเสื้อผ้าของคนที่สูบบุหรี่ เวลาพ่อแฟนอุ้มลูกสาวผมก็เช่นกัน ตอนอยู่ที่บ้านเดิม บางครั้งพ่อแฟนสูบบุหรี่มาใหม่ๆก็เข้าห้องมาอุ้มลูกผม เพราะจะเปลี่ยนแม่แฟนไปทำกับข้าว ระหว่างนั้นพ่อแฟนเอาหน้าเข้าใกล้ๆหยอกล้อเล่นกับลูก หลายต่อหลายครั้ง ผมนี่จะบ่นให้แต่ติดว่าเกรงใจเพราะไม่ใช่บ้านเรา เลยบอกแฟนให้เค้าเป็นคนบอก เวลาเด็กเล็กสูดอากาศเข้ามันเร็วกว่าผู้ใหญ่ 2 เท่าเพราะเด็กหายใจเร็ว
คำที่ชาวบ้านเค้าว่ามา ชาวบ้านจะว่ายังไงมันก็เรื่องของเขา เพราะเขาไม่รู้ว่าครอบครัวที่บ้านมีคนสูบบุหรี่ 2 คน แต่บ้านเขาไม่มีนิ ชาวบ้านบางคนที่บอกว่า คนนั้นก็เลี้ยงหลานที่บ้าน คนนี้ก็เลี้ยงที่บ้าน ผมอยากจะบอกชาวบ้านเหล่านั้นว่า หลานเขาไม่ได้มาสูดดมควันบุหรี่แบบลูกผม
จากเท่าที่คุยกันนานพอสมควรระหว่างผม แฟน และแม่แฟน ผมเสนอ 2 วิธีคือ
1 ให้พ่อแฟนเลิกบุหรี่ แต่แม่แฟนบอกคงเป็นไปไม่ได้ ผมก็เห็นด้วยเพราะถ้าจะเลิกจริงๆก็เลิกตั้งแต่แฟนผมท้องแล้ว
2 นั้นคือ ให้แม่แฟนอยู่บ้านใหม่ ตั้งแต่เช้าวันจันทร์ถึงเย็นวันศุกร์ และกลับบ้านเดิมเย็นวันศุกร์และอยู่ถึงเช้าวันจันทร์ผมก็ไปรับ 4 คืนอยู่บ้านใหม่ 3 คืนอยู่บ้านเก่า ก็น่าจะโอนะครับ ให้ชาวบ้านเค้าเห็นว่า แม่แฟนก็กลับมาที่บ้านเดิมมาดูแลพ่อแฟนอยู่บ้าง
ผมพอจะสรุปได้ว่าว่าพูดยังไงแม่แฟนก็จะเอาลูกกลับไปเลี้ยงที่บ้านเดิมให้ได้ เพราะคำว่าชาวบ้านๆ และก็ชาวบ้าน
ผมเริ่มเครี่ยดหนักเข้าไปอีกเพราะ แม่แฟนบอกว่าถ้าเอาลูกไว้ในห้องก็ได้ แค่นี้ก็ไม่ต้องพบกับควันบุหรี่ และจะบอกให้พ่อแฟนเบาๆ บุหรี่ลงบ้าง "ผมบอกเลยว่าไม่ได้" คุยไปคุยมาไม่ค่อยรู้เรื่อง ผมเลยเสนอเสนอวิธีที่ 2 ให้ 4 คืนอยู่บ้านใหม่ 3 คืนอยู่บ้านเก่า ผมจะไปรับไปส่งแม่แฟนเอง เย็นวันศุกร์และเช้าวันจันทร์รับกลับ แต่ดูๆแล้วแม่แฟนจะไปอยู่บ้านหลังเก่าให้ได้ กลัวชาวบ้านว่าอย่างนั้นอย่างนี้ กลัวพ่อแฟนโกรธ
