แบงก์แห่เทกระจาดตัดขายพอร์ตหนี้เสีย “บ้าน-คอนโดฯ” ราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท หลังแนวโน้ม NPL ยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง “BAM” ชี้เศรษฐกิจไม่ฟื้นกระทบลูกหนี้กลุ่มเปราะบาง-ธุรกิจเล็กตึ๊งบ้าน ผ่อนไม่ไหวยอมปล่อยทรัพย์หลุดมือ “ชโย กรุ๊ป” ประเมินแบงก์เคลียร์พอร์ตขายหนี้เสีย 1.5 แสนล้าน ชี้ซัพพลายทะลัก กดราคารับซื้อดิสเคานต์ 50% “JMT” มองทรัพย์บ้านเพิ่มขึ้นตามสัญญาณหนี้เสีย-SM ที่ยังไหลเพิ่มต่อ
แบงก์ล้างพอร์ตรับ NPL ใหม่
นายบัณฑิต อนันตมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM เปิดเผยกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า จากหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง และความสามารถในการชำระหนี้ถดถอยตามภาวะเศรษฐกิจที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ ประกอบกับมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ทยอยหมดลงในช่วงปีก่อน ส่งผลให้ทิศทางหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ทยอยปรับเพิ่มขึ้นในปีนี้
สอดคล้องกับการตัดขายหนี้ของสถาบันการเงินที่มีมากขึ้น ภายหลังจากมีปรับโครงสร้างหนี้ แต่ลูกหนี้บางรายอาจยังไม่สามารถกลับมาได้ ทำให้เข้าสู่กระบวนการตีโอนชำระหนี้ หรือฟ้องร้อง ทำให้สถาบันการเงินทยอยตัดขายหนี้ออกมา ส่วนหนึ่งสถาบันการเงินไม่อยากบริหาร เพราะอาจจะมีเจ้าหนี้ไม่เพียงพอกับการดูแล
ทั้งนี้ หนี้ที่เริ่มเห็นสัญญาณตัดขายออกมาเพิ่มมากขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา และยังมีออกมาต่อเนื่อง จะเป็นหนี้ที่อยู่อาศัย ประเภทบ้านและคอนโดมิเนียมที่มีราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นชัดเจนกว่าปีก่อน ส่วนหนึ่งมาจากลูกหนี้กลุ่มนี้เป็นกลุ่มเปราะบางอาจได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจ รายได้ยังไม่กลับมา และบางรายอาจมีหนี้หลายประเภท เช่น ผ่อนบัตรเครดิต หรือจักรยานยนต์ ขณะที่บางรายเป็นผู้ประกอบการขนาดเล็กอาจนำบ้านมาจำนองไปเป็นเงินทุนขยายกิจการ แต่จากภาวะเศรษฐกิจทำให้รายได้ไม่ได้กลับมาตามที่คิด
Q4 แห่ประมูลขายพอร์ต
นายบัณฑิตกล่าวว่า ช่วงไตรมาส 4/2567 สถาบันการเงินน่าจะตัดขายออกมาพอสมควร เริ่มมีการเชิญประมูลแล้ว อย่างไรก็ดี บริษัทจะพิจารณารับซื้อหนี้มาบริหารโดยดูคุณภาพและราคาเป็นสำคัญ หากทรัพย์เป็นบ้านหรือคอนโดมิเนียมที่มีขนาดเล็กมาก ๆ จะดูทำเลและรายประเภท เพราะต้องยอมรับว่าบางทำเลขายค่อนข้างยาก อย่างไรก็ดี บริษัทจะพิจารณารับซื้อหนี้ธุรกิจขนาดใหญ่เพิ่มเติม เนื่องจากพอร์ตที่มีอยู่เริ่มลดลง
“นอกจากเห็นการระบายทรัพย์ กลุ่มผู้ประกอบการโรงงาน ที่แข่งขันกับจีนที่มีต้นทุนต่ำกว่าไม่ไหว ปีนี้ก็จะมีบ้าน คอนโดฯระดับราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท ออกมาขายเยอะ เพราะก่อนหน้านี้มีการเปิดคอนโดมิเนียมเป็นดอกเห็ด คนแห่ซื้อ แต่จากภาระหนี้ที่สูงอยู่แล้ว เศรษฐกิจไม่ฟื้นอย่างที่คิด ทำให้ไม่มีกำลังผ่อนชำระก็ต้องปล่อยทิ้งในที่สุด”
ปี’67 ขายหนี้เสีย 1.5 แสน ล.
