[หนังโรงเรื่องที่ 215] Downsizing - ขึ้นสวย แต่หาทางลงไม่ได้จ้า by ตั๋วหนังมันแพง


[หนังโรงเรื่องที่ 215] Downsizing - ขึ้นสวย แต่หาทางลงไม่ได้จ้า ; (Alexander Payne, 2018)
by ตั๋วหนังมันแพง

คะแนนความชอบ : C+ (จากสเกล D-A)

*มีการสปอยล์เนื้อเรื่องสำคัญเล็กน้อย

เรื่องย่อ: "พอล" (Matt Damon) หนุ่มวัยกลางคนและภรรยา "ออเดรย์" (Kristen Wiig) ที่กำลังประสบปัญหาการเงินเหมือนคู่รักทั่วๆ ไป ได้ตัดสินใจเข้าสู่โครงการ "ลดขนาด" (downsizing) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีล่าสุดของโลกที่หวังจะแก้ปัญหาทรัพยากรขาดแคลนด้วยการลดขนาดของร่างกายมนุษย์ให้เหลือเพียง "5 นิ้ว" โดยแลกกับการทวีคูณทรัพย์สินปัจจุบันให้เป็น 120 เท่า

ทุกๆ อย่างเหมือนจะเป็นไปได้ด้วยดี แต่ติดตรงที่หลังจากพอลผ่านขั้นตอนลดขนาดเรียบร้อยแล้ว เมียแกดันโทรมาบอกว่า "โทดทีนะ เปลี่ยนใจแล้ว" แล้วก็เทตาพอลไปซะอย่างนั้น
.
.

ขอเกริ่นไว้ก่อนว่าจริงๆ แล้วหนังเรื่องนี้ถือเป็นหนังอีกเรื่องหนึ่งที่ผู้เขียนอยากดูมากกกกกกกกกกกกกก ด้วยความที่พล็อตมันแปลกใหม่ ดูสด ไม่เหมือนใคร ทำให้มันดูมีแววมีอนาคตมากๆ และมีความเป็นไปได้มากมายเหลือเกินสำหรับตอนจบของหนังแบบนี้ ... แต่ที่ไหนได้ ความฝันของคนดูหนังอย่างเราต้องพังทลาย กับ "ความออกทะเล" ชนิดที่กู่ไม่กลับ แก้ไม่ได้ ต้องปล่อยมันจมไปกลางทะเลอย่างน่าหงุดหงิดใจยิ่งนัก
.

ก่อนจะพูดถึงข้อเสียก็จะชื่นชมข้อดีก่อน หนังในช่วง 40 นาทีแรกถือว่าโอเคมากๆ ด้วยการนำเสนอที่มาที่ไปของกระบวนการ "ลดขนาด" ตั้งแต่ขั้นตอนการวิจัยไปจนถึงการจำลองสภาพสังคมต่างๆ และวิเคราะห์ความลำบากของคนชุดแรกที่ถูกย่อขนาดไป

จนถึงการอธิบายกระบวนการย่อขนาดที่พระเอกของเราต้องผ่านอย่างละเอียดยิบได้อย่างน่าสนใจ--ไม่น่าเบื่อเลยแม้แต่น้อย เรียกได้ว่าเป็น magical moment ของหนังเลยล่ะที่ตรึงทุกสายตาของคนดูไว้กับความสดใหม่ของพล็อตหนังได้
.

แต่ช่วงเวลาแห่งความฝันก็ต้องจบลงเมื่อตัวละครสาวอดีตนักเรียกร้องสิทธิ์ชาวเวียดนามอย่าง "หง็อค ลัน" (Hong Chau) ปรากฎตัวขึ้นมาพร้อมกับภาษาอังกฤษแบบพัทยา-เอี้ยน (Pattaya-ian) ซึ่งก็คือเป็น broken english ที่ไม่มีไวยากรณ์แบบที่เราคุ้นเคยกันนั่นแหละ ซึ่งก็ต้องยอมรับเลยว่าช่วงเวลาที่ตัวละครนี้ปรากฎตัวขึ้นมาสั้นๆ ในฐานะแม่บ้านของ "ดูชาน" มันก็ตลกดี เป็นเหมือนสีสันในความเป็นคอเมดี้ชวนหยอกล้อ ส่วนตัวก็ยังขำกับหนังได้ไม่มีปัญหาอะไร ... แต่ทำไม! ทำไมกัน! ทำไมต้องพยายามยัดเยียดให้ตัวนี้เป็นนางเอกด้วย?

