⚡️💦⚡️ หลงกาล Episode-23 "เผชิญภัยแดนไอยคุปต์ (ตอนที่ 2)" ⚡️💦⚡️

กระทู้คำถาม


ท้องพระโรง พระมหาราชวังไอยคุปต์ แห่งฟาโรห์ รามิเซสที่ 2....

เหล่าทูตานุทูตของเมืองหรือประเทศราชใต้การปกครองของจักรวรรดิเช่น ทรอย เอธิโอเปีย ต่างพากันนำเครื่องบรรณาการมาเข้าเฝ้าและถวายแด่องค์ฟาโรห์ เนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพ และนับเป็นการส่งส่วยประจำปีอีกวาระหนึ่งไปพร้อมกัน

คณะแล้วคณะเล่า เข้าเฝ้าและถวายบรรณาการตามลำดับ จนหมดสิ้น แต่แล้ว ก็มีอีกคณะหนึ่งซึ่งไม่มีใครรู้จักและไม่อยู่ในรายชื่อ ก้าวเข้าสู่ท้องพระโรง โดยมีผู้นำร่างสูงใหญ่ หนวดเคราเริ่มขาวโพลน แต่ร่างกายยังดูทรงพลัง เดินถือไม้เท้ายาวยิ่งกว่าความสูงของตนย่างก้าวอย่างองอาจ และผู้ติดตามเป็นบุรุษสามคน คนหนึ่งหน้าตาท่าทางดุจเดียวกับเหล่าทาสชาวฮิบรู คนที่สองเป็นชายหนุ่มผู้ซึ่งทุกคนมองปราดเดียวก็ดูออกว่าเป็นคนต่างถิ่น หน้าตาคมคาย และอีกคนหนึ่งเป็นชายหนุ่มร่างกายสมส่วนหน้าตาหล่อเหลาถึงขนาดที่สาวชาววังทั้งสาวแก่แม่หม้ายมองตามกันเป็นแถว และพยายามหาช่องที่จะสบตาด้วย

พวกเขาถูกสกัดกั้นด้วยหอกจากทหารอารักขาผู้เป็นนายทวารบาลสองนายข้างซ้ายและขวา ยื่นออกมาไขว้กันไว้เบื้องหน้า และหนึ่งในสองคนนั้นก็สอบถาม

"พวกท่าน เป็นตัวแทนของอาณาจักรใด ?"

บุรุษผู้เป็นผู้นำตอบด้วยเสียงดังก้องท้องพระโรง

"พวกเรา คือตัวแทนของอาณาจักรแห่งพระเจ้า!"

ทหารทั้งสองนาย มองหน้ากันอย่างงงงวย แล้วตรวจตราดูอาคันตุกะทั้ง 4 เมื่อเห็นว่าไม่มีผู้ใดมีอาวุธในมือ นอกจากบุรุษผู้นำซึ่งถือเพียงไม้เท้าเท่านั้น ก็เห็นว่าไม่มีอันตรายอันใด จึงดึงหอกที่ไขว้กันอยู่เบื้องหน้าออกจากกัน ปล่อยให้ทั้ง 4 คนเดินตรงเข้าไปหาองค์ฟาโรห์

เมื่อเข้าไปใกล้ในระยะห่างประมาณ 20 หลา ราชองครักษ์คนหนึ่งซึ่งอยู่ข้างองค์ฟาโรห์จึงเอ่ยถาม

"พวกท่าน นำบรรณาการใด มาถวายแด่องค์ฟาโรห์ ?"

บุรุษผู้นำซึ่มีไม้เท้ายาวเฟื้อยในมือตอบช้าๆ ชัดถ้อยชัดคำ

"เรา นำพระวจนะจากพระเจ้า มามอบให้พระองค์!"

องค์ฟาโรห์ เพ่งมองเขา แล้วก็ทรงเบิกพระเนตรกว้างหน่อยหนึ่ง ทรงแย้มสรวลแล้วตรัสถามด้วยพระองค์เอง

"ถ้อยคำของเขา ว่าอย่างไรบ้างเล่า ?"

"พระเจ้าผู้ทรงสร้างสรรพสิ่ง ผู้จะทรงปกปักรักษาชนชาวอิสราเอล ตรัสว่า จงให้ปวงประชาของเรา ไปเสียเถิด!"

