Dangal (2016)
Director : Nitesh Tiwari
เป็นปกติที่เวลาว่างๆ ก็ชอบเข้าไปดูขอมูลหนังใน IMDb แล้วก็ไปสะดุดกับหนังอินเดียเรื่องหนึ่งที่มีคะแนนถึง 8.6 แถมยังเป็นหนังของ Aamir Khan นักแสดงที่เราชอบมากๆ ด้วย และด้วยไม่รู้บังเอิญหรืออย่างไร วันนี้ก็ไล่หาหนังใน Netflix ดู ก็พบว่ามีเรื่องนี้อยู่
Dangal สร้างจากเรื่องจริงของนักกีฬามวยปล้ำหญิงในประเทศอินเดีย เมื่อแชมป์มวยปล้ำระดับประเทศ Mahavir Singh Phogat (Aamir Khan) ผู้ไม่เคยได้รับเหรียญทองให้ประเทศชาติจนต้องตัดสินใจทิ้งความฝันมาทำงาน Office เพื่อเลี้ยงดูปากท้อง โดยตั้งมั่นว่าจะให้ลูกชายในอนาคตสานฝันแทน แต่จนแล้วจนรอดเค้าก็มีเพียงลูกสาวจำนวน 4 คน และนั่นก็ทำให้ความฝันเค้าต้องดับลง จนวันหนัง ลูกสาวคนโตทั้ง 2 คนของเค้า Geeta (Zaira Wasim ตอนเด็ก , Fatima Sana Shaikh ตอนโต) และ Babita (Suhani Bhatnagar ตอนเด็ก , Sanya Malhotra ตอนโต) ได้ฉายแววโดยการทีเรื่องกับเด็กผู้ชาย และเล่นเอาเด็กผู้ชายเหล่านั้นสะบักสะบอม และนั่นเป็นการจุดประกายความฝันของเค้าขึ้นมาได้ใหม่ แต่ฝันครั้งนี้จะไปถึงจุดไหน อุปสรรคจะมากมายแค่ไหน ต้องติดตามใน Dangal เท่านั้นครับ
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เราประทับใจกับหนังอินเดีย เพราะหลายๆ เรื่องที่ Aamir Khan แสดงนำก็ได้สร้างความประทับใจอย่างมาก ทั้ง PK , 3 idiots , Taare Zameen Par หรือแม้แต่หนังระดับครูของ Satyajit Ray ก็สร้างอารมณ์และความรู้สึกอย่างมากมาย การดูหนังเรื่องนี้ก็เลยคิดว่าคงไม่ได้ว้าวมาก เหมือนตอนที่ได้ดูหนังจาก India แรกๆ แต่เปล่าเลย หนังเรื่องนี้กลับทำให้เราประทับใจมากเข้าไปอีก
สิ่งแรกที่ทำให้เราประทับใจคงหนีไม่พ้นความสนุก ที่หนังเรื่องนี้ใส่มาแบบครบรส ทั้งการเล่าเรื่องที่กระชับ มุขตลกที่มาเป็นระยะ ตัวละครเสริมต่างๆ ที่มาสร้างสีสัน การใส่ความดราม่าแบบที่เรารู้สึกว่ามันกำลังดีจัง(และเล่นเอาน้ำตาแตกในตอนจบ) หรือแม้กระทั้งเพลงต่างๆ และฉากเต้นรำแบบหนังอินเดียก็ใส่เข้ามาอย่างมีความหมาย (เราชอบเพลงทุกเพลงเลย มันไพเราะและความหมายดีมาก) และที่สำคัญที่เรามักพบได้ในหนังที่ Aamir Khan แสดงนำมา คือการสะท้อนสังคมและวัฒนธรรมของอินเดีย
