มิโกะ(巫女) หมายถึง สาวพรหมจารี ที่มีประจำเดือนแล้ว แต่ยังไม่ออกเรือน
เป็นคนกลางสื่อสารกับเทพเจ้า และเหล่าภูติ หญิงเท่านั้นที่เป็นได้ ปัจจุบันประจำศาลเจ้าศาสนาชินโต
โดยมีการเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติบางอย่างของสาวที่มาเป็นมิโกะ ให้เหมาะสมกับสภาพสังคมญี่ปุ่นในปัจจุบัน เช่น
มีคนรักได้ แต่ห้ามผ่านพิธีแต่งงานมาก่อนเด็ดขาด เพราะนางได้จุติไปเป็นคนแล้ว จะสื่อสารกับเทพยดาหาได้ไม่
ปรากฏหลักฐาน ร่ายพิธีแต่งงานชินโต
เพลง กลับชาติมาเกิดใหม่
เรียบเรียง คาวาอิ เคนจิ
ประกอบภาพยนตร์ Ghost in the shell 1995
แม่มด(มตะ) กำลังทำพิธีเซ่นสรวง วัฒนธรรมยาโยอิ ใช้ระฆังสำริด(钟 จง)ประกอบพิธีกรรม
มิโกะมีมาแต่บรรพกาล เป็นศาสนาดั้งเดิมของเกาะญี่ปุ่น ปรากฏหลักฐานในวัฒนธรรมยาโยอิ ตรงกับสมัยสามก๊ก ปลายต้าฮั่น
งานประจำได้แก่
การร่ายรำบวงสรวงเทพเจ้าในโอกาสต่างๆ เช่น เพาะปลูก เก็บเกี่ยว หาปลา ล่าสัตว์
สวดภาวนา ขอพรจากเหล่าเทพ ประจำท้องถิ่นต่างๆ
เสี่ยงทาย อ่านคำพยากรณ์ จากปรากฏการณ์ธรรมชาติ เหตุการณ์ ความฝัน นิมิตต่างๆ
ใช้จิตสื่อวิญญาณ และเป็นร่างทรงของวิญญาณตนนั้นๆ รายละเอียดต่างกันไปในแต่ละท้องถิ่น
ปัดรังควานเสนียดต่างๆ จากคน สถานที่
มิโกะมักเป็นบุตรีของนักพรตผู้ดูแลศาลเจ้านั้นๆ และจากตำนานว่าพระอาทิตย์คือ เทพีอามาเทราสุ เทพสูงสุดของชินโต
ยามขึ้นวันใหม่เทพธิดาแห่งรุ่งอรุณ อาเมโนะ อุซุเมะ ต้องเป็นผู้อัญเชิญเทพีอามาเทราสุมาสถิตบนท้องฟ้า
ไก่ในภาพถือเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ประจำปีนักษัตร 酉(อิ่ว) และทูตสุรยเทพี หวงตี้ประทานแซ่นี้แก่โอรสองค์หนึ่ง
เนื่องจากท้าวเธอ เคยได้ร่ายรำขับขานสร้างความหฤหรรษ์แก่ทวยเทพที่มาเฝ้าวิงวอน จนเทพีอามาเทราสุออกมาจากถ้ำสวรรค์
ซึ่งมิโกะต้องทำพิธีกรรมนี้เช่นกัน ในเวลาใกล้รุ่งสางเพื่อบูชาเทพีอามาเทราสุ โดยจำลองจากเทวตำนาน
หมู่เกาะญี่ปุ่น ครั้งบรรพกาลเป็นแผ่นดินเดียวกับจีน ก่อนแยกตัวภายหลัง
4,000ปีก่อน ภาพแสดงการอพยพทางเรือ เขตคาบสมุทรเกาหลี
ศาสนาชินโต พัฒนาจากศาสนาโบราณของชนพื้นเมืองญี่ปุ่น นับถือหญิงเป็นใหญ่ รับมาจากจีนอีกที
