Review BMW G310GS
สวัสดีครับพี่น้องชาวพันทิป รีวิวนี้ถ้าจำไม่ผิดดูเหมือนจะเป็นครั้งแรกที่ผมบังอาจรีวิวอะไรสักอย่างบนพันทิปนี้ จริงๆแล้วผมเป็นสมาชิกมานานพอสมควร ติดตามเรื่องราวต่างๆ มาก็มาก โดยเฉพาะช่วงก่อนปรับปรุงเว็บครั้งใหญ่เมื่อหลายปีก่อน ปีอะไรล่ะ 54 55 นั่นล่ะมังครับ ครั้งนี้น่าจะเป็นครั้งแรกนับจากการปรับปรุงเว็บครั้งนั้นที่ผมโพส ฉะนั้นผมคงจะยังงงๆ อยู่กับระบบแท็กห้องหรืออะไรแบบนั้น ถ้าผิดพลาดอย่างไรขออภัยเป็นอย่างสูงครับ
และก็เป็นไปอย่างที่หัวกระทู้กล่าวถึงเลย สิ่งที่ผมจะนำมารีวิวครั้งนี้คือ รถจักรยานยนต์ BMW G310GS
เกี่ยวกับผู้เขียน เพศชาย อายุ 31 ปี สูง 180 หนัก 103 ไม่ชอบขับรถเร็ว
ชีวิตและจิตใจ
ผมเชื่อว่าการรีวิวของคือการพูดถึงสิ่งของที่ได้สัมผัสมา ถ่ายทอดให้ผู้อื่นอีกเป็นพันเป็นหมื่นคนได้รับรู้ โดยมีพื้นฐานจากประสบการณ์ รากฐานชีวิต และกระบวนวิธีคิดของคนที่ทำรีวิวเอง คนที่มีประสบการณ์ที่แตกต่างกัน ย่อมจะมองสิ่งต่างๆ ไม่เหมือนกัน ดังคำกลอนที่ว่า สองคนยลตามช่อง นั่นเองล่ะครับ ฉะนั้นจึงมีความจำเป็นที่ผมจะต้องแนะนำและเล่าถึงประวัติ ปูมหลัง และประสบการณ์ในการใช้รถให้ท่านผู้อ่านได้รับทราบเสียก่อน
ผมเป็นคนหนึ่งที่คลั่งใคล้เครื่องจักรเล็กๆ ที่เรียกว่ามอเตอร์ไซค์อย่างเข้าเส้น และใฝฝันอย่างจะมีรถดีๆ เอาไว้ในครอบครองกับเขาสักคัน แต่ด้วยชีวิตที่ขึ้นๆ ลงๆ จึงไม่มีโอกาสที่เหมาะสม เรียกง่ายๆ ว่าไม่มีเงินนั่นเอง แม้การมาถึงของ NINJA250 รุ่นแรก จะเป็นความหวังว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ได้ไกลเกินเอื้อมนัก
เวลานั้นผมท่องไปทั่ว กทม. ในทุกๆ วันด้วย “Tommy” Wave 125R ปี 48 คู่ทุกข์คู่ยาก รถคันแรกของผมตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัย มันเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของผม ให้ทั้งประสบการณ์ ให้ชีวิต เสี่ยงเป็น เสี่ยงตาย ให้เงิน ให้อะไรผมหลายๆ อย่าง รวมไปถึงให้ภรรยาอันเป็นที่รักยิ่ง ผู้แสนดี ผู้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมานับสิบปี ผู้เป็นแรกของหัวใจ ผู้เป็นคนสุดท้ายของชีวิต ผู้ชักนำสิ่งที่ดีเข้ามาในชีวิตผม ผู้มีความรู้เกี่ยวกับมอเตอร์ไซค์เป็นศูนย์ แฮ่...