***ผมเลยพูดหักดิบว่า ถ้ารู้ว่าจะมีปัญหาแบบนี้ตั้งแต่ครั้งแรกผมคงไม่ซื้อบ้านหลังนี้ และเอาจริงๆ ถ้าปัญหานี้มันไม่จบ ถ้าแม่แฟนไปคุยกับพ่อแฟนแล้วยังยืนยันว่าจะเอาลูกกลับไปบ้านเดิมให้ได้ ผมก็จะให้กลับ แต่ให้แม่แฟนกลับคนเดียว ลูกสาวต้องอยู่กับผม ไม่ให้ไปด้วย ผมจะหาพี่เลี้ยงเด็กมาเลี้ยงลูกสาวผมเองหรือไม่ก็ ไปฝากกับเนอสเซอรี่ไปเช้าเย็นกลับ ถ้าแม่กับพ่อผมเกษียณเร็วกว่านี้ปัญหาแบบนี้ก็คงไม่เกิด เพราะว่าพ่อผมเหลืออีก 2 ปี แม่ผมเหลืออีก 5 ปี กว่าจะเกษียณ
แม่แฟนก็บอกว่าเดี๋ยวพ่อแฟนก็โกรธไปอีกแบบว่าทำไมให้คนอื่นมาเลี้ยงหลาย ไม่ให้คนในครอบครัวเลี้ยงละ ผมก็บอกว่าจะโกรธก็โกรธเลยเพราะเรื่องนี้มันเกี่ยวกับสุขภาพของลูกผม บ่อยครับที่ผมยกตัวอย่างเรื่องเด็กเสียชีวิตเพราะควันบุหรี่ทั้งในประเทศและต่างประเทศให้ดูบ่อยๆ มีทุกปี
ถ้าลูกผมปอดติดเชื้อ หลอดลมตีบหรือเป็นหอบขึ้นมา ใครจะรับผิดชอบ ถ้าลูกผมเป็นอะไรไป ต่อให้มีเงินเป็นล้านก็ไม่สามารถซื้อชีวิตของลูกกลับมาไม่ได้
แฟนผมเลยตัดบทบอกแม่ว่าให้ไปคุยกับพ่อก่อน แล้วได้เรื่องยังไงค่อยมาคุยกันใหม่
******ในความคิดผม...หัวเด็ดตีนขาดยังไงก็ไม่ให้ลูกสาวผมกลับไปอยู่บ้านหลังเก่าอีกแล้ว ! ผมควรทำยังไงดี ....?
ปัญหาครอบครัวแฟนสูบบุหรี่ กับลูกสาวผม ทำยังไงดี เครียดมาก !
ปัจจุบัน ผม,แฟน,ลูกสาว 4 เดือน 20 วัน และแม่แฟน ได้ย้ายมาอยู่บ้านหลังใหม่ในตัวเมือง ซึ่งห่างจากบ้านเดิม 25 กม.โดยบ้านเดิมยังมี พ่อแฟน (ปู่และย่าของแฟน) อยู่ที่เดิม ตอนนี้ย้ายมาได้ประมาณ 1 อาทิตย์เศษๆ ปัญหามันก็เกิดขึ้นเมื่อแม่แฟนกลับไปบ้านเก่าวันศุกร์ และกลับมาบ้านใหม่วันอาทิตย์ตอนเย็นๆ
แม่แฟนบอกว่า...ระหว่างกลับบ้าน มีชาวบ้านบอกว่าให้เอาลูกสาวผมกลับมาเลี้ยงที่บ้านเก่าเหมือนเดิม เพราะสงสารพ่อแฟนที่ทำงานคนเดียว ไม่มีใครทำกับข้าว (ความจริงย่าของแฟนก็ทำอยู่) ไม่มีใครซักผ้าให้ และบอกว่าเด็กคนอื่นๆ ก็เลี้ยงที่บ้านกันทั้งนั้น ไม่มีใครเอาแม่แฟนไปเลี้ยงลูกกันในเมืองหรอก