เชื่อว่าคนอื่นที่ดูก็คงรู้สึกได้ว่ามันเป็นการจับคู่พระนางที่โคตรจะไม่มีเคมี ที่เลวร้ายกว่านั้นคือมันไม่มีจุดร่วมที่แข็งแกร่งพอที่จะโน้มน้าวคนดูให้เชื่อได้จริงๆ ว่า "เออเว้ย มันคงรักกันแล้วแหละ" มันกลายเป็นความสัมพันธ์ที่ฉาบฉวยและดูขัดหูขัดตาเป็นที่สุด พอมาผนวกกับภาษาของตัวละครที่เป็นมากกว่า "ตัวประกอบเรียกเสียงฮา" แล้วมันก็เริ่มไม่โอเคละ ใจคอจะให้คนดูใช้เวลาเป็นชั่วโมงกับฉากแบบนี้จริงเหรอ งงมาก งงที่สุด

.

ส่วนของความสัมพันธ์ว่าป่วงแล้ว เท่านั้นยังไม่พอ หนังยังพยายามที่จะ "พีซี" (Politically Correct) สุดๆ ด้วยการโฮะตัวละครหลากเชื้อชาติเข้าไปในหนังเพื่อเพิ่มความหลากหลาย--แต่วิธีการนำเสนอตัวละครเชื้อชาติอื่นๆ เหล่านั้นมันดันออกมาทุเรศทุรังด้วย stereotype แบบสุดขั้วนี่สิ

ไม่ว่าจะเป็นสาวเวียดนามที่พูดภาษาอังกฤษไม่รู้เรื่อง, คนคิวบาที่เป็นพ่อค้ายาและค้าของเถื่อน และที่เชยระเบิดระเบ้อที่สุดคือชาวเม็กซิกันที่ต้องระเห็ดมาอยู่แบบอดๆ อยากๆที่ชายขอบอันแห้งแล้งด้านนอก "กำแพง" ของแผ่นดินสวรรค์ของคนตัวเล็ก (ทั้งๆ ที่แผ่นดินในกำแพงยังเหลืออีกเพียบด้วยนะ)

คือการเสริมจุดนี้เข้ามาเพื่อเน้นข้อความที่ว่า แม้ตัวจะเล็กลงแล้ว แต่ลำดับชนชั้นปกครอง (hierachy) ก็ยังคงมีอยู่ดี--ยังมีสิ่งที่เรียกว่าคนรวย/คนจนเสมอไม่ว่าสภาวะเราจะเป็นแบบไหน ดังนั้นการปรากฎของอาชีพแม่บ้านในที่ที่ไม่ควรจะมีอาชีพใช้แรงงาน มันก็เป็นการปูพื้นที่ดี และจะดียิ่งกว่านี้หากหนังเลือกที่จะหยิบเอาไปใช้ต่ออย่างถูกต้อง
.

วิธีดำเนินเรื่องในช่วงหลังจนไปถึงตอนจบที่เฮงซวยมากๆ อันนี้ก็รับไม่ได้ อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นว่าหนังปูพื้นอะไรหลายๆ อย่างมาไว้ดีมากจนมันมีความเป็นไปได้มากมายหลายอย่างที่หนังมันจะเป็นได้ อาทิเช่น

1.ใจแวบหนึ่งแอบคิดไว้ว่ามันจะเป็นแบบ The Wolf of Wall Street หรือเปล่านะ? เพราะหนังมันเน้นย้ำไว้ว่าพระเอกใช้ชีวิตจืดชืดและยากจนมาตั้งแต่เล็กจนโต และด้วยอุปนิสัยก็เป็นคนน่าเบื่อ ไม่กล้าทำอะไรที่ฉีกไปจากเดิม ดังนั้นเมื่อตัวละครมันถูกเทไปอยู่ในดินแดนคนตัวเล็กแล้ว การที่ให้พระเอกได้ปลดปล่อยตัวตนเพื่อ "live a life" มันก็ดูใช้ได้เหมือนกัน