ในเวลาไม่นานนัก ผมได้มีโอกาสได้เป็นเจ้าของรถมอเตอร์ไซค์ในคลาสที่ใครๆ เขาก็เล่าขานกันว่ามันคือตำนานท้องถนนเมืองไทย นั่นคือ รถ 150 2T วาวล์ไอเสียแปรผัน เป็นรถ Honda NSR 150RR ผมขี่คันนี้อยู่หลายปี สลับกับ Wave 125 มันเป็นรถสปอร์ตคลัตช์มือคันแรกที่ผมได้ขี่ เป็นรถที่ผ่านประสบการณ์ที่หนักหน่วงกันมามากมาย ไม่ว่าจะจูง เข็น หรือซ่อม ด้วยอายุอานามก็เกือบๆ 20 ปี และได้ให้วิชาช่างพื้นฐานผมหลายประการที่สุดท้ายแล้วแต่ละประการนั้นไม่เป็นโล้เป็นพายสักอย่างเลย
และก็เหมือนกับชนชั้นกลางระดับล่างที่เพิ่งตั้งตัวทั่วๆ ไป การจ่ายหกหลักเพื่อซื้อของอย่างรถมอเตอร์ไซค์เป็นสิ่งที่ห่างไกลจากคำว่าคุ้มค่าเป็นอย่างยิ่ง ในประเทศที่การขนส่งมวลชนติดอันดับ(ท้ายๆ) รถยนต์เป็นสิ่งที่ต้องมีเสียก่อน เมื่อมีรถอันเป็นเครื่องมือทำมาหากินแล้ว เพื่อความมั่นคงและสบายใจของครอบครัว บ้านก็เป็นสิ่งที่จำเป็นไม่น้อยกว่า ผมกับมอเตอร์ไซค์จึงห่างไกลกันออกไปเรื่อยๆ
อย่างไรก็ตามผมยังคงวนเวียนอยู่กับการเสพสื่อเกี่ยวกับมอเตอไซค์ ข่าวสาร การแข่งขัน งาน BMF มอเตอร์โชว์ มอเตอร์เอ็กซ์โป ฯลฯ ข่าวสารการเปิดตัวรถมอเตอร์ไซค์ รถมอเตอร์ไซค์รุ่นใหม่จะเป็นอย่างไร เทคโนโลยีจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางไหน (เสียงคุณน้าสุรชัยลอยมาเลย)
สองปีสุดท้ายก่อนที่จะมานั่งเขียนรีวิวอยู่ตรงนี้ ผมก็สานฝันแบบอเมริกันดรีมให้ครอบครัวจนสำเร็จ ท่ามกลางความคลั่งใคล้ในรถมอเตอร์ไซค์ที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล เวลาว่างหลายชั่วโมงในชีวิตผมหมดไปกับการนั่งดู นอนดู รีวิวรถ หาอ่านรีวิวทั้งของไทยและเทศ ทุกกระทู้รีวิว ทุกคลิปในยูทูป ทุกรุ่น ทุกคัน ไปดูที่ร้าน ไปดูที่งาน ไปทดลองขับ ไปยืมของเพื่อนขับ ดูจนกระทั่งผมรู้สึกว่าชั่วโมงนี้หน้ามืดแล้ว รถอะไรก็ได้ขอให้เป็น Entry Level Honda500 Honda300 R15 CBR150R MT03 Z300 Royal Enfield500 SR400 จาก Touring Adventure ไป Touring Sport ไป Naked ไป Custom ไป Classic อะไรก็ได้ที่ไม่ใช่รถสปอร์ต (เข็ดมาจาก NSR150RR ที่ไม่ปราณีสังขารผมเลย)
ข้างฝ่ายภรรยา(อันเป็นที่รักยิ่ง ฯลฯ) ของผมก็เอือมระอากับความคลั่งใคล้ของผมเต็มทน จนกระทั่งวันหนึ่ง เธอบอกว่า เธอไม่ไหวกับผมแล้ว และเริ่มเห็นด้วยว่าวิธีเดียวที่จะหยุดเรื่องนี้ได้คือให้มีมอเตอร์ไซค์สักคันเมื่อพร้อม
ดังนั้น เมื่อสิ่งต่างๆลงตัว ผมจึงเริ่มนำเสนอรถมอเตอร์ไซค์รุ่นต่างๆ ให้เธออย่างจริงจัง หวังให้เธอได้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจ เราไปยังศูนย์รถต่างๆ ผมทนทู่ซี้พาเธอดูรถในขณะที่บรรดาเซลล์คงจะแอบขำในกิริยาของเราสองคน ผมได้ลองทดสอบ Benelli TNT300S และได้ทดลองขับ CBR300R ของเพื่อน ทั้งสองคันในระยะทางสั้นๆ ทั้งคู่เป็นรถที่มีกำลังและให้ความประทับใจได้ดีในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตามแม้เธอจะยินยอมในหลักการว่าให้ผมมีมอเตอร์ไซค์แล้ว แต่ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ชอบเลยสักคัน เว้นแต่ SR400 ที่เธอ (และรวมถึงผมเองด้วย) ติว่าแพงไปสักหน่อย แม้เธอจะชอบรถคลาสสิกมากที่สุด สวนทางกับที่ผมยังสนใจรถ Touring Adventure หรือ Naked อย่างมากที่สุดอยู่
หลังจากคิดสะระตะต่างๆ แล้ว ก็ร่ำๆ จะกำเงินไปออก Rebel300 เมื่อตอนที่ผมลองพาเธอไปที่ศูนย์ BMW ใกล้บ้าน ที่ซึ่งเราทั้งสองได้พบกับ G310R และ G310GS เป็นครั้งแรก...