ด้านนายสุขสันต์ ยศะสินธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ชโย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CHAYO เปิดเผยกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า สัญญาณที่เห็นสถาบันการเงินมีการตัดขายมากขึ้น มีทั้งกลุ่มหนี้บ้าน ธุรกิจเอสเอ็มอี และรถยนต์ โดยพบว่าในส่วนของบ้านและคอนโดมิเนียมมีสัญญาณเพิ่มขึ้นอย่างมาก ซึ่งปีนี้คาดว่าสถาบันการเงินจะมีการตัดขายหนี้เสียออกมาราว 1.5 แสนล้านบาท ซึ่งประเมินว่าเป็นสัดส่วนของทรัพย์ประเภทบ้าน-คอนโดฯประมาณ 50% จากเดิมไม่ถึง 40%
สาเหตุที่แบงก์ตัดขายหนี้บ้านเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท มองว่าเป็นกลุ่มที่มีรายได้ 4-5 หมื่นบาท เนื่องจากได้รับผลกระทบมาตั้งแต่ช่วงระบาดของโควิด-19 แต่พยายามรักษาทรัพย์ไว้ โดยผ่านปรับโครงสร้างหนี้มาแล้วหลายรอบ แต่จากเศรษฐกิจฟื้นไม่ทั่วถึง ส่งผลให้รายได้ไม่กลับมา ท้ายที่สุดไม่ไหวก็ต้องยอมปล่อยทรัพย์ ซึ่งคาดว่าในไตรมาสที่ 4/2567 ยังคงเห็นการตัดขายหนี้บ้านของสถาบันการเงินออกมาเพิ่มขึ้นอีก และน่าจะเบาลงในช่วงกลางปี 2568
กดราคาซื้อดิสเคานต์ 50%
นายสุขสันต์กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทมีพอร์ตหนี้บ้านอยู่ที่ประมาณ 2.5 หมื่นล้านบาท คาดว่าภายในสิ้นปี 2567 จะเพิ่มขึ้นเป็น 2.6 หมื่นล้านบาท โดยบริษัทจะรับซื้อหนี้มาบริหารในอัตราส่วนลด (Discount) ราว 50% จากปัจจุบันราคาส่วนลดเฉลี่ยอยู่ที่ 40% เนื่องจากสถาบันการเงินต้องการระบายซัพพลายด้วย ขณะที่กฎหมายบังคับฟ้องร้องยึดทรัพย์ที่ต้องใช้เวลานานถึง 2 ปี ก่อนจะสามารถดำเนินการขายได้ ซึ่งทำให้มูลค่าบ้านลดลงด้วย
ทั้งนี้ คาดว่าภายในสิ้นปี 2567 บริษัทน่าจะสามารถซื้อหนี้ได้เพิ่มอีกราว 8,000-9,000 ล้านบาท ทำให้พอร์ตหนี้ทั้งมีหลักประกันและไม่มีหลักประกันรวมกันราว 1.08-1.10 แสนล้านบาท โดยปีนี้บริษัทมีเงินทุนรองรับซื้อหนี้ราว 1,000 ล้านบาท ซึ่งที่ผ่านมาใช้ไปแล้วราว 300-400 ล้านบาท ได้มูลหนี้มาบริหารแล้วกว่า 3,000 ล้านบาท ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากบริษัทสามารถซื้อทรัพย์ได้ในราคาถูก และได้มูลหนี้เข้ามาค่อนข้างเยอะ
“ปัจจุบันหนี้อันดับหนึ่งที่แบงก์ตัดขาย คือ บ้าน และคอนโดมิเนียม ที่เห็นเยอะขึ้นและน่าจะทยอยเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี ก่อนหน้านี้แบงก์เข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อบ้าน ทำให้ช่วยสกัดหนี้เสียได้บางส่วน ไม่อย่างนั้นเราอาจจะเห็นพอร์ตหนี้เสียบ้านเยอะกว่านี้ เพราะต้องยอมรับส่วนหนึ่งกลุ่มที่เริ่มผ่อนชำระไม่ไหวเป็นกลุ่มเปราะบางและมาเจอเศรษฐกิจไม่ฟื้น จึงมีปัญหามากขึ้น”