2.หรือจะเล่นเรื่องการเมืองหรือสิทธิพลเมืองของคนตัวเล็กก็ได้ เพราะมีฉากหนึ่งในบาร์ที่มีตาลุงขี้เมามาถามพระเอกที่กำลังจะไปย่อขนาดว่า "ถ้าคุณตัวเล็กลงแล้ว สิทธิ์ในการเลือกตั้งหรือสวัสดิการต่างๆ ของคุณควรจะถูกลดลงด้วยหรือเปล่า เพราะคุณบริโภคน้อย ซื้อของน้อย ก็เท่ากับว่าคุณมีส่วนร่วมกับรัฐน้อยกว่าคนตัวโต" ... ซึ่งเอาจริงๆ แล้วนี่เป็นคำถามที่ฉลาดมากซึ่งควรจะถูกเอาไปขยายต่อได้อีกมากมาย

3.หรือจะเล่นแบบเซอเรียลด้วยการเกิดภัยพิบัติธรรมชาติบนโลกไปเลยก็ได้ แล้วพระเอกก็ต้องเอาตัวรอดจากความวายป่วงด้วยร่างกายเล็กจิ๋วนี่แหละ เอาจริงๆ ถ้าทำแบบนั้นมันก็ยังโอเคนะ เพราะหนังมันเปิดช่องให้ความแฟนตาซีในตัวเองอยู่แล้ว

สรุปคืออะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ตอนจบแบบนี้
.

โดยส่วนตัวผู้เขียนคิดว่าคนเขียนบทคงปูทุกอย่างมาสวยงามและกว้างเกินไปจนทำให้เกิดอาการ "ขึ้นสวย แต่หาทางลงไม่เจอ" ขึ้นมาซะอย่างนั้น แล้วก็ไม่รู้จะให้หนังไปในทิศทางไหนดี เลยตัดบทด้วยการใส่โรมานซ์เพี้ยนๆ กับแนวคิด "ทำวันนี้ให้ดีที่สุด" เข้ามาตีกินแบบงงๆ ซะอย่างนั้น ซึ่งถามว่ามันผิดเหรอที่จบแบบนี้ มันก็ไม่ผิด ถ้าหนังไม่ได้พยายามปั้นให้ตัวเองเป็นอย่างอื่นมาตั้งแต่ต้นเรื่องล่ะก็นะ
.

ต้องขอบคุณตัวละคร "ดูชาน" (Christoph Waltz) ที่เป็นเหมือนดวงจันทร์อันแสนสว่างท่ามกลางค่ำคืนอันมืดมิด คือโมเม้นต์ที่ฮาก็ฮาได้เพราะลุงจริงๆ การแสดงออกทางสีหน้าคือชั้นหนึ่งมากๆ ไร้ที่ติจริงๆ กับบทบาทเสริมอันนี้

นี่ก็คิดอยู่ว่าหนังจะกร่อยขนาดไหนนะถ้าปล่อยให้ "แมตต์ เดมอน" แบกหนังอยู่คนเดียว คือไม่ใช่ว่าแกเล่นหนังไม่ดีนะ แต่มันเป็น "หนุ่มจืดโมเดล" ที่มากเกินไป อะไรๆ ที่เกี่ยวข้องกับแกมันจืดไปหมดเลย เสน่ห์ของตัวละครก็ไม่ชัดเจน นี่ถ้าเจือจางกว่านี้อีกนิดก็คงล่องหนไปแล้วล่ะ ปัดโธ่
.
.

ท้ายที่สุดนี้ก็ขอกล่าวไว้อีกครั้งว่านี่เป็นเพียงทัศนะส่วนตัวของผู้เขียนเท่านั้นนะครับ ความบันเทิงของแต่ละคนไม่เท่ากัน ความคาดหวังที่มีต่อสื่อภาพยนตร์ของแต่ละคนก็ไม่เท่ากัน ดังนั้นอย่ามัวทะเลาะกันเพียงเพราะความเห็นไม่ตรงกันเลยครับ เสียเวลา (หัวเราะ)

ป.ล. ฉากเปิดว็อดก้าในตัวอย่างหายไป

ใครที่ดูหนังมาแล้วอย่าลืมแวะมาพูดคุยกันในได้ใจเพจ "ตั๋วหนังมันแพง" ได้นะครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่