รักแรกพบ
คุณเชื่อเรื่องรักแรกพบหรือเปล่า ครับ ผมไม่เชื่อ ก็แค่ความหลงชั่ววูบในรูปลักษณ์ แต่ในนาทีที่ผมจอดเจ้าสวิฟต์น้อยที่ภรรยา (อันเป็นที่รักฯ) เพิ่งเอาไปหวดกับหมาจนแผงแอร์และหม้อน้ำป่นไปหมาดๆ ที่ศูนย์ BMW Motorrad Nithiboon (หรืออะไรสักอย่าง) พิษณุโลก ผมก็เห็นมัน G310R และ G310GS ที่จอดคู่กันจมอยู่ท่ามกลางกองรถ BMW ทั้งคลาส R S F และ K ที่เรียงรายอยู่ทั่วไป
ความรู้สึกแรกที่ผมได้เห็นรถตระกูล G ทั้งคู่ คือ “สวยกว่าในรูป” “ใหญ่กว่าที่คิด” และ “ดูดีกว่าที่คิด”
มันยากที่จะบอกได้ว่าเวลานั้นผมชอบตัว R หรือ GS มากกว่ากัน R นั้นแม้จะเป็นรถ Modern Naked ที่ดูในรูปทรงจะดูคล้ายๆ กับ M-Slaz อยู่มาก แต่ตัวจริงแล้วดูใหญ่โตกว่าพอสมควรเลยทีเดียว เบาะสูงกว่าและกว้างนั่งได้เต็มกว่า แฮนด์ห่างตัวกว่า ส่วนตัว GS นั้นความรู้สึกแรกที่ผมได้สัมผัสคือเทอะทะกว่าตัว R พอสมควร เบาะสูงกว่า แฮนด์แม้จะไม่ก้มเท่าแต่ก็ไม่สูงเท่า CB500X ในขณะที่พักเท้าเหมือนจะสูงกว่า
คุณเซลล์เสนอให้ผมทดลองขับรถทั้งสองคัน ครั้งแรกผมทดลองขับ R คนเดียว ความรู้สึกแรกที่ผมรู้สึกเลยคือรู้สึกว่ารถคันเล็กมากกว่าที่ตาเห็น และเหมือนสัตว์อะไรสักอย่างที่เราขี่มันแล้วมันพร้อมจะตอบสนองเราอย่างที่เราคิด ผมพาเจ้า R ขี่ลัดเลาะไปตามการจราจรที่หนาแน่นแต่ลื่นไหล ทั้งหมดที่ผมทำ ก็คือคิด แล้วเจ้า R ก็จะเคลื่อนไปตามความคิดโดยที่ไม่ต้องไปควบคุมอะไรมันเลย แฮนด์ที่ก้มนิดๆ และหัวรถสั้นๆ ที่พ้นเรือนไมล์เล็กๆ ออกไปก็คือพื้นถนน ให้ความรู้สึกเหมือนคร่อมขี่อยู่บนความว่างเปล่า และตัวเราล่องลอยไปตามพื้นถนน เมื่อดึงคันเร่งและโยกเปลี่ยนเลนตัวรถให้ความมั่นคงมากเกินความคาดหมาย ปัญหาเดียวของมันคือ ด้วยท่วงท่าและลีลาการขี่ มันออกจะเชิญชวนให้ผมสะบัดข้อมือขวาอย่างออกนอกหน้ามากเกินไปสักหน่อย ซึ่งผมก็มักทนความเย้ายวนนี้ไม่ได้ ซึ่งผมมองว่ามันไม่โอเค ผมออกจากถนนทดลองวิ่งตามพื้นดินของสนามทดสอบออฟโรด รู้สึกถึงความสั่นสะเทือนไปทั่วตัวรถ แรงกระแทกจากเบาะที่ส่งมายังก้นมันตีไม่ต่างกับเจ้าทอมมี่ Wave125 ที่ใส่โช้ค YSS heavy duty สีดำสำหรับบรรทุกหนัก ผมลดความเร็วลงทันทีพร้อมกับอาการเหวอเล็กน้อย พยายามยกก้นขึ้นจากเบาะแต่ทำได้ไม่ง่ายนักจากแฮนด์ที่ต่ำ จากการได้ลองในสนามสั้นๆ ผมรู้สึกประทับใจผลงานบนทางออฟโรดของเจ้าทอมมี่ผมมากกว่า
ในรอบที่สองผมให้ภรรยา (ฯลฯ) ซ้อนผมไปด้วย เธอไม่พอใจผลงานของรถบนทางออฟโร้ดอย่างมาก เธอบอกว่ามันสั่นสะเทือนเกินไป รถราคาเท่านี้แต่ไม่นิ่มเลย (ก็มันไม่ใช่รถสำหรับลุยนี่จ๊ะ) ส่วนในทางเรียบ เธอไม่ชอบที่ผมขับเร็วแล้วก้ม ทำให้ลมตีแรงเกินไป