องค์ฟาโรห์ทรงจ้องตาเขาเขม็ง ทรงจำได้แล้วว่า เขาคือโมเสส อดีตพระเชฏฐาของพระองค์ อดีตโอรสบุญธรรมของพระบิดาของพระองค์ ผู้ซึ่งถูกพระบิดาซึ่งคือฟาโรห์องค์ก่อนทรงเนรเทศออกจากอียิปต์สู่ท้องทะเลทราย ด้วยเพราะทรงทราบความจริงว่าเขามิใช่ชาวอียิปต์ หากแต่เป็นลูกที่หญิงชาวฮิบรูนำใส่ตะกร้าลอยน้ำมาในครั้งกระโน้นที่มีการกวาดล้างเด็กเกิดใหม่ซึ่งมีผู้ทำนายว่าจะเป็นภัยต่ออาณาจักรอียิปต์ แล้วพระธิดาเมเธียทรงพบเข้าและทรงนำมาชุบเลี้ยงจนได้เป็นโอรสบุญธรรรมของฟาโรห์เซติ บิดาของพระองค์

และเพราะพระองค์ประสูติหลังจากนั้น โมเสสจึงเป็นพระเชฏฐา พระองค์ต้องทรงเป็นพระอนุชา และพระองค์ต้องขับเคี่ยวชิงดีชิงเด่นกับเขามาตลอด แต่ไม่เคยเลยสักครั้งเดียวที่พระองค์จะเอาชนะเขาได้ในทุกเรื่อง!

การที่พระองค์ทรงตกเป็นเบี้ยล่างโมเสสตลอดเวลาในอดีต สร้างความแค้นพระทัยให้แก่พระองค์อย่างหาที่เปรียบมิได้ ถึงแม้จะทรงพยายามหาช่องทางให้ร้าย จับผิดเรื่องใด โมเสสสามารถแก้ได้ทุกครั้ง จบลงด้วยความอับอายขายหน้าของพระองค์เองอยู่ร่ำไป และที่ร้ายที่สุดก็คือ โมเสสยังเป็นศัตรูหัวใจอีกด้วย เพราะพระนางเนเฟอตารีราชนัดดา ทรงมีจิตปฏิพัทธกับโมเสสอย่างลึกซึ้ง แต่ไม่มีให้กับพระองค์เลยแม้แต่น้อย!

ความชิงชัง และความแค้นของพระองค์ ได้พุ่งขึ้นไปถึงขีดสุด เมื่อทรงทราบว่า ฟาโรห์เซติพระบิดา ทรงตั้งพระทัยจะส่งมอบราชสมบัติให้โมเสส เป็นฟาโรห์องค์ถัดไป!

แต่แล้ว เหมือนปวงเทพแห่งอียิปต์ทั้งมวลเข้าข้างพระองค์ วันหนึ่ง โมเสสเผลอตัวสังหารทหารอียิปต์นายหนึ่งซึ่งกำลังข่มเหงรังแกคนงานทาสชาวฮิบรู และยังทำการลวนลามนางทาสีคนหนึ่งอีกด้วย

ด้วยความบันดาลโทสะ โมเสสจึงสังหารทหารคนนั้นตาย...

มิหนำซ้ำ พระนางเนเฟอตารี ยังลงมือสังหารหญิงแม่นมซึ่งได้รู้ความลับเรื่องชาติกำเนิดของโมเสสและมีทีท่าว่าจะเปิดโปง

ในที่สุด ความก็ทราบถึงพระเนตรพระกรรณของฟาโรห์เซติ ทรงสอบสวนความจริง โมเสสก็ยอมรับความจริงทุกประการ กับทั้งยังกราบทูลพระองค์ด้วยว่า ต้องการไปจากอียิปต์ และในอนาคต หากพระเจ้าทรงเลือกเขาเป็นผู้ปลดปล่อยชาวอิสราเอลจริงๆ เขาก็จะพาทาสชาวฮิบรูทั้งหลายไปจากอียิปต์ด้วยเช่นกัน

ฟาโรห์เซติผู้ทรงชรามากแล้ว ทรงเสียพระทัยและช้ำพระหฤทัย ด้วยทรงรักใคร่โมเสสดุจโอรสแท้ๆ แต่ต้องทรงจำตัดพระทัยเนรเทศเขาไป

ในวันสุดท้ายสำหรับ "เจ้าชายแห่งอียิปต์" นั้น องค์ฟาโรห์ทรงชี้พระหัตถ์ขับไล่ด้วยทั้งน้ำพระเนตรคลอเบ้า และพระสุรเสียงอันสั่นสะท้าน

"เจ้า จงไปเสีย! ข้าไม่อยากเห็นหน้าเจ้าอีก!!"