หญิงเท่านั้นที่ออกลูกได้ คนทุกคนล้วนเกิดจากมดลูกในท้องแม่ สุสานจึงต้องมีเนินจำลองมาจากมดลูก
เกิดจากท้องแม่ ย่อมกลับสู่ท้องแม่ เช่นเดียวกับจีน ที่เกิดจากธารเหลือง ย่อมกลับสู่ธารเหลือง
ชินโตเชื่อว่าทุกอย่างมีลมปราณ(ทั้งบริสุทธิ์และไม่บริสุทธิ์)
หญิงมีพลังชำระล้างมลทินให้บริสุทธิ์ การมีประจำเดือนจึงเป็นเรื่องดีงาม ไม่น่ารังเกียจแบบคติศาสนาชาย
สะท้อนจาก ชุดของมิโกะ
สวมเสื้อขาว(ปราณบริสุทธิ์)
นุ่งกางเกงแดง(แทนประจำเดือน หรือพลังก่อกำเนิด)
เครื่องประดับศีรษะ ฮานะคันซาชิ หรือมงกุฎดอกไม้ ว่ากันว่ามาจากนำดอกไม้หรือกิ่งไม้เล็กๆมาปักผม
เพื่อรับลมปราณจากต้นไม้นั่นเอง
อุปกรณ์ใช้ขณะร่ายรำหรือประกอบพิธีกรรมเรียกว่า โทริโมโนะ มีทั้งหมด 9 อย่าง ประกอบด้วย
กิ่งต้นซากากิ, ไม้นุสะ, ไม้เท้า, ต้นไผ่ซาสะ, ธนู, ดาบ, กระบวยฮิซาโกะ และ ต้นคาสึระ
บางศาลเจ้าใช้กระดิ่ง, พัด และถาดด้วย เนื่องจากรายละเอียดเกี่ยวกับเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย
อาจแตกต่างกันไปตามช่วงเวลา พื้นที่ และศาลเจ้าแต่ละท้องถิ่น
เนื่องจากเป็นงานรับใช้เทพเจ้า จึงมีกฎห้ามทำเล็บ แต่งหน้าจัด สวมเครื่องประดับ นาฬิกา และต่างหู
มิโกะต้องเป็นทรามวัย แรกแย้มตลอดกาล จนเมื่อออกเรือนจึงกลับเป็นคนธรรมดา
ทัศนาของคนญี่ปุ่นต่อมิโกะ จึงมีสถานะกึ่งคนกึ่งเทพ เป็นที่เคารพนับถือ ให้ความยำเกรง ไหว้ได้ จับต้องไม่ได้
พิธีเสกน้ำมนต์ เกียวโต
ศาลเจ้าญี่ปุ่นแบ่งเป็นของรัฐและเอกชน
ในส่วนของเอกชนหลายๆครอบครัวที่มีที่ดิน เขาจะยื่นเรื่องขอสร้างศาลเจ้าขึ้น(เพื่อลดภาษีที่ดิน)
การขอสร้างนี้เลือกเอาว่าจะเอาของเจ้าไหนก็ติดต่อกันไป(คล้ายแฟรนไชส์)
ต้องส่งค่าธรรมเนียมประจำปี ตามแต่แฟรนไชส์
รายได้
ปกติศาลดังๆเงินจากการโยนเหรียญขอพรเยอะมากทีเดียว บางแห่งเปิดครั้งหนึ่งถึงแสนเยนก็มี
โดยเฉพาะช่วง ปีใหม่ หรือเทศกาลต่างๆ หลักล้านก็มี เช่น อาซาคุสะ เป็นต้น
เงินจากการขายของชำร่วยต่างๆ คือ เครื่องราง ยันต์ แล้วแต่ว่าวัดไหนจะออกมาเป็นแพ็กเก็จไหน เช่น
บางเน้นเรื่องการเรียน ช่วงใกล้ๆสอบจะมีนร.มาขอพรกันเยอะ
หรือบางแห่งเน้นเรื่องคู่ครองความรัก อันนี้มากันเรื่อยๆไม่ขาด แต่ไม่ได้มาแบบถล่มถลาย