เมื่อผมทดลองขับ GS ความแตกต่างนั้นรู้สึกได้อย่างชัดเจนราวกับไม่ใช่รถที่ใช้โครงสร้างและเครื่องยนต์ร่วมกัน จริงๆ ความรู้สึกของเครื่องยนต์มันก็เหมือนกันนั่นแหละ แต่ตัวรถนั่นเองที่ทำให้เรารู้สึกว่ามันต่างออกไป กล่าวคือ GS นั้นให้ท่านั่งหลังตรง คอตรง มองตรง แม้จะแอบก้มเล็กน้อยแต่ไม่ก้มมากเท่า R เมื่อผมขับ GS ผมรู้สึกชอบที่จะขับชิวๆ กินลมชมนกชมไม้มากกว่าจะเร่งอัดมัน ท่าการวางหลัง แขน และระดับการงอของเข่าที่น้อยกว่าทำให้รู้สึกผ่อนคลายมากกว่า ในการซอกแซกไปตามการจราจรในลักษณะเดียวกับตัว R ก่อนหน้านี้ ผมรู้สึกถึงความเทอะทะ หน้ายาวใหญ่ทำให้รู้สึกไม่มั่นใจนักเวลาที่เลาะเลี้ยวไปตามการจราจร ช่วงล่างที่ยุบยวบให้ความรู้สึกวูบวาบเวลาโยกเปลี่ยนเลนอยู่พอสมควร เวลาเปิดคันเร่งแรงๆ หรือเวลาเบรกแรงๆ หน้ารถจะออกอาการหน้าเชิดหรือพับลงค่อนข้างมาก และความสูงของเบาะแม้ว่าผมจะวางเท้าได้เกือบจะสนิททั้งฝ่าเท้าก็ทำให้หวิวๆ เมื่อรู้สึกว่าพื้นถนนที่ไขว่คว้านั้นไกลกว่าที่เคยชิน สมดุลน้ำหนักไม่ให้ความมั่นคงเท่าตัว R ผมรู้สึกเหมือนจะล้มพับครั้งหนึ่งขณะพยายามเลี้ยวรถมุมแคบ
แต่ในทางออฟโร้ดนั้น GS ให้ความรู้สึกที่ต่างออกไป ผมรู้สึกว่า นี่แหละ ทางของมันเลย ในทางขรุขระที่สั่นสะเทือนนั้นนุ่มนวลกว่าที่ผมคาดคิดไว้มาก การปีนขอบชันของร่องถนนไม่ทำให้รถสะบัดเท่าตัว R อาการยุบของโช้กที่ผมคิดว่ามากเกินไปนั้นกลายเป็นความนุ่มที่เรียกได้ว่าแทบจะไม่ต้องยกก้นขึ้นจากเบาะเลย และแม้จะขี่ในท่ายืน ก็ยืนได้ไม่ยาก แม้จะไม่ง่ายเท่าวิบากเต็มรูปแบบอย่าง KLX หรือ CRF เนื่องจากแฮนด์ยังอยู่ต่ำเกินไปสำหรับผม ทำให้การควบคุมการกดหรือดึงน้ำหนักล้อหน้ายังทำได้ยากกว่า
สำหรับคนซ้อน ภรรยา (ฯลฯ) ของผมให้ความเห็นว่า เธอมีความสุขกับการซ้อน GS มาก เพราะตัวผมช่วยบังลมไว้ได้มาก นอกจากนี้ GS ยังนุ่มนวลชวนฝันมากกว่า R และเธอสัมผัสได้ว่าผมมีความสุขกับการขับ GS มากกว่า
จนถึงเวลานั้นผมก็ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าชอบอะไรมากกว่ากัน โดยสรุปคือผมชอบความคล่องตัวและความมั่นคงของ R ไม่ชอบความยวบยาบเทอะทะของ GS ในขณะที่ผมชอบความนุ่มสบายและขับชิวๆ ของ GS แต่ความดุดันก้าวร้าวและอาการไม่ยอมกินดินของตัว R นั้นก็สุดจะทน ครั้นจะถามภรรยาเธอก็บอกแต่ว่าแล้วแต่ๆ คาดคั้นหนักเข้า เธอก็ยอมรับว่า เธอชอบ GS มากกว่าเล็กน้อย เพราะภาพจำของเธอคือ ถ้า BMW ต้อง GS เท่านั้น
...ผมจึงตัดสินใจจอง GS สีดำในวันนั้นเลย...