และขณะที่โมเสส ผู้ซึ่งเพิ่งกลายเป็นอดีตเจ้าชาย อดีตรัชทายาท กำลังก้าวเดินออกไปจากประตูพระราชวัง เขาก็ได้ยินพระสุรเสียงขององค์ฟาโรห์รับสั่ง

"เหล่าอาลักษณ์ จงลบนามของโมเสส ออกจากเสาหินทุกต้น ศิลาจารึกทุกแห่ง เทวสถานและปฏิมากรรมทุกที่ อย่าให้เหลือ!"

ทรงจำได้อีกว่า หลังจากนั้น พระองค์ซึ่งกำลังจะได้เป็นฟาโรห์องค์ถัดจากพระบิดาแแน่นอนแล้ว เสด็จไปส่งโมเสสด้วยพระองค์เองถึงนอกพระราชวัง ห่างไกลออกมาจนถึงเขตทะเลทรายเลยทีเดียว ทรงโยนไม้เท้าคืนให้โมเสส โดยตรัสว่า "นี่คือคทาแห่งกษัตริย์คือเจ้า ผู้จะครองทะเลทราย ซึ่งมีข้าราชบริพารคืองูพิษและแมลงป่อง ลาก่อน อดีตพระเชฏฐาของข้า!"

กาลเวลาผ่านมาหลายสิบปี พระองค์คาดไม่ถึง ว่าโมเสสจะกลับมาอียิปต์อีกครั้งในวันนี้!

"ประชาชน เป็นของข้า..." ฟาโรห์รามิเซสตรัสตอบ หลังจากทรงหวนระลึกถึงความหลัง "ทุกชีวิต เป็นของข้า และสมบัติทุกชิ้นของชนเหล่านั้น ล้วนแต่เป็นของข้า!"

ทรงทิ้งระยะไว้หน่อยหนึ่ง แล้วตรัสต่อ

"ข้าไม่รู้จักพระเจ้าของเจ้า...และข้า ก็จะไม่ยอมให้ข้าทาสทั้งหลายของข้าไปจากข้า!!"

"พระองค์เป็นใคร มีสิทธิ์อะไรผูกมัดพวกเขาไว้ เพื่อเป็นทาสส่วนพระองค์ตลอดไป ?" โมเสสสวนกลับทันควัน "มนุษย์ ควรถูกปกครองโดยพระเจ้า มิใช่ถูกปกครอง และกดขี่ข่มเหงโดยมนุษย์ด้วยกัน!"

"พระเจ้าองค์ใดกัน จะมาบังคับให้ข้าปล่อยปวงประชาของข้าไปเสียจากข้า ? พระเจ้าของเจ้า จะมีฤทธานุภาพเพียงใดกัน !!" ทรงตะเบ็งพระสุรเสียงลั่นท้องพระโรง

โมเสสพยักหน้าช้าๆสองสามครั้ง แล้วยื่นไม้เท้าให้กับอารอนผู้เป็นพี่ชาย

อารอนรับไม้เท้ามา แล้วโยนลงไปบนพื้น เบื้องหน้าองค์ฟาโรห์ และทันทีที่มันถึงพื้น มันก็กลับกลายเป็นอสรพิษจงอางยาวเฟื้อย ชูคอแผ่แม่เบี้ยขู่ฟ่อ!

ผู้คนในท้องพระโรงส่งเสียงฮือฮา และคนที่อยู่ข้างหน้าหลายคนพากันถอยกรูด

แต่องค์ฟาโรห์กลับทรงแย้มสรวล ก่อนจะตรัสเย้ยหยัน

"นี่หรือ คือฤทธานุภาพของพระะเจ้าของเจ้า ? ที่แท้ ทำได้เพียงเล่นมายากล ! เจ้าเองก็เคยอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เด็ก ไม่เคยเห็นคนเขาเล่นกันมาก่อนหรือไร ?" แล้วทรงหันไปเรียกข้าราชบริพารสองคนด้านซ้าย "เดนู, ฮาคอร์!"