ซึ่งหนังเรื่องนี้ก็ได้สะท้อนภาพออกมาได้ชัดเจนที่สุด และแนบเนียนไปกับเรื่องที่เล่าที่สุดเช่นกัน เช่นเรื่องความเชื่อในการทำทุกวิธีทางที่ดูประหลาดเพื่อที่จะได้ลูกชาย และพอไม่ได้เหล่าผู้แนะนำแทนที่จะไม่หยุดเชื่อ ยังจะแถไหลไปและโยนความผิดไปที่วิธีการที่ผิด ซึ่งดูจะสะท้อนภาพของประเทศอินเดียได้เป็นอย่างดี (อาจจะประเทศเราด้วย) รวมถึงเรื่องการเอารัดเอาเปรียบ ไม่สนใจใส่ใจที่จะพัฒนาเรื่องกีฬาของระดับผู้บริหาร ที่เป็นที่มาของการย่ำอยู่กับที่ของประเทศ
และยังมีเรื่องที่ใหญ่ไปกว่านั้น คือเรื่องสิทธิของสตรีในประเทศอินเดีย การเล่าเรื่องการแหวกขนบธรรมเนีม ที่อยู่ดีๆ เอาผู้หญิงมาเล่นมวยปล้ำ ตัดผมสั้น ใส่กางเกงขาสั้น ซึ่งผลที่ได้รับก็คือการนินทา ก่นด่า ไปจนถึงกีดกัน จากคนในหมู่บ้าน เพียงเพราะเป็นความเชื่อในประเทศที่ ผู้หญิงมีค่าเพียงเกิดมา ทำงานบ้าน ทำอาหาร มีลูก เลี้ยงลูก และตายไปโดยไม่มีปากเสียง ซึ่งมันได้สะท้อนภาพความยากลำบากในการลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงในประเทศที่มีความเชื่อและข้อจำกัดแบบนี้ และสะท้อนความมุ่งมั่นและกล้าหาญของทั้งตัวพ่อและลูกได้อย่างชัดเจนและถึงอารมณ์
เนื่องจากหนังถูกสร้างมาจากเรื่องจริง ความยากหนึ่งคือการที่มันอาจจะดูไม่น่าสนใจ หรือน่าเบื่อ สิ่งที่จำเป็นคือการใส่ความเป็นภาพยนตร์เข้าไป ทั้งเรื่องบทที่สนุก และตัวละครต่างๆ ซึ่งเราชอบเรื่องนี้มากตรงที่หนังไม่ทิ้งตัวละครเลย แม้ว่าจะเป็นตัวประกอบเล็กๆ แต่ก็นำมาสร้างสีสันได้เป็นอย่างดี และนักแสดงก็เป็นอีกส่วนสำคัญมาก และแน่นอนว่าคงไม่ต้องมีคำถามอีกแล้วสำหรับ Aamir Khan ที่เล่นได้แบบ โอ้โห โคตรเก่ง ทำไมเล่นถึงขนาดนี้นะ ดูเป็นตาแก่ดุๆ ไปเลย
อีกสิ่งหนึ่งทำให้เราชอบมากของหนังเรื่องนี้คือ การเล่าเรื่อง และการนำเสนอที่ยอดเยี่ยมมากๆ การลำดับภาพที่สวยงามและมีความหมายเช่นฉากเปิดเรื่องที่ตัวเอกกำลังดูการแข่งขัน Olympic และตัดมากับที่ตัวเอกกำลังจะประลองมวยปล้ำใน Office ซึ่งการกระทำของตัวละครตรงกับเสียงพากย์ในทีวี ก็ทำได้แบบเออเจ๋งดีว่ะ และหลายๆ ฉากก็เป็นการใช้ภาพและการลำดับภาพในการเล่าเรื่องแทน
นอกจากนี้หนังยังใช้วิธีให้ตัวละครบุคคลที่ 3 บรรยายเรื่องราวประกอบ ซึ่งทำให้รู้สึกเหมือนว่าภาพที่เราเห็นนี้เป็นเรื่องจริง ที่มีคนมาบอกเล่า อันนี้วิธีการดีมาก
