คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 1
1 ควรมีครับ
2 อาจจะแบ่งมากไปหน่อยครับ
(กฎที่คุณตั้งขึ้นมา ควรใช้กับประเภทของธุระกิจอึ่นๆ ได้ด้วยนะครับ ถ้าเป็นธุรกิจที่คล้ายกัน*)
ในมุมมองของผม ผมมองว่าMargin ควรแบ่งไว้เป็น ห้าส่วน
1 Commission ของ Marketing (ให้เจ้าของ Business Unit แบ่งกับทีมเอง)
2 Bonus ของพนักงาน (ถ้าต่อไปเกิดมี พนง)
(ส่วนที่ 1กับ2 รวมกันไปเลย ในบางธุรกิจ)
3 เป็นกำไรทางบัญชี ของตัวบริษัทเอง (ถ้าไม่จำเป็น ก็ทบไปข้อ4,5)
4 ส่วนที่เก็บไว้ลงทุน (อาจเป็นการซื้อ สนง รถส่งของ เงินทุนซื้อของ ฯลฯ)
5 ปันผลของผู้ถือหุ้น
ตัวอย่างสมมุติ
ส่วนที่ 1 30%
ส่วนที่ 2 10%
ส่วนที่ 3 10%
ส่วนที่ 4 10%
ส่วนที่ 5 40%
ถ้ามีกำไร 1,000,000 ในธุรกิจที่มาจาก B
B จะได้ 30% x1,000,000 + 20% x400,000 = 380,000
Bน่าจะพอใจในส่วนแบ่ง ในงานที่หาเอง และเหนื่อยกว่านะครับ
A และคุณ จะได้คนละ 40% x400,000 = 160,000
มันอาจจะดูว่าBได้มาก แต่ส่วนที่ 2,3,4 อีก 300,000 ในบัญชีบริษัท
เป็นขอ B แค่ 60,000 แต่เป็นของ A กับ คุณ คนละ 120,000 ครับ
ปล. พวกคุณ อาจทำข้องตกลงกันด้วยว่าจะยอมให้B ลงทุนเพิ่มจนเท่ากับพวกคุณ ในอนาคต
หรือไม่ก็ จอมจดทะเบียนหุ้นเท่ากันไปเลย ตั้งแต่แรก แต่ลงไว้ว่าB ชำระค่าหุ้นไม่เต็มจำนวน
ต้องเอามาเพิ่มภายหลัง โดยหักจากส่วนกำไรของB จนครบจำนวน
หรือถ้าคุณยังไม่มีธุรกิจอื่นที่จะหากำไรเข้ามาได้แบบB
คุณจะปกป้องกำไรจากจากเงินทุน ของพวกคุณไว้ก่อน ก็ยังไม่ต้องให้Bเพิ่มทุนครับ
* ผมไม่ทราบว่าธุรกิจของพวกคุณคืออะไรนะครับ แต่ผลกำไร ควรแบ่งเป็น 3ทาง
1 คนลงทุน
2 คนลงแรง
3 คนที่ทำให้เกิดการขาย(กำไร)
ในแต่ละธุระกิจ ความสำคัญในแต่ละส่วน ไม่เหมือนกัน มันจึงบอกอยากครับว่า แบ่งอย่างไรจึงจะเหมาะสม
2 อาจจะแบ่งมากไปหน่อยครับ
(กฎที่คุณตั้งขึ้นมา ควรใช้กับประเภทของธุระกิจอึ่นๆ ได้ด้วยนะครับ ถ้าเป็นธุรกิจที่คล้ายกัน*)
ในมุมมองของผม ผมมองว่าMargin ควรแบ่งไว้เป็น ห้าส่วน
1 Commission ของ Marketing (ให้เจ้าของ Business Unit แบ่งกับทีมเอง)
2 Bonus ของพนักงาน (ถ้าต่อไปเกิดมี พนง)
(ส่วนที่ 1กับ2 รวมกันไปเลย ในบางธุรกิจ)
3 เป็นกำไรทางบัญชี ของตัวบริษัทเอง (ถ้าไม่จำเป็น ก็ทบไปข้อ4,5)
4 ส่วนที่เก็บไว้ลงทุน (อาจเป็นการซื้อ สนง รถส่งของ เงินทุนซื้อของ ฯลฯ)
5 ปันผลของผู้ถือหุ้น