"พระเจ้าข้า" สองคนนั้นตอบรับพระบัญชาเรียก ถือไม้เท้ามาคนละท่อนเดินเข้ามาใกล้องค์ฟาโรห์แล้วโยนไม้เท้าของตนไปข้างหน้างูตัวนั้น

ไม้เท้าของพวกเขา ก็กลายเป็นงูจงอางสองตัว ชูคอแผ่แม่เบี้ยขู่งจงอางของโมเสสซึ่งขู่หนักขึ้นกว่าเดิมเมื่อมันเห็นสองตัวนั้นเลื้อยคุกคามเข้ามา

จงอางทั้งสามโรมรันพันตูต่อสู้กัน แต่ไม่นานนัก จงอางของโมเสสซึ่งตัวใหญ่และยาวกว่าก็เป็นฝ่ายชนะ มันฉกกัดและกลืนกินจงอางฝ่ายตรงข้ามทีละตัวจนหมดไม่มีเหลือ!

จากนั้น โมเสสก็ก้มลง จับที่ปลายหางของมันแล้วดึงขึ้นมา จงอางยักษ์นั้นก็กลับกลายเป็นไม้เท้าคู่ชีพของเขาตามเดิม!

โมเสส สืบเท้าย่างก้าวเข้าไปใกล้องค์ฟาโรห์ผู้เป็นอดีตพระอนุชา แล้วกล่าวสำทับ

"บัดนี้ พระองค์คงประจักษ์ต่อสายพระเนตรของพระองค์เองแล้ว ถึงมหิทธิฤทธิ์ของพระเจ้าของพวกเรา ฉะนั้น จงสดับ และเชื่อฟัง!"

"เชื่อฟัง ?" ฟาโรห์ทรงแค่นเสียง "เชื่อฟัง อย่างนั้นรึ ? เพียงกลเม็ดมายาเท่านี้ จะทำให้ข้าเชื่อฟังเจ้าหรือ ? โอ...โมเสส...โมเสส! เจ้า เจ้าสำคัญตนสูงส่งเกินไปแล้ว เจ้าและพวกฮิบรูของเจ้า ผู้เป็นข้าทาสของข้าต่างหาก ที่ต้องฟังและเชื่อฟังข้า!!"

แล้วทรงลุกขึ้นประทับยืน ชี้นิ้วพระหัตถ์ไปยังโมเสส แล้วทรงกวาดไปที่เหล่าทาสชาวฮิบรูส่วนหนึ่งซึ่งขณะนี้พากันเข้ามายืนอยู่ในท้องพระโรง

"พวกทาสชาวฮิบรูจงฟัง! นับแต่นี้ไป พวกเจ้าต้องทำงานสร้างก้อนอิฐ เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ของจำนวนที่พวกเจ้าทำอยู่ในแต่ละวัน สองเท่า! โดยมิให้ใช้ฟางในพระคลังหลวง แม้แต่เส้นเดียว!!"

เสียงร้องอื้ออึงกระหึ่มท้องพระโรงทันที และทาสหลายคนโอดครวญ

"ไม่มีฟางผสม เป็นไปไม่ได้ จะทำได้อย่างไรกัน ?"

"ไม่นะ ได้โปรด ฝ่าบาท โปรดเมตตา"

"นี่เป็๋นความผิดของโมเสสแต่เพียงผู้เดียว หาใช่ความผิดของพวกเราไม่! พวกเรามิได้มีความคิดที่จะไปจากพระองค์!"

"พวกข้าพระองค์ไม่ไปไหนทั้งสิ้น จะอยู่รับใช้พระองค์ ได้โปรดเถิด ฝ่าบาท!"

กัปตันวันชนะ ซึ่งยืนอยู่ข้างๆแอนดี้และอารอนพี่ชายของโมเสส กล่าวกับแอนดี้เบาๆ "สงสัยเรามีงานแล้วคราวนี้"

ฟาโรห์รามิเซส ไม่ทรงนำพากับเสียงร้องคร่ำครวญซึ่งดังระงม ยังตรัสเย้ยหยันต่อไปอีก

"อยากได้ฟางมาเป็นส่วนผสมทำก้อนอิฐหรือ ? จงไปหากันเอาเอง! ให้โมเสส ผู้นำของพวกเจ้าช่วยก็แล้วกัน! อย่าลืม...ปริมาณสองเท่าจากเดิม ห้ามขาดแม้แต่ก้อนเดียว!! แต่ละวัน ทำให้ครบจำนวน แล้วจึงเลิกงาน ไม่ครบห้ามเลิก!!"

