[CR] The Netherlands Diary << ตอนที่ 1 >> : การเดินทางไปยุโรปครั้งแรก

เกริ่นนำ
สวัสดีครับเพื่อนๆชาวพันทิป ต่อไปนี้จะเป็นบันทึกเรื่องราวผมในการไปดินแดนยุโรปครั้งแรก แต่ต้องขอออกตัวก่อนน่ะครับว่าตอนแรกไม่กล้าเอาเรื่องราวในครั้งนี้มาลงในพันทิป เนื่องจากผมรู้ตัวว่าวิธีการเล่าเรื่องของผมอาจจะจะดูยืดยาวสักหน่อยเพราะผมอยากเขียนเรื่องนี้เป็นแนวบันทึกการเดินทางน่ะครับ ก็เลยใส่รายละเอียดไปนั่นโน่นนี่ลงไปค่อนข้างเยอะ ซึ่งอาจจะไม่เป็นที่ชื่นชอบของเพื่อนๆสักเท่าไหร่ที่จะเน้นรีวิวที่นั่นที่นี่ (ตามที่เห็นกันอยู่ในกระทู้ทั่วไป) แต่สุดท้ายก็มีหลายๆคนบอกว่าให้เอามาลงที่นี่เถอะเพราะบางอย่างมันอาจจะมีประโยชน์กับหลายๆคนที่อยากเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศ โดยเฉพาะกระทู้ฝั่งยุโรปที่มีอยู่ค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับกระทู้แถบเอเชีย ผมก็เลยเอาเรื่องราวที่เขียนในบล็อกส่วนตัวมาปรับปรุงนิดหน่อย เอามาลงในพันทิปให้เพื่อนๆได้ติดตามกันครับ อย่างไรก็แนะนำ ติชมกันได้ครับ เพื่อเอาไปปรับปรุงกระทู้แรกของผมในสไตล์บันทึกเดินทางที่อาจจะมีตัวหนังสือมากกว่าภาพน่ะครับ ไม่รู้ว่าเพื่อนๆจะชอบกันหรือเปล่าครับสไตล์นี้ อย่างไรก็ขอฝากเนื้อฝากตัวกับเพื่อนๆพี่น้องๆในห้องบลูด้วยครับ
@@@@@@@@@

The Netherlands Diary << ตอนที่ 1 >> : การเดินทางไปยุโรปครั้งแรก

... เรื่องมันเริ่มต้นมาจากผมกับพี่สาว (พี่โอ๋) เราวางแผนกันว่าจะพาพ่อกับแม่ไปเที่ยวยุโรปสักครั้งหนึ่ง ผมถือว่ามันเป็นโอกาสที่สำคัญครั้งหนึ่งในชีวิตเลยทีเดียวนะครับ คือมันจะภาคภูมิใจแค่ไหนที่สักครั้งหนึ่งลูกๆ 2 คนพี่น้องที่ไม่ได้ร่ำรวยอะไร สามารถพาพ่อกับแม่ได้ไปเที่ยวในยุโรป แถมจะได้พาพวกเค้าไปดูให้เห็นกับตาเลยว่าพี่โอ๋เป็นอยู่อย่างไร เพราะว่าตอนนี้พี่โอ๋ก็ไปตั้งหลักปักฐานที่เนเธอร์แลนด์มาเป็นเวลา 5 ปีแล้ว พวกเค้าจะได้สบายใจหมดห่วง พวกเราจึงเริ่มวางแผนกันตั้งแต่ช่วงกลางปี 59 และแล้วเดือนตุลาคมปี 59 ความฝันจะเริ่มใกล้มาเป็นความจริงขึ้นมาทุกที ตอนนี้พี่โอ๋เก็บเงินที่จะซื้อตั๋วเครื่องบินไปกลับกรุงเทพฯ - อัมสเตอร์ดัม ให้พ่อกับแม่ได้แล้ว เหลือแต่หน้าที่ของผมที่ต้องหาเงินเพิ่มเติม ในส่วนของค่าใช้จ่ายฝั่งเมืองไทย ก็มีในส่วนของค่าวีซ่ากับค่าใช้จ่ายต่างๆที่ต้องเตรียมตัวไป (ยังจำตอนพาพ่อกับแม่ไปซื้อเสื้อผ้าชุดกันหนาวที่ร้านเกาหลีมือสองได้เลย สองตายายมีความละลานตา มีความสุขกับการจับ Mix&Match กันมากเลย) … จนเข้าเดือนมกราคม 60 ผมจึงได้บอกให้พ่อกับแม่รู้ถึงแผนของพวกเรา ว่าเราเตรียมทุกอย่างพร้อมเอาไว้หมดแล้ว... เซอร์ไพร์ซกับรับปีใหม่เลยครับ เหลือแค่ขั้นตอนสุดท้ายคือการขอวีซ่าซึ่งเราใช้เวลาไม่นานก็ได้วีซ่าแบบ Visiting Visa มาเป็นที่เรียบร้อย ด้วยความช่วยเหลือจากพี่เขย (พี่มาร์ติน) ที่ส่งเอกสารเชิญและรับรองมาให้ครับ ซึ่งหลังจากไปยื่นเอกสารไม่นานประมาณ 10 วันได้ครับก็มีไปรษณีย์ส่งเล่มกลับมาผ่านเรียบร้อย เป็นอันว่าเรียบร้อยรอนับถอยหลังวันเดินทางกันครับ