ตลาดบ้านยึดขายฝืด
นายทวี กุลเลิศประเสริฐ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บริหารสินทรัพย์ ไนท คลับ แคปปิตอล หรือ KCC เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ช่วง 3 ไตรมาสที่ผ่านมา หนี้เสียที่ถูกตัดขายและบริษัทเข้าร่วมประมูลมีราว 1 แสนล้านบาท เป็นหนี้ที่มีหลักประกัน ประเภทที่อยู่อาศัย ออกมาค่อนข้างเยอะ จากที่ก่อนหน้านี้เป็นหนี้พอร์ตเช่าซื้อ
อย่างไรก็ดี บริษัทไม่ได้เข้าประมูลในจำนวนมาก เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้า ส่งผลต่อการขายทรัพย์ค่อนข้างยาก บริษัทเน้นเคลียร์พอร์ตเดิมที่มีอยู่ ซึ่งมีบางทำเลที่ยังสามารถขายได้ เช่น ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล และโครงการที่ไม่ได้แย่มาก ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีพอร์ตเงินลงทุนที่อยู่อาศัยประมาณ 15-20%
“ตอนนี้ตลาดบ้านค่อนข้างฝืด ขายยาก ทำให้เราไม่ได้ซื้อเพิ่ม และทยอยเคลียร์พอร์ตที่มีอยู่ และหันไปซื้อทรัพย์โรงงาน เพราะยังมีกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากสินค้าจีน ซึ่งในช่วงกลางปีเราใช้เงินลงทุนซื้อหนี้ไปราว 450 ล้านบาท ส่วนไตรมาสสุดท้ายต้องรอดูก่อน”
JMT เน้นหนี้ไม่มีหลักประกัน
นายสุทธิรักษ์ ตรัยชิรอาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส หรือ JMT เปิดเผยกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ในช่วงไตรมาสที่ 4/2567 จะเห็นสถาบันการเงินตัดขายหนี้เสียออกมาขายมากขึ้น จากก่อนหน้านี้การตัดขายหนี้ค่อนข้างจำกัด เพราะ ธปท.มีมาตรการให้ปรับโครงสร้างหนี้ก่อนและหลังเป็นหนี้เสีย ตามเกณฑ์การปล่อยสินเชื่ออย่างรับผิดชอบ
โดยยอมรับว่าเห็นการตัดขายหนี้ที่มีหลักประกัน เช่น บ้าน และเช่าซื้อ มากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับกับปริมาณตัวเลขหนี้ค้างชำระ (SM) และหนี้เสียขยับเพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2567 อยู่ที่ 5.4 แสนล้านบาท เพิ่มเป็น 6.7 แสนล้านบาทในเดือนกรกฎาคม 2567 สะท้อนว่าคุณภาพหนี้ยังคงมีปัญหา นอกจากนี้ ยังเห็นกลุ่มสถาบันการเงินและน็อนแบงก์หน้าใหม่ตัดขายหนี้เสียเพิ่มเติมจากรายเดิม
อย่างไรก็ดี พอร์ตของบริษัทเน้นหนี้ที่ไม่มีหลักประกัน ทำให้ในช่วงครึ่งปีแรกซื้อทรัพย์มาบริหารราว 500 ล้านบาท แต่ปลายปีคิดว่าจะเริ่มเห็นทยอยออกมาขายมากขึ้น เพราะเริ่มมีดีลเข้ามา ซึ่งทั้งปีเราตั้งวงเงินซื้อไว้ประมาณ 2,000 ล้านบาท...