เสด็จก้าวเดินจากทุกคนไปที่ประตูทางออกท้องพระโรง และก่อนจะเสด็จออกพ้นประตูไป ทรงเหลียวกลับมา ยกพระหัตถ์ขวาชี้ขึ้นแล้วตรัส

"อาลักษณ์!"

"พระเจ้าข้า"

"มันจักต้องถูกลิขิตตามนั้น  มันจักต้องถูกปฏิบัติตามนั้น!"
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


เสียงบ่นเพ้อ คร่ำครวญในโชคชะตาอย่างหนึ่ง และเสียงก่นด่าด้วยผรุสวาจาอีกอย่างหนึ่ง ดังจ้อกแจ้กจอแจผสมปนเปกันแทบฟังไม่ได้ศัพท์ เมื่อโมเสสและผู้ติดตามพากันกลับไปถึงชุมชนคนงานทาสฮิบรูทั้งหลาย

"โมเสส นำหายนะมาสู่พวกเรา"

"เขาทำให้ฟาโรห์กริ้ว พวกเราจึงพลอยฟ้าพลอยฝนโดนลงโทษไปด้วย"

"เจ้าไม่น่ากลับมาและมาหาพวกเราเลย"

""เจ้าทำให้พวกเราต้องทำงานหนักขึ้นสองเท่าตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป"

"เราจะเอาฟางมาจากไหนในเมื่อฟาโรห์ไม่ทรงประราชทานให้ ในทะเลทรายหรือ ?"

"...ฯลฯ...."

มีบางคนบ้าคลั่ง จะเข้ามาทำร้ายโมเสส แต่ถูกกันไว้โดยกลุ่มคนที่เชื่อและวางใจในตัวเขา

แอนดี้กระซิบกระซาบกับกัปตันวันชนะ ครู่หนึ่งแอนดรอยด์อัจฉริยะก็ผละจากกัปตัน เดินมาหาโมเสสและอารอน พูดกับพวกเขาครู่หนึ่งเช่นกัน จากนั้น โมเสสจึงก้าวขึ้นไปยืนอยู่บนแท่นไม้สูงกลางที่ประชุม ชูสองมือขึ้นและตะเบ็งเสียงดังลั่น

"ทุกคนโปรดเงียบ และฟังข้าก่อน!"

เสียงแห่งความโกลาหลวุ่นวายจึงค่อยเงียบไป

"ข้ามาที่นี่ มาหาพวกท่าน เพราะพระเจ้าตรัสกับข้า ข้าได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ ข้าเชื่อในพระองค์ ข้าจึงไม่ตายเสียในท่ามกลางทะเลทราย ทั้งๆที่มีอาหารติดตัวเพียงห่อเดียวสำหรับมื้อเดียว !! ลองคิดดู ข้าสมควรตายกลางทะเลทรายหรือไม่ การที่ข้ารอดตาย เป็นเรื่องมหัศจรรย์ ใช่หรือไม่ ?"

ทุกคนเงียบกริบ

"ข้ารอนแรมไปในทะเลทรายอันเวิ้งว้างนับเดือน จึงไปถึงดินแดนของชาวมีเดียน ได้ปักหลักปักฐานที่นั่น มีครอบครัวที่อบอุ่น มีภรรยาและลูกชาย เลี้ยงแกะไปวันๆอย่างมีความสุข แต่แล้ววันหนึ่ง พระเจ้าก็ทรงเรียกข้าขึ้นไปหาพระองค์บนภูเขาโฮเรป อันตั้งอยู่ในแดนทุรกันดาร ข้าก็ปีนเขาขึ้นไป และพบพระองค์ และพระองค์ตรัสกับข้า ทรงบัญชาให้ข้ากลับมาอียิปต์ เพื่อพาพวกท่านไปสู่ดินแดนแห่งพันธสัญญา ซึ่งพระองค์ทรงสัญญาว่าจะประทานให้กับพวกเรา!!"

(ต่อครับ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่