จุดที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลย คือความสำเร็จของหนังเรื่องนี้ในการสร้างอารมณ์ให้คนดูอินตาม หนังปูความเป็นดราม่ามาตั้งแต่ต้นเรื่อง ทำให้คนดูอึดอัดกับการกระทำของพ่อที่มีต่อลูก ทำให้เราพึงพอใจเมื่อลูกเริ่มได้รับชัยชนะ ทำให้เราเป็นกังวลเมื่อลูกได้เติบโตและออกจากบ้านไป ทำให้เราลุ้นแทบไม่หายใจกับ Scene การแข่งมวยปล้ำในแต่ละเกมส์ (ที่หนังเรื่องนี้ทำได้โคตรสวย และโคตรลุ้น การใช้มุมกล้องที่ Close-up และหมุนแบบฉับไวก็สร้างความรู้สึกตื่นเต้นและลุ้นระทึกมาก รวมถึงการทำ Slow ในฉากสำคัญๆ ด้วย คือแบบเล่นจริงปล้ำจริง และมันดูลื่นไหลสวยงามและสนุกอินมากๆ) และสุดท้ายหนังก็มอบความอิ่มเอมใจจนพรั่งพรูเมื่อหนังไปสู่จุดสุดท้ายของเรื่อง
สุดท้ายคงต้องบอกว่าเสียดายมาก ถ้าใครจะมองข้ามเรื่องนี้ไปเพียงเพราะว่าเป็นหนังจากอินเดียที่อาจจะไม่คุ้นเคยนัก เพราะหนังเรื่องนี้ทำหน้าที่ของมันได้อย่างสมบูรณ์มาก และขอรับรอง ,การันตี เลยว่า หากคุณเปิดใจ คุณจะได้สิ่งที่คุ้มค่าอย่างแน่นอน
แนะนำมากๆ ครับ หาดูได้ง่ายๆ ใน Netflix ครับ
#คุปต้าซีเนม่า
ฝากเพจด้วยครับ
https://www.facebook.com/KuptaReview/
[CR] Dangal #คุปต้าซีเนม่า
Director : Nitesh Tiwari
เป็นปกติที่เวลาว่างๆ ก็ชอบเข้าไปดูขอมูลหนังใน IMDb แล้วก็ไปสะดุดกับหนังอินเดียเรื่องหนึ่งที่มีคะแนนถึง 8.6 แถมยังเป็นหนังของ Aamir Khan นักแสดงที่เราชอบมากๆ ด้วย และด้วยไม่รู้บังเอิญหรืออย่างไร วันนี้ก็ไล่หาหนังใน Netflix ดู ก็พบว่ามีเรื่องนี้อยู่
Dangal สร้างจากเรื่องจริงของนักกีฬามวยปล้ำหญิงในประเทศอินเดีย เมื่อแชมป์มวยปล้ำระดับประเทศ Mahavir Singh Phogat (Aamir Khan) ผู้ไม่เคยได้รับเหรียญทองให้ประเทศชาติจนต้องตัดสินใจทิ้งความฝันมาทำงาน Office เพื่อเลี้ยงดูปากท้อง โดยตั้งมั่นว่าจะให้ลูกชายในอนาคตสานฝันแทน แต่จนแล้วจนรอดเค้าก็มีเพียงลูกสาวจำนวน 4 คน และนั่นก็ทำให้ความฝันเค้าต้องดับลง จนวันหนัง ลูกสาวคนโตทั้ง 2 คนของเค้า Geeta (Zaira Wasim ตอนเด็ก , Fatima Sana Shaikh ตอนโต) และ Babita (Suhani Bhatnagar ตอนเด็ก , Sanya Malhotra ตอนโต) ได้ฉายแววโดยการทีเรื่องกับเด็กผู้ชาย และเล่นเอาเด็กผู้ชายเหล่านั้นสะบักสะบอม และนั่นเป็นการจุดประกายความฝันของเค้าขึ้นมาได้ใหม่ แต่ฝันครั้งนี้จะไปถึงจุดไหน อุปสรรคจะมากมายแค่ไหน ต้องติดตามใน Dangal เท่านั้นครับ