หมายเหตุ ลืมให้ดาวครับ ผมขอให้ที่ สี่ดาวครึ่ง ****1/2
[CR] รีวิว BMW G310GS รักแรกพบ เพียงสบตา คราสัมผัส ขัดหัวใจ ในความเป็นเธอ
สวัสดีครับพี่น้องชาวพันทิป รีวิวนี้ถ้าจำไม่ผิดดูเหมือนจะเป็นครั้งแรกที่ผมบังอาจรีวิวอะไรสักอย่างบนพันทิปนี้ จริงๆแล้วผมเป็นสมาชิกมานานพอสมควร ติดตามเรื่องราวต่างๆ มาก็มาก โดยเฉพาะช่วงก่อนปรับปรุงเว็บครั้งใหญ่เมื่อหลายปีก่อน ปีอะไรล่ะ 54 55 นั่นล่ะมังครับ ครั้งนี้น่าจะเป็นครั้งแรกนับจากการปรับปรุงเว็บครั้งนั้นที่ผมโพส ฉะนั้นผมคงจะยังงงๆ อยู่กับระบบแท็กห้องหรืออะไรแบบนั้น ถ้าผิดพลาดอย่างไรขออภัยเป็นอย่างสูงครับ
และก็เป็นไปอย่างที่หัวกระทู้กล่าวถึงเลย สิ่งที่ผมจะนำมารีวิวครั้งนี้คือ รถจักรยานยนต์ BMW G310GS
เกี่ยวกับผู้เขียน เพศชาย อายุ 31 ปี สูง 180 หนัก 103 ไม่ชอบขับรถเร็ว
ชีวิตและจิตใจ
ผมเชื่อว่าการรีวิวของคือการพูดถึงสิ่งของที่ได้สัมผัสมา ถ่ายทอดให้ผู้อื่นอีกเป็นพันเป็นหมื่นคนได้รับรู้ โดยมีพื้นฐานจากประสบการณ์ รากฐานชีวิต และกระบวนวิธีคิดของคนที่ทำรีวิวเอง คนที่มีประสบการณ์ที่แตกต่างกัน ย่อมจะมองสิ่งต่างๆ ไม่เหมือนกัน ดังคำกลอนที่ว่า สองคนยลตามช่อง นั่นเองล่ะครับ ฉะนั้นจึงมีความจำเป็นที่ผมจะต้องแนะนำและเล่าถึงประวัติ ปูมหลัง และประสบการณ์ในการใช้รถให้ท่านผู้อ่านได้รับทราบเสียก่อน
ผมเป็นคนหนึ่งที่คลั่งใคล้เครื่องจักรเล็กๆ ที่เรียกว่ามอเตอร์ไซค์อย่างเข้าเส้น และใฝฝันอย่างจะมีรถดีๆ เอาไว้ในครอบครองกับเขาสักคัน แต่ด้วยชีวิตที่ขึ้นๆ ลงๆ จึงไม่มีโอกาสที่เหมาะสม เรียกง่ายๆ ว่าไม่มีเงินนั่นเอง แม้การมาถึงของ NINJA250 รุ่นแรก จะเป็นความหวังว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ได้ไกลเกินเอื้อมนัก
เวลานั้นผมท่องไปทั่ว กทม. ในทุกๆ วันด้วย “Tommy” Wave 125R ปี 48 คู่ทุกข์คู่ยาก รถคันแรกของผมตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัย มันเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของผม ให้ทั้งประสบการณ์ ให้ชีวิต เสี่ยงเป็น เสี่ยงตาย ให้เงิน ให้อะไรผมหลายๆ อย่าง รวมไปถึงให้ภรรยาอันเป็นที่รักยิ่ง ผู้แสนดี ผู้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมานับสิบปี ผู้เป็นแรกของหัวใจ ผู้เป็นคนสุดท้ายของชีวิต ผู้ชักนำสิ่งที่ดีเข้ามาในชีวิตผม ผู้มีความรู้เกี่ยวกับมอเตอร์ไซค์เป็นศูนย์ แฮ่...