"วันแรกของการเดินทาง : 11 ชั่วโมงบนเครื่องบิน"


4 เมษายน 2560
... วันที่เรารอคอยก็มาถึงครับพวกเราตื่นกันตั้งแต่เช้า เพื่อออกจากบ้านครับตอน 7 โมงครึ่ง กะว่าให้ถึงสนามบินสุวรรณภูมิก่อนเวลา 9 โมง ซึ่งในความเป็นจริงแล้วคืนนั้นก็ยังไม่ได้นอนกันหรอกครับกว่าจะเตรียมแพ็คของที่จะเอาไปฝากพี่โอ๋ กว่าจะจัดกระเป๋านั่นนู่นนี่ให้เรียบร้อยก็ปาเข้าไปตี 3 แล้วครับ สำหรับพ่อกับแม่แล้วก็คงเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นสำหรับพวกเขาไม่น้อยเพราะว่าก่อนไป ผมกับพี่โอ๋นี่ก็แต่งเติมเรื่องราวสรรพคุณความวุ่นวายของ ตม.ขาเข้า-ขาออกเอาไว้ให้น่ากลัวพอควร (ก็คือว่าไม่อยากให้ติดปัญหาอะไรครับ อยากให้พ่อกับแม่เดินทางออกนอกประเทศครั้งแรกแบบสบายใจ ก็เลยพูดปรามโน่นนี่เอาไว้ก่อนเพราะแม่ดื้อมากอยากขนใบมะกรูด,พริกแห้ง,กล้วยไข่ใส่กระเป๋าถือขึ้นเครื่องไปอีกกลัวไม่ครบ 7 กิโล) แล้วเป็นครั้งแรกของแม่ด้วยนะครับที่ได้เดินทางออกนอกประเทศก็เลยต้องเบรกเอาไว้นิดนึง กลัวว่าถ้าเกิดติดขัดอะไร ตรวจนั่นตรวจนี้แล้วเค้าจะตกใจ เกิดเป็นประสบการณ์ที่ไม่ดีในการออกนอกประเทศครั้งแรก
... เราถึงสนามบินสุวรรณภูมิกันตอนประมาณ 9 โมงนิดๆ ที่เคาเตอร์เช็คอิน เราได้ใช้บริการเครื่อง Self-Check in ก็สะดวกดีครับ จากนั้นก็เข้าไปด้านใน จนผ่าน ตม.มาได้ด้วยความเรียบร้อยแล้ว หลังจากนี้อีก 11 ชั่วโมง เราต้องฝากตัว ฝากใจ และฝากท้องเอาไว้กับ สายการบิน EVA AIR ที่จะเป็นผู้พาเราบินตรงกันไปยาวๆ เพื่อไปผจญภัยในยุโรปครั้งแรก

... จะพูดถึงไฟลท์ขาไปสักหน่อย มีเรื่องเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยอยากเล่าให้ฟังหลายเรื่องเลยครับ เริ่มจากเรื่องอาหารบนเครื่องของ EVA AIR เป็นเรื่องแรกก็แล้วกัน บอกได้ว่ารสชาติดีเลยครับ ซึ่งจริงๆแล้วก่อนออกเดินทางพี่โอ๋แนะนำว่าถ้าเป็นอาหารเอเชียรสชาตินี้เข้าขั้นอร่อยเลยครับ เพราะว่าอาหารที่จะเสริฟสำหรับตอนช่วงขาไปนี้เป็นอาหารที่เตรียมมาจากครัวการบินไทยของเรานั่นเอง และส่วนเมนูอาหารยุโรปเท่าที่สัมผัสมาสองมื้อบนเครื่องบินนั้นผมว่ารสชาติมันดีเลยทีเดียวครับ ส่วนของพ่อกับแม่ตอนขาไปก็ไม่อยากให้เขาต้องเลือกอาหารที่อาจจะไม่ถูกปาก ก็เลยสั่งอาหารเอเชียให้เขา แต่สุดท้ายก็แอบขโมยชิมของผมไป มีบอกอีกว่ารู้อย่างนี้สั่งอาหารยุโรปดีกว่า .. พอมื้อเข้าที่สองเท่านั้นแหละครับ แม่ก็เริ่มนอกใจอาหารเอเชีย แต่ว่าพ่อในฐานะลูกจีนแท้ๆก็ยังคงจงรักภักดีต่ออาหารจีนต่อไป (แต่รู้มาว่าขากลับพ่อกับแม่ไม่สั่งอาหารเอเชียเลยเพราะพ่อบอกว่าอาหารเอเชียที่ปรุงจากยุโรปมันคงไม่อร่อยแน่ๆ สู้สั่งอาหารยุโรปที่มาจาก Original เองน่าจะอร่อยกว่า ... ใช่ครับพ่อคิดถูกแล้วเพราะขากลับนี่มาจาก Catering ของเนเธอร์แลนด์)