ตัวอย่างสมมุติ
ส่วนที่ 1 30%
ส่วนที่ 2 10%
ส่วนที่ 3 10%
ส่วนที่ 4 10%
ส่วนที่ 5 40%
ถ้ามีกำไร 1,000,000 ในธุรกิจที่มาจาก B
B จะได้ 30% x1,000,000 + 20% x400,000 = 380,000
Bน่าจะพอใจในส่วนแบ่ง ในงานที่หาเอง และเหนื่อยกว่านะครับ
A และคุณ จะได้คนละ 40% x400,000 = 160,000
มันอาจจะดูว่าBได้มาก แต่ส่วนที่ 2,3,4 อีก 300,000 ในบัญชีบริษัท
เป็นขอ B แค่ 60,000 แต่เป็นของ A กับ คุณ คนละ 120,000 ครับ
ปล. พวกคุณ อาจทำข้องตกลงกันด้วยว่าจะยอมให้B ลงทุนเพิ่มจนเท่ากับพวกคุณ ในอนาคต
หรือไม่ก็ จอมจดทะเบียนหุ้นเท่ากันไปเลย ตั้งแต่แรก แต่ลงไว้ว่าB ชำระค่าหุ้นไม่เต็มจำนวน
ต้องเอามาเพิ่มภายหลัง โดยหักจากส่วนกำไรของB จนครบจำนวน
หรือถ้าคุณยังไม่มีธุรกิจอื่นที่จะหากำไรเข้ามาได้แบบB
คุณจะปกป้องกำไรจากจากเงินทุน ของพวกคุณไว้ก่อน ก็ยังไม่ต้องให้Bเพิ่มทุนครับ
* ผมไม่ทราบว่าธุรกิจของพวกคุณคืออะไรนะครับ แต่ผลกำไร ควรแบ่งเป็น 3ทาง
1 คนลงทุน
2 คนลงแรง
3 คนที่ทำให้เกิดการขาย(กำไร)
ในแต่ละธุระกิจ ความสำคัญในแต่ละส่วน ไม่เหมือนกัน มันจึงบอกอยากครับว่า แบ่งอย่างไรจึงจะเหมาะสม
แสดงความคิดเห็น
ร่วมเปิดบริษัทกับเพื่อน ควรมีค่า commission กันไหม?
บทนำ
พอดีกำลังจะเปิดบริษัทกับเพื่อนคนนึง (นาย A) สนิทกันมาตั้งแต่เเด็ก และคุยกันมาทุกเรื่อง ซึ่งเราเข้าใจตรงกันว่าการที่เรามาเปิดบริษัท (ธุรกิจ 1)ด้วยกัน เพราะเราคิดเหมือนๆกัน เรากำลังหาอะไรทำที่เป็นของตัวเอง แล้วใช้ ความรู้, ประสบการณ์ ของแต่ละคนช่วยกันสร้างมันขึ้นมา ซึ่งเราไม่ได้มองเรื่องเงินเป็นหลัก เรามองผลประโยชน์จากธุรกิจนี้แบบ Long term ค่อยๆเติบโตไปพร้อมๆกัน (อาจจะโลกสวยไปหน่อย)
เริ่มเรื่อง
นาย A สนิทกับเพื่อนอีกคนนึงสมัยมหาลัย (นาย B) ซึ่งต้องการลงทุนร่วมด้วย และนาย B เสนอไอเดีย เพิ่มอีกธุรกิจหนึ่งเข้าไป (ธุรกิจ 2) (ซึ่งเป็นงานเก่า นาย A) และคิดกันว่ายังสามารถหา margin ได้จากธุรกิจนี้อยู่ เนื่องจาก นาย A รู้แหล่งโหลดของ มี connection และยังเป็นงานที่สามารถทำร่วมกับงานประจำที่นาย B ทำอยู่ได้ (ถือว่าได้ประโยชน์จากนาย B เต็มๆ) จนเราคุยกันเรื่อง การแบ่ง % ผลกำไรจากบริษัท อาจจะปันผล เป็นไตรมาส หรือสิ้นปีตามสัดส่วนผู้ถือหุ้น (อันนี้ไม่มีประเด็น) แต่มีประเด็นเรื่อง ค่า commission ของแต่ละงาน ที่หาเข้ามาให้บริษัท จะคิดกันยังไง ??