กลัวว่าพ่อแฟนจะไปกินเหล้า (พ่อแฟนเลิกเหล้ามาได้ 2-3 ปี) และอื่นๆอีกมากมาย แม่แฟนบอกอีกว่าหลังปีใหม่(เมษายน)ปีนี้ จะพาลูกสาวกลับไปอยู่บ้านเดิม เพราะกลัวว่าชาวบ้านเค้าพูดกันเยอะ อันที่จริงผมไม่มีปัญหากับพ่อและแม่แฟนผมเลย ถ้าในบ้านไม่มีคนสูบบุหรี่ บ้านเก่านั้นมีคนสูบบุหรี่ อยู่ 2 คน คือ พ่อแฟน และปู่ของแฟน
ตอนย้ายบ้านมาอาทิตย์ก่อนผม ”โคตรดีใจ” เลยที่ลูกสาวไม่ได้อยู่ในที่มีควันบุหรี่เยอะๆ เพราะตั้งแต่เกิดลูกสาวผมก็อยู่ในที่มีควันบุหรี่มาจนถึง 4 เดือนกว่าๆ ผมย้ำกับทุกคนในบ้านอยู่เสมอๆว่า ควันบุหรี่มือสองที่ออกจากลมหายใจคนสูบ มันไม่ได้หายไปไหน แต่ยังคงเกาะอยู่ตามฝาผนัง ตามพื้น ตามโต๊ะ ตามโซฟา รวมไปถึงตามเสื้อผ้าของคนที่สูบบุหรี่ เวลาพ่อแฟนอุ้มลูกสาวผมก็เช่นกัน ตอนอยู่ที่บ้านเดิม บางครั้งพ่อแฟนสูบบุหรี่มาใหม่ๆก็เข้าห้องมาอุ้มลูกผม เพราะจะเปลี่ยนแม่แฟนไปทำกับข้าว ระหว่างนั้นพ่อแฟนเอาหน้าเข้าใกล้ๆหยอกล้อเล่นกับลูก หลายต่อหลายครั้ง ผมนี่จะบ่นให้แต่ติดว่าเกรงใจเพราะไม่ใช่บ้านเรา เลยบอกแฟนให้เค้าเป็นคนบอก เวลาเด็กเล็กสูดอากาศเข้ามันเร็วกว่าผู้ใหญ่ 2 เท่าเพราะเด็กหายใจเร็ว
คำที่ชาวบ้านเค้าว่ามา ชาวบ้านจะว่ายังไงมันก็เรื่องของเขา เพราะเขาไม่รู้ว่าครอบครัวที่บ้านมีคนสูบบุหรี่ 2 คน แต่บ้านเขาไม่มีนิ ชาวบ้านบางคนที่บอกว่า คนนั้นก็เลี้ยงหลานที่บ้าน คนนี้ก็เลี้ยงที่บ้าน ผมอยากจะบอกชาวบ้านเหล่านั้นว่า หลานเขาไม่ได้มาสูดดมควันบุหรี่แบบลูกผม
จากเท่าที่คุยกันนานพอสมควรระหว่างผม แฟน และแม่แฟน ผมเสนอ 2 วิธีคือ
1 ให้พ่อแฟนเลิกบุหรี่ แต่แม่แฟนบอกคงเป็นไปไม่ได้ ผมก็เห็นด้วยเพราะถ้าจะเลิกจริงๆก็เลิกตั้งแต่แฟนผมท้องแล้ว
2 นั้นคือ ให้แม่แฟนอยู่บ้านใหม่ ตั้งแต่เช้าวันจันทร์ถึงเย็นวันศุกร์ และกลับบ้านเดิมเย็นวันศุกร์และอยู่ถึงเช้าวันจันทร์ผมก็ไปรับ 4 คืนอยู่บ้านใหม่ 3 คืนอยู่บ้านเก่า ก็น่าจะโอนะครับ ให้ชาวบ้านเค้าเห็นว่า แม่แฟนก็กลับมาที่บ้านเดิมมาดูแลพ่อแฟนอยู่บ้าง