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ :
https://www.prachachat.net/finance/news-1698606
แบงก์แห่เทกระจาดหนี้เสีย โละขายทรัพย์บ้าน-คอนโด
แบงก์ล้างพอร์ตรับ NPL ใหม่
นายบัณฑิต อนันตมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM เปิดเผยกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า จากหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง และความสามารถในการชำระหนี้ถดถอยตามภาวะเศรษฐกิจที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ ประกอบกับมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ทยอยหมดลงในช่วงปีก่อน ส่งผลให้ทิศทางหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ทยอยปรับเพิ่มขึ้นในปีนี้
สอดคล้องกับการตัดขายหนี้ของสถาบันการเงินที่มีมากขึ้น ภายหลังจากมีปรับโครงสร้างหนี้ แต่ลูกหนี้บางรายอาจยังไม่สามารถกลับมาได้ ทำให้เข้าสู่กระบวนการตีโอนชำระหนี้ หรือฟ้องร้อง ทำให้สถาบันการเงินทยอยตัดขายหนี้ออกมา ส่วนหนึ่งสถาบันการเงินไม่อยากบริหาร เพราะอาจจะมีเจ้าหนี้ไม่เพียงพอกับการดูแล
ทั้งนี้ หนี้ที่เริ่มเห็นสัญญาณตัดขายออกมาเพิ่มมากขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา และยังมีออกมาต่อเนื่อง จะเป็นหนี้ที่อยู่อาศัย ประเภทบ้านและคอนโดมิเนียมที่มีราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นชัดเจนกว่าปีก่อน ส่วนหนึ่งมาจากลูกหนี้กลุ่มนี้เป็นกลุ่มเปราะบางอาจได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจ รายได้ยังไม่กลับมา และบางรายอาจมีหนี้หลายประเภท เช่น ผ่อนบัตรเครดิต หรือจักรยานยนต์ ขณะที่บางรายเป็นผู้ประกอบการขนาดเล็กอาจนำบ้านมาจำนองไปเป็นเงินทุนขยายกิจการ แต่จากภาวะเศรษฐกิจทำให้รายได้ไม่ได้กลับมาตามที่คิด
Q4 แห่ประมูลขายพอร์ต
นายบัณฑิตกล่าวว่า ช่วงไตรมาส 4/2567 สถาบันการเงินน่าจะตัดขายออกมาพอสมควร เริ่มมีการเชิญประมูลแล้ว อย่างไรก็ดี บริษัทจะพิจารณารับซื้อหนี้มาบริหารโดยดูคุณภาพและราคาเป็นสำคัญ หากทรัพย์เป็นบ้านหรือคอนโดมิเนียมที่มีขนาดเล็กมาก ๆ จะดูทำเลและรายประเภท เพราะต้องยอมรับว่าบางทำเลขายค่อนข้างยาก อย่างไรก็ดี บริษัทจะพิจารณารับซื้อหนี้ธุรกิจขนาดใหญ่เพิ่มเติม เนื่องจากพอร์ตที่มีอยู่เริ่มลดลง
“นอกจากเห็นการระบายทรัพย์ กลุ่มผู้ประกอบการโรงงาน ที่แข่งขันกับจีนที่มีต้นทุนต่ำกว่าไม่ไหว ปีนี้ก็จะมีบ้าน คอนโดฯระดับราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท ออกมาขายเยอะ เพราะก่อนหน้านี้มีการเปิดคอนโดมิเนียมเป็นดอกเห็ด คนแห่ซื้อ แต่จากภาระหนี้ที่สูงอยู่แล้ว เศรษฐกิจไม่ฟื้นอย่างที่คิด ทำให้ไม่มีกำลังผ่อนชำระก็ต้องปล่อยทิ้งในที่สุด”
ปี’67 ขายหนี้เสีย 1.5 แสน ล.