ผมปรึกษาพี่ชายที่พอมีประสบการณ์ มีคำถามให้ผมคิด 3 ข้อ
1. ทำไมถึงรีบคุยเรื่องค่า Commission ไหนคุณบอกว่า สิ่งที่คุณเข้าใจตรงกันคือทำเพื่อบริษัท เพื่อโดยรวม คุณกับเพื่อนๆเข้าใจตรงกันรึเปล่า?
[ ปล. แต่ด้วยนาย B มีงานประจำที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจที่ 2 ค่อนข้างเยอะ จึงมองว่า นาย B เป็นตัวหางานให้กับธุรกิจที่ 2 ที่ดี ( คือถ้าไม่มีค่า commission ให้นาย B จะมองว่าเอาเปรียบนาย B ไปหน่อยมั้ย) ]
อันนี้ผมเข้าใจ พี่ที่เค้าบอกเรามานะครับ คือเรามี 2 ธุรกิจ ถ้ามองภาพรวม ค่อยๆเติบโตไปพร้อมๆกัน ทำไมต้องมารีบคุยกันเรื่องผลประโยชน์ส่วนตัว มองภาพเดียวกันอยู่รึเปล่า ? ต่อให้ธุรกิจใดธุรกิจนึง มันไปไม่รอด เราก็ต้องมาคุยกัน หา Solution ร่วมกันอีกทีมั้ยว่า ควรทำยังไงต่อ ซึ่งพี่แนะนำว่า ถ้าทุกคนมองไม่เหมือนกัน อาจจะมีปัญหาในภายหลังได้ ตอนนี้ไม่มีปัญหา ใช่! เพราะเงินยังน้อยอยู่ แต่ถ้าผ่านไปซักช่วงนึงแล้วถ้าธุรกิจนี้ไปได้สวย จะทะเลาะกันรึเปล่า
(ปล. หากมีคำถามต่อ !! ทำไม นาย B ไม่ทำเองคนเดียวซะเลยล่ะ = นาย B ต้องการขยาย Scale งานตัวเอง ,ต้องการทุนเพิ่ม และไม่รู้แหล่งโหลดของ)
2. ถ้าจะคิดค่า commission ทำไมไม่จ้าง Sale ไปเลยล่ะ?
อันนี้คือช่วงเริ่มต้นนะครับ พยายามเซฟในส่วนที่ยังไม่จำเป็น ซึ่งถ้าธุรกิจนี้ไปได้สวย เรื่องนี้หา Sale ไม่น่ามีปัญหา
3. แล้วถ้าไม่มีค่าคอม แบ่งปันผลตามสัดส่วน ทีละไตรมาส หรือสิ้นปีทีเดียว มีปัญหาอะไรมั้ย?
ผม 40%, นาย A 40%, นาย B 20%(ทุนน้อยที่สุด) ซึ่งถ้าอ่านจากเนื้อหาข้างบนก็น่าจะเข้าใจนะครับว่า ถ้ารอปันผล นาย B คงหดหู่ใจอยู่ เพราะคิดว่าตัวเองเป็นคนหางานเข้าบริษัทแท้ๆ ได้น้อยจัง. (แต่จริงๆ ผมคิดว่า ทุกหน้าที่สำคัญเท่ากันหมดนะ)
คำถาม
1.เราควร มีค่า commission ให้กับคนที่หาลูกค้าเข้ามาบริษัทมั้ย ในรูปแบบบริษัทที่อธิบายไว้ด้านบน?
2.ถ้าเราแบ่ง %margin เข้า บริษัท 20% แล้วที่เหลือเป็น %ของคนที่หาลูกค้าเข้าบริษัทได้ แบบนี้โอเคมั้ย?
ปล.คือผมว่ามันพูดยากนะ อยากคุยให้เคลียร์กันไปเลย เห้อ กลุ้ม...
ขอคำแนะนำด้วยครับ มือใหม่จริงๆ เริ่มจาก 0 จริงๆ.