หรือบางแห่งเน้นเรื่อง คุ้มครอง อันนี้ช่วงปีใหม่คนเยอะทีเดียว
ส่วนเรื่องพระชินโตในศาลเจ้าบ้าง
อันนี้ท่านแต่งงาน มีลูกเมียได้(รายได้เยอะ ไม่ต้องเสียภาษี มีก็แบ่งลูกวัดคนอื่นๆบ้าง)
พิธีกรรม
บางศาลเจ้ามี บางที่ไม่มี แบบเปิดให้ไหว้กับขายของอย่างเดียว เพราะการทำพิธีกรรมต้องมีการสวดมนต์
จะสวดใหญ่(แบบมีหลายคน) หรือสวดเล็ก(แบบมีคนเดียว)
การสวดต้องใช้คาถา เหมือนพระบ้านเรา มีหลายบทด้วยมีเป็นคัมภีร์เลย
การสวดมีหลายแบบ สวดปัดรังควาน สวดให้พร สวดเพื่อให้ผู้ล่วงลับ สวดคุ้มครอง ว่ากันไป
บางเรื่องที่หลายท่านอาจไม่รู้
สุสานเก็บกระดูก เป็นแท่งหินรูปแบบต่างๆ ต้องเสียค่าใช้จ่ายรายปีด้วย(แบบเดียวกับฮวงซุ้ยไทยหลายที่)
และต้องเสียภาษีเข้ารัฐด้วย เรียกว่าตายไปแล้วรัฐยังขอตามไปเก็บด้วยว่างั้น
ไอดอลญี่ปุ่น วัฒนธรรมที่เพิ่งสร้าง
วัฒนธรรมและความเป็นมาของ IDOL (ไอดอล) ประเทศญี่ปุ่น
โดย อากิ สุโค่ย เจแปน
ในญี่ปุ่นนั้น ไอโดลุ (アイドル) เป็นมากกว่า ดารา อย่างที่คนไทยเข้าใจ
ไอดอลในความรู้สึกของโอตากุ(แฟนคลับ)ญี่ปุ่น เสมือนมิโกะจำแลง ให้ความหวัง ความฝัน กำลังใจ ปลอบประโลม
หมายปองได้ สัมผัสได้บ้าง ครอบครองไม่ได้ การที่ไอดอลมีแฟน จึงเป็นเรื่องที่เหล่าโอตากุทั้งหลายยอมรับไม่ได้
และต้องเป็นทรามวัย สาวน้อยตลอดกาล ไว้บูชา ขึ้นหิ้งในอ้อมใจ เพราะในโลกจริงที่โหดร้ายนั้นเป็นไปไม่ได้
หลังสงครามโลกครั้งที่2 สิ้นสุด ญี่ปุ่นในฐานะผู้แพ้สงคราม ต้องเปิดรับวัฒนธรรมตะวันตกที่พรั่งพรูมาราวกับห่าฝน
ความฝัน ความหวัง กำลังใจ จากบทเพลงในยุคนั้น คล้ายกับ ลูกทุ่ง ลูกกรุงบ้านเรา เพราะคนญี่ปุ่นตายไปกับสงครามหลายล้านคน เช่น
เพลง แหงนมองขึ้นฟ้าเดินหน้าไป (อุเอะโอะมุอิเตะอะรุโก 上を向いて歩こ) หรือ เพลง สุกียากี้
ขับร้อง คีว ซะกะโมะโตะ 1961
เพลง ซูบารุ(昴 กระจุกดาวลูกไก่) 1980
ขับร้อง ทานิมูระ ชินจิ ฉายามิตรแห่งจีน ได้แรงบันดาลจากการชมดาว เมื่อครั้งไปเยือนมณฑลเฮยหลงเจียง จีนแดง
อ้างอิง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://www.greenshinto.com/wp/page/64/
https://www.pinterest.co.uk/jonspayde/early-japan-2-yayoi/