หน้าตาอาหารทั้ง 2 มื้อ ผมว่าอร่อยกว่าที่คิดเอาไว้ตอนแรกทุกอย่างเลย

.... ต่อไปเป็นการเลือกที่นั่งที่เวลาเราโดยสารบนเครื่องบินเป็นระยะทางไกลๆจะนำเอาไปใช้ก็ได้นะครับ มันเป็นความบังเอิญมากที่ตอนเลือกที่นั่งตอนแรกตรงกลางเครื่องมันเต็ม เลยต้องมานั่งช่วงท้ายสุดของเครื่องซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าจะมีห้องเตรียมอาหารใหญ่อยู่บริเวณท้ายเครื่อง ตรงนั้นแหละครับเป็นโซนผ่อนคลายสบายท้องที่ดีมากๆสำหรับการเดินทางไกลๆแบบนี้ เพราะเมื่อเวลาที่บินไปได้สักระยะหนึ่งแล้วน้องๆแอร์โฮสเตส ก็จะเอาพวกเครื่องดื่มของขบเคี้ยวเอาไว้บริการพวกเรา พอเสริฟเสร็จก็จะเอาไปเก็บเอาไว้ซึ่งถ้าเป็นช่วงกลางลำตรงห้องเตรียมอาหารเล็กก็จะมีในส่วนของเครื่องดื่ม หรือของขบเคี้ยวเพียงไม่กี่อย่างแต่ถ้าเป็นท้ายเครื่องตรงบริเวณห้องครัวใหญ่แล้วละก็เรียกว่าเป็นคลังแสงเลยทีเดียวครับ แบบว่าบินไปนานๆแล้วมีของว่างของมื้อต่างๆที่เสริฟไม่หมดน้องๆแอร์เค้าจะวางเอาไว้ให้ตรงนี้ ผมนี่เดินไปห้องน้ำทีไรก็เผลอหยิบกลับมาทุกครั้ง
... นอกจากนี้ในส่วนของท้ายเครื่องนั้นพื้นที่บริเวณหน้าห้องน้ำตรงประตูด้านหลัง ผมสังเกตดูแล้วว่า ตรงนั้นจะมีพื้นที่ว่างกว้างพอสมควรแถมขนาดของห้องน้ำก็จะมีขนาดจะใหญ่กว่าบริเวณด้านกลางเครื่อง เพราะฉะนั้นแล้ว การเดินทางโดยเครื่องบินในระยะทางไกลๆแบบนี้ การได้มีพื้นที่ซักเล็กน้อย ในการเดินไปเดินมายืดเส้นยืดสาย ก็คงจะดีไม่น้อยใช่ไหมครับ นี่แหละครับเป็นทริคเล็กๆน้อยๆที่ผมได้เรียนรู้จากการเดินทางระยะไกลครั้งแรกของพวกเรา

เดินไปแอบหยิบมาเรื่อยๆครับขนมแป้งกรอบๆ พร้อมขอเครื่องดื่มจากน้องๆแอร์โฮสเตส เข้ากันดีจริงๆครับ