ด้านนายสุขสันต์ ยศะสินธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ชโย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CHAYO เปิดเผยกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า สัญญาณที่เห็นสถาบันการเงินมีการตัดขายมากขึ้น มีทั้งกลุ่มหนี้บ้าน ธุรกิจเอสเอ็มอี และรถยนต์ โดยพบว่าในส่วนของบ้านและคอนโดมิเนียมมีสัญญาณเพิ่มขึ้นอย่างมาก ซึ่งปีนี้คาดว่าสถาบันการเงินจะมีการตัดขายหนี้เสียออกมาราว 1.5 แสนล้านบาท ซึ่งประเมินว่าเป็นสัดส่วนของทรัพย์ประเภทบ้าน-คอนโดฯประมาณ 50% จากเดิมไม่ถึง 40%
สาเหตุที่แบงก์ตัดขายหนี้บ้านเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท มองว่าเป็นกลุ่มที่มีรายได้ 4-5 หมื่นบาท เนื่องจากได้รับผลกระทบมาตั้งแต่ช่วงระบาดของโควิด-19 แต่พยายามรักษาทรัพย์ไว้ โดยผ่านปรับโครงสร้างหนี้มาแล้วหลายรอบ แต่จากเศรษฐกิจฟื้นไม่ทั่วถึง ส่งผลให้รายได้ไม่กลับมา ท้ายที่สุดไม่ไหวก็ต้องยอมปล่อยทรัพย์ ซึ่งคาดว่าในไตรมาสที่ 4/2567 ยังคงเห็นการตัดขายหนี้บ้านของสถาบันการเงินออกมาเพิ่มขึ้นอีก และน่าจะเบาลงในช่วงกลางปี 2568
กดราคาซื้อดิสเคานต์ 50%
นายสุขสันต์กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทมีพอร์ตหนี้บ้านอยู่ที่ประมาณ 2.5 หมื่นล้านบาท คาดว่าภายในสิ้นปี 2567 จะเพิ่มขึ้นเป็น 2.6 หมื่นล้านบาท โดยบริษัทจะรับซื้อหนี้มาบริหารในอัตราส่วนลด (Discount) ราว 50% จากปัจจุบันราคาส่วนลดเฉลี่ยอยู่ที่ 40% เนื่องจากสถาบันการเงินต้องการระบายซัพพลายด้วย ขณะที่กฎหมายบังคับฟ้องร้องยึดทรัพย์ที่ต้องใช้เวลานานถึง 2 ปี ก่อนจะสามารถดำเนินการขายได้ ซึ่งทำให้มูลค่าบ้านลดลงด้วย
ทั้งนี้ คาดว่าภายในสิ้นปี 2567 บริษัทน่าจะสามารถซื้อหนี้ได้เพิ่มอีกราว 8,000-9,000 ล้านบาท ทำให้พอร์ตหนี้ทั้งมีหลักประกันและไม่มีหลักประกันรวมกันราว 1.08-1.10 แสนล้านบาท โดยปีนี้บริษัทมีเงินทุนรองรับซื้อหนี้ราว 1,000 ล้านบาท ซึ่งที่ผ่านมาใช้ไปแล้วราว 300-400 ล้านบาท ได้มูลหนี้มาบริหารแล้วกว่า 3,000 ล้านบาท ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากบริษัทสามารถซื้อทรัพย์ได้ในราคาถูก และได้มูลหนี้เข้ามาค่อนข้างเยอะ
“ปัจจุบันหนี้อันดับหนึ่งที่แบงก์ตัดขาย คือ บ้าน และคอนโดมิเนียม ที่เห็นเยอะขึ้นและน่าจะทยอยเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี ก่อนหน้านี้แบงก์เข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อบ้าน ทำให้ช่วยสกัดหนี้เสียได้บางส่วน ไม่อย่างนั้นเราอาจจะเห็นพอร์ตหนี้เสียบ้านเยอะกว่านี้ เพราะต้องยอมรับส่วนหนึ่งกลุ่มที่เริ่มผ่อนชำระไม่ไหวเป็นกลุ่มเปราะบางและมาเจอเศรษฐกิจไม่ฟื้น จึงมีปัญหามากขึ้น”