ในเวลาไม่นานนัก ผมได้มีโอกาสได้เป็นเจ้าของรถมอเตอร์ไซค์ในคลาสที่ใครๆ เขาก็เล่าขานกันว่ามันคือตำนานท้องถนนเมืองไทย นั่นคือ รถ 150 2T วาวล์ไอเสียแปรผัน เป็นรถ Honda NSR 150RR ผมขี่คันนี้อยู่หลายปี สลับกับ Wave 125 มันเป็นรถสปอร์ตคลัตช์มือคันแรกที่ผมได้ขี่ เป็นรถที่ผ่านประสบการณ์ที่หนักหน่วงกันมามากมาย ไม่ว่าจะจูง เข็น หรือซ่อม ด้วยอายุอานามก็เกือบๆ 20 ปี และได้ให้วิชาช่างพื้นฐานผมหลายประการที่สุดท้ายแล้วแต่ละประการนั้นไม่เป็นโล้เป็นพายสักอย่างเลย
และก็เหมือนกับชนชั้นกลางระดับล่างที่เพิ่งตั้งตัวทั่วๆ ไป การจ่ายหกหลักเพื่อซื้อของอย่างรถมอเตอร์ไซค์เป็นสิ่งที่ห่างไกลจากคำว่าคุ้มค่าเป็นอย่างยิ่ง ในประเทศที่การขนส่งมวลชนติดอันดับ(ท้ายๆ) รถยนต์เป็นสิ่งที่ต้องมีเสียก่อน เมื่อมีรถอันเป็นเครื่องมือทำมาหากินแล้ว เพื่อความมั่นคงและสบายใจของครอบครัว บ้านก็เป็นสิ่งที่จำเป็นไม่น้อยกว่า ผมกับมอเตอร์ไซค์จึงห่างไกลกันออกไปเรื่อยๆ
อย่างไรก็ตามผมยังคงวนเวียนอยู่กับการเสพสื่อเกี่ยวกับมอเตอไซค์ ข่าวสาร การแข่งขัน งาน BMF มอเตอร์โชว์ มอเตอร์เอ็กซ์โป ฯลฯ ข่าวสารการเปิดตัวรถมอเตอร์ไซค์ รถมอเตอร์ไซค์รุ่นใหม่จะเป็นอย่างไร เทคโนโลยีจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางไหน (เสียงคุณน้าสุรชัยลอยมาเลย)
สองปีสุดท้ายก่อนที่จะมานั่งเขียนรีวิวอยู่ตรงนี้ ผมก็สานฝันแบบอเมริกันดรีมให้ครอบครัวจนสำเร็จ ท่ามกลางความคลั่งใคล้ในรถมอเตอร์ไซค์ที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล เวลาว่างหลายชั่วโมงในชีวิตผมหมดไปกับการนั่งดู นอนดู รีวิวรถ หาอ่านรีวิวทั้งของไทยและเทศ ทุกกระทู้รีวิว ทุกคลิปในยูทูป ทุกรุ่น ทุกคัน ไปดูที่ร้าน ไปดูที่งาน ไปทดลองขับ ไปยืมของเพื่อนขับ ดูจนกระทั่งผมรู้สึกว่าชั่วโมงนี้หน้ามืดแล้ว รถอะไรก็ได้ขอให้เป็น Entry Level Honda500 Honda300 R15 CBR150R MT03 Z300 Royal Enfield500 SR400 จาก Touring Adventure ไป Touring Sport ไป Naked ไป Custom ไป Classic อะไรก็ได้ที่ไม่ใช่รถสปอร์ต (เข็ดมาจาก NSR150RR ที่ไม่ปราณีสังขารผมเลย)
ข้างฝ่ายภรรยา(อันเป็นที่รักยิ่ง ฯลฯ) ของผมก็เอือมระอากับความคลั่งใคล้ของผมเต็มทน จนกระทั่งวันหนึ่ง เธอบอกว่า เธอไม่ไหวกับผมแล้ว และเริ่มเห็นด้วยว่าวิธีเดียวที่จะหยุดเรื่องนี้ได้คือให้มีมอเตอร์ไซค์สักคันเมื่อพร้อม
ดังนั้น เมื่อสิ่งต่างๆลงตัว ผมจึงเริ่มนำเสนอรถมอเตอร์ไซค์รุ่นต่างๆ ให้เธออย่างจริงจัง หวังให้เธอได้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจ เราไปยังศูนย์รถต่างๆ ผมทนทู่ซี้พาเธอดูรถในขณะที่บรรดาเซลล์คงจะแอบขำในกิริยาของเราสองคน ผมได้ลองทดสอบ Benelli TNT300S และได้ทดลองขับ CBR300R ของเพื่อน ทั้งสองคันในระยะทางสั้นๆ ทั้งคู่เป็นรถที่มีกำลังและให้ความประทับใจได้ดีในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตามแม้เธอจะยินยอมในหลักการว่าให้ผมมีมอเตอร์ไซค์แล้ว แต่ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ชอบเลยสักคัน เว้นแต่ SR400 ที่เธอ (และรวมถึงผมเองด้วย) ติว่าแพงไปสักหน่อย แม้เธอจะชอบรถคลาสสิกมากที่สุด สวนทางกับที่ผมยังสนใจรถ Touring Adventure หรือ Naked อย่างมากที่สุดอยู่
หลังจากคิดสะระตะต่างๆ แล้ว ก็ร่ำๆ จะกำเงินไปออก Rebel300 เมื่อตอนที่ผมลองพาเธอไปที่ศูนย์ BMW ใกล้บ้าน ที่ซึ่งเราทั้งสองได้พบกับ G310R และ G310GS เป็นครั้งแรก...