.... อีกเรื่องหนึ่งครับเป็นเรื่องความแปลกใหม่ของการใช้จอ PTV ที่จะให้ผู้โดยสารได้ดูหนังฟังเพลง ดูเส้นทางการบินต่างๆเหล่านี้ล่ะครับ แต่ปัญหาของเราในการเดินทางครั้งนี้ก็คือเราใช้ไม่เป็นครับ ลองผิดลองถูกอยู่นานกดกันมั่วเลยตอนแรก พอสักพักก็ใช้เป็นแล้วคราวนี้มันเลยครับ และไอ้เจ้าสิ่งนี้แหละครับคือเพื่อนแท้ที่สุดของไฟลท์นี้ มันเป็นสิ่งที่ฆ่าเวลาของพวกเราได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียวเชื่อไหมครับว่า ถ้าผมจะไม่ผิดช่วงประมาณ 4-5 ชั่วโมงสุดท้ายก่อนจะถึงที่หมายที่ประเทศเนเธอร์แลนด์พ่อนั่งเล่นเกมไพ่อย่างเมามัน ส่วนแม่ก็นั่งดูหนังไปเพลินสมชื่อเค้าเลยครับ ก็ไม่รู้ว่าเขาฟังรู้เรื่องหรือเปล่าแต่เค้าก็นั่งดูไปนั่งขำไปเป็นเรื่องเป็นราว
... ก็เป็นธรรมดาล่ะครับ ตอนขาไปเราจะมีความรู้สึกว่าการเดินทางมันช่างนานอะไรเสียเช่นนี้ ทั้งที่พยายามดูหนังฟังเพลง นอนหลับไปบ้าง นั่งคุยกันบ้าง สักพักก็กินอาหารทำนู่นทำนี่ แต่ยังไงก็ตามมันก็ยังไม่ถึงเสียที แถมการเดินทางในครั้งนี้เราบินย้อนพระอาทิตย์นะครับนั่นก็คือออกจากเมืองไทยตอนเที่ยงครึ่ง แต่พอบินไปเกือบ 10 ชั่วโมงแล้ว พระอาทิตย์ก็ยังไม่ตกสักที มันก็เลยทำให้พวกเราไม่ค่อยได้งีบหลับบนเครื่องสักเท่าไหร่เพราะคิดว่ามันยังเป็นกลางวันอยู่ตลอดเวลา มีอีกอย่างนึงครับที่ผมก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็นกฎ หรือข้อบังคับการบินกันแน่ เพราะไฟลท์ที่ผมไปนั้นเขาไม่ให้เปิดหน้าต่างครับ ก็ตอนแรกแล้วหวังว่าตอนเครื่องบินอยู่ผมตั้งใจจะนั่งดูขี้เมฆไปเรื่อยๆเพื่อฆ่าเวลาสักหน่อย ก็เลยเลือกนั่งริมหน้าต่าง แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ให้เปิดครับ มาเปิดหน้าต่างได้จริงๆอีกทีก็อีกประมาณ 1 ชั่วโมงก่อนถึง ตอนที่เข้าแผ่นดินยุโรปแล้วแถวๆเยอรมันครับ ส่วนในระหว่างการเดินทางก็มีกหลุมอากาศบ้างครับแต่ว่าไม่รุนแรง มันเป็นช่วงรอยต่อของเขตอากาศจากเอเซียเข้ายุโรป มันก็มีสั่นๆบ้างครับแต่โดยรวมแล้วพวกเราโชคดีที่บินไปด้วยความราบลื่นตลอดการเดินทาง
.. ประมาณ10 ชั่วโมงกว่าๆบนเครื่องผ่านไปเข้าเขตน่านฟ้าของเนเธอร์แลนด์แล้ว เครื่องบินก็เริ่มลดระดับลง คราวนี้เริ่มมองเห็นวิวด้านล่างครับ ภาพที่เห็นมันคือแปลงดอกไม้ขนาดใหญ่สุดลูกหูลูกตา มีสีสันมากมายสลับกันไป นี่แหละครับภาพทรงจำแรกของผมที่มีต่อเนเธอร์แลนด์สมกับเป็นดินแดนของทิวลิปจริงๆ จากนั้นไม่นานเราก็ถึงสนามบินสคิปโฮลของอัมเตอร์ดัมส์กันอย่างปลอดภัย ด่านต่อไปก็คือ ตม.ฝั่งขาเข้าแล้วครับ ซึ่งตอนแรกก็หวั่นๆเหมือนกันน่ะครับเพราะภาษาอังกฤษก็ไม่ค่อยแข็งแรง (แต่ดีที่สุดในสามคนที่ไป) เลยต้องทำหน้าที่ไปเป็นด่านหน้าพาพ่อกับแม่ผ่านไปให้ได้ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ติดขัดอะไรครับ ตม.เค้าน่ารักมาก ถามแค่เล็กน้อยว่ามาเยี่ยมญาติเหรอ แล้วพักกี่วัน มาครั้งแรกใช่ไหม .... ขอให้มีความสุขในการมาครั้งนี้น่ะ ส่วนของพ่อกับแม่ก็เอาพาสปอร์ตมาเลยจะได้ปั้มให้ทีเดียว 3 คน สรุปว่าผ่านมาได้ด้วยความเรียบร้อยโดยรวมแล้วตั้งแต่เครื่องลงจอดที่สนามบินจนออกมาข้างนอกได้ใช้เวลาประมาณ 45 นาทีครับ
ชื่อสินค้า:   ยุโรป , Europe , Netherland , เนเธอร์แลนด์
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่