https://www.jref.com/articles/amaterasu.135/
ไอดอล ญี่ปุ่น วัฒธรรมมิโกะจำแลง ในศตวรรตที่20 และที่มาคุ้กกี้เสี่ยงทาย
เป็นคนกลางสื่อสารกับเทพเจ้า และเหล่าภูติ หญิงเท่านั้นที่เป็นได้ ปัจจุบันประจำศาลเจ้าศาสนาชินโต
โดยมีการเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติบางอย่างของสาวที่มาเป็นมิโกะ ให้เหมาะสมกับสภาพสังคมญี่ปุ่นในปัจจุบัน เช่น
มีคนรักได้ แต่ห้ามผ่านพิธีแต่งงานมาก่อนเด็ดขาด เพราะนางได้จุติไปเป็นคนแล้ว จะสื่อสารกับเทพยดาหาได้ไม่
ปรากฏหลักฐาน ร่ายพิธีแต่งงานชินโต
เพลง กลับชาติมาเกิดใหม่
เรียบเรียง คาวาอิ เคนจิ
ประกอบภาพยนตร์ Ghost in the shell 1995
แม่มด(มตะ) กำลังทำพิธีเซ่นสรวง วัฒนธรรมยาโยอิ ใช้ระฆังสำริด(钟 จง)ประกอบพิธีกรรม
มิโกะมีมาแต่บรรพกาล เป็นศาสนาดั้งเดิมของเกาะญี่ปุ่น ปรากฏหลักฐานในวัฒนธรรมยาโยอิ ตรงกับสมัยสามก๊ก ปลายต้าฮั่น
งานประจำได้แก่
การร่ายรำบวงสรวงเทพเจ้าในโอกาสต่างๆ เช่น เพาะปลูก เก็บเกี่ยว หาปลา ล่าสัตว์
สวดภาวนา ขอพรจากเหล่าเทพ ประจำท้องถิ่นต่างๆ
เสี่ยงทาย อ่านคำพยากรณ์ จากปรากฏการณ์ธรรมชาติ เหตุการณ์ ความฝัน นิมิตต่างๆ
ใช้จิตสื่อวิญญาณ และเป็นร่างทรงของวิญญาณตนนั้นๆ รายละเอียดต่างกันไปในแต่ละท้องถิ่น
ปัดรังควานเสนียดต่างๆ จากคน สถานที่
มิโกะมักเป็นบุตรีของนักพรตผู้ดูแลศาลเจ้านั้นๆ และจากตำนานว่าพระอาทิตย์คือ เทพีอามาเทราสุ เทพสูงสุดของชินโต
ยามขึ้นวันใหม่เทพธิดาแห่งรุ่งอรุณ อาเมโนะ อุซุเมะ ต้องเป็นผู้อัญเชิญเทพีอามาเทราสุมาสถิตบนท้องฟ้า
ไก่ในภาพถือเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ประจำปีนักษัตร 酉(อิ่ว) และทูตสุรยเทพี หวงตี้ประทานแซ่นี้แก่โอรสองค์หนึ่ง
เนื่องจากท้าวเธอ เคยได้ร่ายรำขับขานสร้างความหฤหรรษ์แก่ทวยเทพที่มาเฝ้าวิงวอน จนเทพีอามาเทราสุออกมาจากถ้ำสวรรค์
ซึ่งมิโกะต้องทำพิธีกรรมนี้เช่นกัน ในเวลาใกล้รุ่งสางเพื่อบูชาเทพีอามาเทราสุ โดยจำลองจากเทวตำนาน
หมู่เกาะญี่ปุ่น ครั้งบรรพกาลเป็นแผ่นดินเดียวกับจีน ก่อนแยกตัวภายหลัง
4,000ปีก่อน ภาพแสดงการอพยพทางเรือ เขตคาบสมุทรเกาหลี