รักแรกพบ
คุณเชื่อเรื่องรักแรกพบหรือเปล่า ครับ ผมไม่เชื่อ ก็แค่ความหลงชั่ววูบในรูปลักษณ์ แต่ในนาทีที่ผมจอดเจ้าสวิฟต์น้อยที่ภรรยา (อันเป็นที่รักฯ) เพิ่งเอาไปหวดกับหมาจนแผงแอร์และหม้อน้ำป่นไปหมาดๆ ที่ศูนย์ BMW Motorrad Nithiboon (หรืออะไรสักอย่าง) พิษณุโลก ผมก็เห็นมัน G310R และ G310GS ที่จอดคู่กันจมอยู่ท่ามกลางกองรถ BMW ทั้งคลาส R S F และ K ที่เรียงรายอยู่ทั่วไป
ความรู้สึกแรกที่ผมได้เห็นรถตระกูล G ทั้งคู่ คือ “สวยกว่าในรูป” “ใหญ่กว่าที่คิด” และ “ดูดีกว่าที่คิด”
มันยากที่จะบอกได้ว่าเวลานั้นผมชอบตัว R หรือ GS มากกว่ากัน R นั้นแม้จะเป็นรถ Modern Naked ที่ดูในรูปทรงจะดูคล้ายๆ กับ M-Slaz อยู่มาก แต่ตัวจริงแล้วดูใหญ่โตกว่าพอสมควรเลยทีเดียว เบาะสูงกว่าและกว้างนั่งได้เต็มกว่า แฮนด์ห่างตัวกว่า ส่วนตัว GS นั้นความรู้สึกแรกที่ผมได้สัมผัสคือเทอะทะกว่าตัว R พอสมควร เบาะสูงกว่า แฮนด์แม้จะไม่ก้มเท่าแต่ก็ไม่สูงเท่า CB500X ในขณะที่พักเท้าเหมือนจะสูงกว่า
คุณเซลล์เสนอให้ผมทดลองขับรถทั้งสองคัน ครั้งแรกผมทดลองขับ R คนเดียว ความรู้สึกแรกที่ผมรู้สึกเลยคือรู้สึกว่ารถคันเล็กมากกว่าที่ตาเห็น และเหมือนสัตว์อะไรสักอย่างที่เราขี่มันแล้วมันพร้อมจะตอบสนองเราอย่างที่เราคิด ผมพาเจ้า R ขี่ลัดเลาะไปตามการจราจรที่หนาแน่นแต่ลื่นไหล ทั้งหมดที่ผมทำ ก็คือคิด แล้วเจ้า R ก็จะเคลื่อนไปตามความคิดโดยที่ไม่ต้องไปควบคุมอะไรมันเลย แฮนด์ที่ก้มนิดๆ และหัวรถสั้นๆ ที่พ้นเรือนไมล์เล็กๆ ออกไปก็คือพื้นถนน ให้ความรู้สึกเหมือนคร่อมขี่อยู่บนความว่างเปล่า และตัวเราล่องลอยไปตามพื้นถนน เมื่อดึงคันเร่งและโยกเปลี่ยนเลนตัวรถให้ความมั่นคงมากเกินความคาดหมาย ปัญหาเดียวของมันคือ ด้วยท่วงท่าและลีลาการขี่ มันออกจะเชิญชวนให้ผมสะบัดข้อมือขวาอย่างออกนอกหน้ามากเกินไปสักหน่อย ซึ่งผมก็มักทนความเย้ายวนนี้ไม่ได้ ซึ่งผมมองว่ามันไม่โอเค ผมออกจากถนนทดลองวิ่งตามพื้นดินของสนามทดสอบออฟโรด รู้สึกถึงความสั่นสะเทือนไปทั่วตัวรถ แรงกระแทกจากเบาะที่ส่งมายังก้นมันตีไม่ต่างกับเจ้าทอมมี่ Wave125 ที่ใส่โช้ค YSS heavy duty สีดำสำหรับบรรทุกหนัก ผมลดความเร็วลงทันทีพร้อมกับอาการเหวอเล็กน้อย พยายามยกก้นขึ้นจากเบาะแต่ทำได้ไม่ง่ายนักจากแฮนด์ที่ต่ำ จากการได้ลองในสนามสั้นๆ ผมรู้สึกประทับใจผลงานบนทางออฟโรดของเจ้าทอมมี่ผมมากกว่า
ในรอบที่สองผมให้ภรรยา (ฯลฯ) ซ้อนผมไปด้วย เธอไม่พอใจผลงานของรถบนทางออฟโร้ดอย่างมาก เธอบอกว่ามันสั่นสะเทือนเกินไป รถราคาเท่านี้แต่ไม่นิ่มเลย (ก็มันไม่ใช่รถสำหรับลุยนี่จ๊ะ) ส่วนในทางเรียบ เธอไม่ชอบที่ผมขับเร็วแล้วก้ม ทำให้ลมตีแรงเกินไป