ผมพอจะสรุปได้ว่าว่าพูดยังไงแม่แฟนก็จะเอาลูกกลับไปเลี้ยงที่บ้านเดิมให้ได้ เพราะคำว่าชาวบ้านๆ และก็ชาวบ้าน
ผมเริ่มเครี่ยดหนักเข้าไปอีกเพราะ แม่แฟนบอกว่าถ้าเอาลูกไว้ในห้องก็ได้ แค่นี้ก็ไม่ต้องพบกับควันบุหรี่ และจะบอกให้พ่อแฟนเบาๆ บุหรี่ลงบ้าง "ผมบอกเลยว่าไม่ได้" คุยไปคุยมาไม่ค่อยรู้เรื่อง ผมเลยเสนอเสนอวิธีที่ 2 ให้ 4 คืนอยู่บ้านใหม่ 3 คืนอยู่บ้านเก่า ผมจะไปรับไปส่งแม่แฟนเอง เย็นวันศุกร์และเช้าวันจันทร์รับกลับ แต่ดูๆแล้วแม่แฟนจะไปอยู่บ้านหลังเก่าให้ได้ กลัวชาวบ้านว่าอย่างนั้นอย่างนี้ กลัวพ่อแฟนโกรธ
***ผมเลยพูดหักดิบว่า ถ้ารู้ว่าจะมีปัญหาแบบนี้ตั้งแต่ครั้งแรกผมคงไม่ซื้อบ้านหลังนี้ และเอาจริงๆ ถ้าปัญหานี้มันไม่จบ ถ้าแม่แฟนไปคุยกับพ่อแฟนแล้วยังยืนยันว่าจะเอาลูกกลับไปบ้านเดิมให้ได้ ผมก็จะให้กลับ แต่ให้แม่แฟนกลับคนเดียว ลูกสาวต้องอยู่กับผม ไม่ให้ไปด้วย ผมจะหาพี่เลี้ยงเด็กมาเลี้ยงลูกสาวผมเองหรือไม่ก็ ไปฝากกับเนอสเซอรี่ไปเช้าเย็นกลับ ถ้าแม่กับพ่อผมเกษียณเร็วกว่านี้ปัญหาแบบนี้ก็คงไม่เกิด เพราะว่าพ่อผมเหลืออีก 2 ปี แม่ผมเหลืออีก 5 ปี กว่าจะเกษียณ
แม่แฟนก็บอกว่าเดี๋ยวพ่อแฟนก็โกรธไปอีกแบบว่าทำไมให้คนอื่นมาเลี้ยงหลาย ไม่ให้คนในครอบครัวเลี้ยงละ ผมก็บอกว่าจะโกรธก็โกรธเลยเพราะเรื่องนี้มันเกี่ยวกับสุขภาพของลูกผม บ่อยครับที่ผมยกตัวอย่างเรื่องเด็กเสียชีวิตเพราะควันบุหรี่ทั้งในประเทศและต่างประเทศให้ดูบ่อยๆ มีทุกปี
ถ้าลูกผมปอดติดเชื้อ หลอดลมตีบหรือเป็นหอบขึ้นมา ใครจะรับผิดชอบ ถ้าลูกผมเป็นอะไรไป ต่อให้มีเงินเป็นล้านก็ไม่สามารถซื้อชีวิตของลูกกลับมาไม่ได้
แฟนผมเลยตัดบทบอกแม่ว่าให้ไปคุยกับพ่อก่อน แล้วได้เรื่องยังไงค่อยมาคุยกันใหม่
******ในความคิดผม...หัวเด็ดตีนขาดยังไงก็ไม่ให้ลูกสาวผมกลับไปอยู่บ้านหลังเก่าอีกแล้ว ! ผมควรทำยังไงดี ....?