ศาสนาชินโต พัฒนาจากศาสนาโบราณของชนพื้นเมืองญี่ปุ่น นับถือหญิงเป็นใหญ่ รับมาจากจีนอีกที
หญิงเท่านั้นที่ออกลูกได้ คนทุกคนล้วนเกิดจากมดลูกในท้องแม่ สุสานจึงต้องมีเนินจำลองมาจากมดลูก
เกิดจากท้องแม่ ย่อมกลับสู่ท้องแม่ เช่นเดียวกับจีน ที่เกิดจากธารเหลือง ย่อมกลับสู่ธารเหลือง
ชินโตเชื่อว่าทุกอย่างมีลมปราณ(ทั้งบริสุทธิ์และไม่บริสุทธิ์)
หญิงมีพลังชำระล้างมลทินให้บริสุทธิ์ การมีประจำเดือนจึงเป็นเรื่องดีงาม ไม่น่ารังเกียจแบบคติศาสนาชาย
สะท้อนจาก ชุดของมิโกะ
สวมเสื้อขาว(ปราณบริสุทธิ์)
นุ่งกางเกงแดง(แทนประจำเดือน หรือพลังก่อกำเนิด)
เครื่องประดับศีรษะ ฮานะคันซาชิ หรือมงกุฎดอกไม้ ว่ากันว่ามาจากนำดอกไม้หรือกิ่งไม้เล็กๆมาปักผม
เพื่อรับลมปราณจากต้นไม้นั่นเอง
อุปกรณ์ใช้ขณะร่ายรำหรือประกอบพิธีกรรมเรียกว่า โทริโมโนะ มีทั้งหมด 9 อย่าง ประกอบด้วย
กิ่งต้นซากากิ, ไม้นุสะ, ไม้เท้า, ต้นไผ่ซาสะ, ธนู, ดาบ, กระบวยฮิซาโกะ และ ต้นคาสึระ
บางศาลเจ้าใช้กระดิ่ง, พัด และถาดด้วย เนื่องจากรายละเอียดเกี่ยวกับเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย
อาจแตกต่างกันไปตามช่วงเวลา พื้นที่ และศาลเจ้าแต่ละท้องถิ่น
เนื่องจากเป็นงานรับใช้เทพเจ้า จึงมีกฎห้ามทำเล็บ แต่งหน้าจัด สวมเครื่องประดับ นาฬิกา และต่างหู
มิโกะต้องเป็นทรามวัย แรกแย้มตลอดกาล จนเมื่อออกเรือนจึงกลับเป็นคนธรรมดา
ทัศนาของคนญี่ปุ่นต่อมิโกะ จึงมีสถานะกึ่งคนกึ่งเทพ เป็นที่เคารพนับถือ ให้ความยำเกรง ไหว้ได้ จับต้องไม่ได้
พิธีเสกน้ำมนต์ เกียวโต
ศาลเจ้าญี่ปุ่นแบ่งเป็นของรัฐและเอกชน
ในส่วนของเอกชนหลายๆครอบครัวที่มีที่ดิน เขาจะยื่นเรื่องขอสร้างศาลเจ้าขึ้น(เพื่อลดภาษีที่ดิน)
การขอสร้างนี้เลือกเอาว่าจะเอาของเจ้าไหนก็ติดต่อกันไป(คล้ายแฟรนไชส์)
ต้องส่งค่าธรรมเนียมประจำปี ตามแต่แฟรนไชส์
รายได้
ปกติศาลดังๆเงินจากการโยนเหรียญขอพรเยอะมากทีเดียว บางแห่งเปิดครั้งหนึ่งถึงแสนเยนก็มี
โดยเฉพาะช่วง ปีใหม่ หรือเทศกาลต่างๆ หลักล้านก็มี เช่น อาซาคุสะ เป็นต้น
เงินจากการขายของชำร่วยต่างๆ คือ เครื่องราง ยันต์ แล้วแต่ว่าวัดไหนจะออกมาเป็นแพ็กเก็จไหน เช่น
บางเน้นเรื่องการเรียน ช่วงใกล้ๆสอบจะมีนร.มาขอพรกันเยอะ