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เราประทับใจกับหนังอินเดีย เพราะหลายๆ เรื่องที่ Aamir Khan แสดงนำก็ได้สร้างความประทับใจอย่างมาก ทั้ง PK , 3 idiots , Taare Zameen Par หรือแม้แต่หนังระดับครูของ Satyajit Ray ก็สร้างอารมณ์และความรู้สึกอย่างมากมาย การดูหนังเรื่องนี้ก็เลยคิดว่าคงไม่ได้ว้าวมาก เหมือนตอนที่ได้ดูหนังจาก India แรกๆ แต่เปล่าเลย หนังเรื่องนี้กลับทำให้เราประทับใจมากเข้าไปอีก
สิ่งแรกที่ทำให้เราประทับใจคงหนีไม่พ้นความสนุก ที่หนังเรื่องนี้ใส่มาแบบครบรส ทั้งการเล่าเรื่องที่กระชับ มุขตลกที่มาเป็นระยะ ตัวละครเสริมต่างๆ ที่มาสร้างสีสัน การใส่ความดราม่าแบบที่เรารู้สึกว่ามันกำลังดีจัง(และเล่นเอาน้ำตาแตกในตอนจบ) หรือแม้กระทั้งเพลงต่างๆ และฉากเต้นรำแบบหนังอินเดียก็ใส่เข้ามาอย่างมีความหมาย (เราชอบเพลงทุกเพลงเลย มันไพเราะและความหมายดีมาก) และที่สำคัญที่เรามักพบได้ในหนังที่ Aamir Khan แสดงนำมา คือการสะท้อนสังคมและวัฒนธรรมของอินเดีย
ซึ่งหนังเรื่องนี้ก็ได้สะท้อนภาพออกมาได้ชัดเจนที่สุด และแนบเนียนไปกับเรื่องที่เล่าที่สุดเช่นกัน เช่นเรื่องความเชื่อในการทำทุกวิธีทางที่ดูประหลาดเพื่อที่จะได้ลูกชาย และพอไม่ได้เหล่าผู้แนะนำแทนที่จะไม่หยุดเชื่อ ยังจะแถไหลไปและโยนความผิดไปที่วิธีการที่ผิด ซึ่งดูจะสะท้อนภาพของประเทศอินเดียได้เป็นอย่างดี (อาจจะประเทศเราด้วย) รวมถึงเรื่องการเอารัดเอาเปรียบ ไม่สนใจใส่ใจที่จะพัฒนาเรื่องกีฬาของระดับผู้บริหาร ที่เป็นที่มาของการย่ำอยู่กับที่ของประเทศ
และยังมีเรื่องที่ใหญ่ไปกว่านั้น คือเรื่องสิทธิของสตรีในประเทศอินเดีย การเล่าเรื่องการแหวกขนบธรรมเนีม ที่อยู่ดีๆ เอาผู้หญิงมาเล่นมวยปล้ำ ตัดผมสั้น ใส่กางเกงขาสั้น ซึ่งผลที่ได้รับก็คือการนินทา ก่นด่า ไปจนถึงกีดกัน จากคนในหมู่บ้าน เพียงเพราะเป็นความเชื่อในประเทศที่ ผู้หญิงมีค่าเพียงเกิดมา ทำงานบ้าน ทำอาหาร มีลูก เลี้ยงลูก และตายไปโดยไม่มีปากเสียง ซึ่งมันได้สะท้อนภาพความยากลำบากในการลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงในประเทศที่มีความเชื่อและข้อจำกัดแบบนี้ และสะท้อนความมุ่งมั่นและกล้าหาญของทั้งตัวพ่อและลูกได้อย่างชัดเจนและถึงอารมณ์