เมื่อผมทดลองขับ GS ความแตกต่างนั้นรู้สึกได้อย่างชัดเจนราวกับไม่ใช่รถที่ใช้โครงสร้างและเครื่องยนต์ร่วมกัน จริงๆ ความรู้สึกของเครื่องยนต์มันก็เหมือนกันนั่นแหละ แต่ตัวรถนั่นเองที่ทำให้เรารู้สึกว่ามันต่างออกไป กล่าวคือ GS นั้นให้ท่านั่งหลังตรง คอตรง มองตรง แม้จะแอบก้มเล็กน้อยแต่ไม่ก้มมากเท่า R เมื่อผมขับ GS ผมรู้สึกชอบที่จะขับชิวๆ กินลมชมนกชมไม้มากกว่าจะเร่งอัดมัน ท่าการวางหลัง แขน และระดับการงอของเข่าที่น้อยกว่าทำให้รู้สึกผ่อนคลายมากกว่า ในการซอกแซกไปตามการจราจรในลักษณะเดียวกับตัว R ก่อนหน้านี้ ผมรู้สึกถึงความเทอะทะ หน้ายาวใหญ่ทำให้รู้สึกไม่มั่นใจนักเวลาที่เลาะเลี้ยวไปตามการจราจร ช่วงล่างที่ยุบยวบให้ความรู้สึกวูบวาบเวลาโยกเปลี่ยนเลนอยู่พอสมควร เวลาเปิดคันเร่งแรงๆ หรือเวลาเบรกแรงๆ หน้ารถจะออกอาการหน้าเชิดหรือพับลงค่อนข้างมาก และความสูงของเบาะแม้ว่าผมจะวางเท้าได้เกือบจะสนิททั้งฝ่าเท้าก็ทำให้หวิวๆ เมื่อรู้สึกว่าพื้นถนนที่ไขว่คว้านั้นไกลกว่าที่เคยชิน สมดุลน้ำหนักไม่ให้ความมั่นคงเท่าตัว R ผมรู้สึกเหมือนจะล้มพับครั้งหนึ่งขณะพยายามเลี้ยวรถมุมแคบ
แต่ในทางออฟโร้ดนั้น GS ให้ความรู้สึกที่ต่างออกไป ผมรู้สึกว่า นี่แหละ ทางของมันเลย ในทางขรุขระที่สั่นสะเทือนนั้นนุ่มนวลกว่าที่ผมคาดคิดไว้มาก การปีนขอบชันของร่องถนนไม่ทำให้รถสะบัดเท่าตัว R อาการยุบของโช้กที่ผมคิดว่ามากเกินไปนั้นกลายเป็นความนุ่มที่เรียกได้ว่าแทบจะไม่ต้องยกก้นขึ้นจากเบาะเลย และแม้จะขี่ในท่ายืน ก็ยืนได้ไม่ยาก แม้จะไม่ง่ายเท่าวิบากเต็มรูปแบบอย่าง KLX หรือ CRF เนื่องจากแฮนด์ยังอยู่ต่ำเกินไปสำหรับผม ทำให้การควบคุมการกดหรือดึงน้ำหนักล้อหน้ายังทำได้ยากกว่า
สำหรับคนซ้อน ภรรยา (ฯลฯ) ของผมให้ความเห็นว่า เธอมีความสุขกับการซ้อน GS มาก เพราะตัวผมช่วยบังลมไว้ได้มาก นอกจากนี้ GS ยังนุ่มนวลชวนฝันมากกว่า R และเธอสัมผัสได้ว่าผมมีความสุขกับการขับ GS มากกว่า
จนถึงเวลานั้นผมก็ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าชอบอะไรมากกว่ากัน โดยสรุปคือผมชอบความคล่องตัวและความมั่นคงของ R ไม่ชอบความยวบยาบเทอะทะของ GS ในขณะที่ผมชอบความนุ่มสบายและขับชิวๆ ของ GS แต่ความดุดันก้าวร้าวและอาการไม่ยอมกินดินของตัว R นั้นก็สุดจะทน ครั้นจะถามภรรยาเธอก็บอกแต่ว่าแล้วแต่ๆ คาดคั้นหนักเข้า เธอก็ยอมรับว่า เธอชอบ GS มากกว่าเล็กน้อย เพราะภาพจำของเธอคือ ถ้า BMW ต้อง GS เท่านั้น
...ผมจึงตัดสินใจจอง GS สีดำในวันนั้นเลย...
หมายเหตุ ลืมให้ดาวครับ ผมขอให้ที่ สี่ดาวครึ่ง ****1/2