ตลาดบ้านยึดขายฝืด
นายทวี กุลเลิศประเสริฐ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บริหารสินทรัพย์ ไนท คลับ แคปปิตอล หรือ KCC เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ช่วง 3 ไตรมาสที่ผ่านมา หนี้เสียที่ถูกตัดขายและบริษัทเข้าร่วมประมูลมีราว 1 แสนล้านบาท เป็นหนี้ที่มีหลักประกัน ประเภทที่อยู่อาศัย ออกมาค่อนข้างเยอะ จากที่ก่อนหน้านี้เป็นหนี้พอร์ตเช่าซื้อ
อย่างไรก็ดี บริษัทไม่ได้เข้าประมูลในจำนวนมาก เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้า ส่งผลต่อการขายทรัพย์ค่อนข้างยาก บริษัทเน้นเคลียร์พอร์ตเดิมที่มีอยู่ ซึ่งมีบางทำเลที่ยังสามารถขายได้ เช่น ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล และโครงการที่ไม่ได้แย่มาก ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีพอร์ตเงินลงทุนที่อยู่อาศัยประมาณ 15-20%
“ตอนนี้ตลาดบ้านค่อนข้างฝืด ขายยาก ทำให้เราไม่ได้ซื้อเพิ่ม และทยอยเคลียร์พอร์ตที่มีอยู่ และหันไปซื้อทรัพย์โรงงาน เพราะยังมีกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากสินค้าจีน ซึ่งในช่วงกลางปีเราใช้เงินลงทุนซื้อหนี้ไปราว 450 ล้านบาท ส่วนไตรมาสสุดท้ายต้องรอดูก่อน”
JMT เน้นหนี้ไม่มีหลักประกัน
นายสุทธิรักษ์ ตรัยชิรอาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส หรือ JMT เปิดเผยกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ในช่วงไตรมาสที่ 4/2567 จะเห็นสถาบันการเงินตัดขายหนี้เสียออกมาขายมากขึ้น จากก่อนหน้านี้การตัดขายหนี้ค่อนข้างจำกัด เพราะ ธปท.มีมาตรการให้ปรับโครงสร้างหนี้ก่อนและหลังเป็นหนี้เสีย ตามเกณฑ์การปล่อยสินเชื่ออย่างรับผิดชอบ
โดยยอมรับว่าเห็นการตัดขายหนี้ที่มีหลักประกัน เช่น บ้าน และเช่าซื้อ มากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับกับปริมาณตัวเลขหนี้ค้างชำระ (SM) และหนี้เสียขยับเพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2567 อยู่ที่ 5.4 แสนล้านบาท เพิ่มเป็น 6.7 แสนล้านบาทในเดือนกรกฎาคม 2567 สะท้อนว่าคุณภาพหนี้ยังคงมีปัญหา นอกจากนี้ ยังเห็นกลุ่มสถาบันการเงินและน็อนแบงก์หน้าใหม่ตัดขายหนี้เสียเพิ่มเติมจากรายเดิม
อย่างไรก็ดี พอร์ตของบริษัทเน้นหนี้ที่ไม่มีหลักประกัน ทำให้ในช่วงครึ่งปีแรกซื้อทรัพย์มาบริหารราว 500 ล้านบาท แต่ปลายปีคิดว่าจะเริ่มเห็นทยอยออกมาขายมากขึ้น เพราะเริ่มมีดีลเข้ามา ซึ่งทั้งปีเราตั้งวงเงินซื้อไว้ประมาณ 2,000 ล้านบาท...
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.prachachat.net/finance/news-1698606