หรือบางแห่งเน้นเรื่องคู่ครองความรัก อันนี้มากันเรื่อยๆไม่ขาด แต่ไม่ได้มาแบบถล่มถลาย
หรือบางแห่งเน้นเรื่อง คุ้มครอง อันนี้ช่วงปีใหม่คนเยอะทีเดียว
ส่วนเรื่องพระชินโตในศาลเจ้าบ้าง
อันนี้ท่านแต่งงาน มีลูกเมียได้(รายได้เยอะ ไม่ต้องเสียภาษี มีก็แบ่งลูกวัดคนอื่นๆบ้าง)
พิธีกรรม
บางศาลเจ้ามี บางที่ไม่มี แบบเปิดให้ไหว้กับขายของอย่างเดียว เพราะการทำพิธีกรรมต้องมีการสวดมนต์
จะสวดใหญ่(แบบมีหลายคน) หรือสวดเล็ก(แบบมีคนเดียว)
การสวดต้องใช้คาถา เหมือนพระบ้านเรา มีหลายบทด้วยมีเป็นคัมภีร์เลย
การสวดมีหลายแบบ สวดปัดรังควาน สวดให้พร สวดเพื่อให้ผู้ล่วงลับ สวดคุ้มครอง ว่ากันไป
บางเรื่องที่หลายท่านอาจไม่รู้
สุสานเก็บกระดูก เป็นแท่งหินรูปแบบต่างๆ ต้องเสียค่าใช้จ่ายรายปีด้วย(แบบเดียวกับฮวงซุ้ยไทยหลายที่)
และต้องเสียภาษีเข้ารัฐด้วย เรียกว่าตายไปแล้วรัฐยังขอตามไปเก็บด้วยว่างั้น
ไอดอลญี่ปุ่น วัฒนธรรมที่เพิ่งสร้าง
วัฒนธรรมและความเป็นมาของ IDOL (ไอดอล) ประเทศญี่ปุ่น
โดย อากิ สุโค่ย เจแปน
ในญี่ปุ่นนั้น ไอโดลุ (アイドル) เป็นมากกว่า ดารา อย่างที่คนไทยเข้าใจ
ไอดอลในความรู้สึกของโอตากุ(แฟนคลับ)ญี่ปุ่น เสมือนมิโกะจำแลง ให้ความหวัง ความฝัน กำลังใจ ปลอบประโลม
หมายปองได้ สัมผัสได้บ้าง ครอบครองไม่ได้ การที่ไอดอลมีแฟน จึงเป็นเรื่องที่เหล่าโอตากุทั้งหลายยอมรับไม่ได้
และต้องเป็นทรามวัย สาวน้อยตลอดกาล ไว้บูชา ขึ้นหิ้งในอ้อมใจ เพราะในโลกจริงที่โหดร้ายนั้นเป็นไปไม่ได้
หลังสงครามโลกครั้งที่2 สิ้นสุด ญี่ปุ่นในฐานะผู้แพ้สงคราม ต้องเปิดรับวัฒนธรรมตะวันตกที่พรั่งพรูมาราวกับห่าฝน
ความฝัน ความหวัง กำลังใจ จากบทเพลงในยุคนั้น คล้ายกับ ลูกทุ่ง ลูกกรุงบ้านเรา เพราะคนญี่ปุ่นตายไปกับสงครามหลายล้านคน เช่น
เพลง แหงนมองขึ้นฟ้าเดินหน้าไป (อุเอะโอะมุอิเตะอะรุโก 上を向いて歩こ) หรือ เพลง สุกียากี้
ขับร้อง คีว ซะกะโมะโตะ 1961
เพลง ซูบารุ(昴 กระจุกดาวลูกไก่) 1980
ขับร้อง ทานิมูระ ชินจิ ฉายามิตรแห่งจีน ได้แรงบันดาลจากการชมดาว เมื่อครั้งไปเยือนมณฑลเฮยหลงเจียง จีนแดง
อ้างอิง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้