เนื่องจากหนังถูกสร้างมาจากเรื่องจริง ความยากหนึ่งคือการที่มันอาจจะดูไม่น่าสนใจ หรือน่าเบื่อ สิ่งที่จำเป็นคือการใส่ความเป็นภาพยนตร์เข้าไป ทั้งเรื่องบทที่สนุก และตัวละครต่างๆ ซึ่งเราชอบเรื่องนี้มากตรงที่หนังไม่ทิ้งตัวละครเลย แม้ว่าจะเป็นตัวประกอบเล็กๆ แต่ก็นำมาสร้างสีสันได้เป็นอย่างดี และนักแสดงก็เป็นอีกส่วนสำคัญมาก และแน่นอนว่าคงไม่ต้องมีคำถามอีกแล้วสำหรับ Aamir Khan ที่เล่นได้แบบ โอ้โห โคตรเก่ง ทำไมเล่นถึงขนาดนี้นะ ดูเป็นตาแก่ดุๆ ไปเลย
อีกสิ่งหนึ่งทำให้เราชอบมากของหนังเรื่องนี้คือ การเล่าเรื่อง และการนำเสนอที่ยอดเยี่ยมมากๆ การลำดับภาพที่สวยงามและมีความหมายเช่นฉากเปิดเรื่องที่ตัวเอกกำลังดูการแข่งขัน Olympic และตัดมากับที่ตัวเอกกำลังจะประลองมวยปล้ำใน Office ซึ่งการกระทำของตัวละครตรงกับเสียงพากย์ในทีวี ก็ทำได้แบบเออเจ๋งดีว่ะ และหลายๆ ฉากก็เป็นการใช้ภาพและการลำดับภาพในการเล่าเรื่องแทน
นอกจากนี้หนังยังใช้วิธีให้ตัวละครบุคคลที่ 3 บรรยายเรื่องราวประกอบ ซึ่งทำให้รู้สึกเหมือนว่าภาพที่เราเห็นนี้เป็นเรื่องจริง ที่มีคนมาบอกเล่า อันนี้วิธีการดีมาก
จุดที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลย คือความสำเร็จของหนังเรื่องนี้ในการสร้างอารมณ์ให้คนดูอินตาม หนังปูความเป็นดราม่ามาตั้งแต่ต้นเรื่อง ทำให้คนดูอึดอัดกับการกระทำของพ่อที่มีต่อลูก ทำให้เราพึงพอใจเมื่อลูกเริ่มได้รับชัยชนะ ทำให้เราเป็นกังวลเมื่อลูกได้เติบโตและออกจากบ้านไป ทำให้เราลุ้นแทบไม่หายใจกับ Scene การแข่งมวยปล้ำในแต่ละเกมส์ (ที่หนังเรื่องนี้ทำได้โคตรสวย และโคตรลุ้น การใช้มุมกล้องที่ Close-up และหมุนแบบฉับไวก็สร้างความรู้สึกตื่นเต้นและลุ้นระทึกมาก รวมถึงการทำ Slow ในฉากสำคัญๆ ด้วย คือแบบเล่นจริงปล้ำจริง และมันดูลื่นไหลสวยงามและสนุกอินมากๆ) และสุดท้ายหนังก็มอบความอิ่มเอมใจจนพรั่งพรูเมื่อหนังไปสู่จุดสุดท้ายของเรื่อง
สุดท้ายคงต้องบอกว่าเสียดายมาก ถ้าใครจะมองข้ามเรื่องนี้ไปเพียงเพราะว่าเป็นหนังจากอินเดียที่อาจจะไม่คุ้นเคยนัก เพราะหนังเรื่องนี้ทำหน้าที่ของมันได้อย่างสมบูรณ์มาก และขอรับรอง ,การันตี เลยว่า หากคุณเปิดใจ คุณจะได้สิ่งที่คุ้มค่าอย่างแน่นอน
แนะนำมากๆ ครับ หาดูได้ง่ายๆ ใน Netflix ครับ
#คุปต้าซีเนม่า
ฝากเพจด้วยครับ
https://www.facebook.com/KuptaReview/