วันนี้ผมมีเรื่องร้องเรียนขอความเป็นธรรมกับธนาคารกสิกรไทย ซึ่งรอคอยคำตอบจากผู้จัดการทีมที่ดูแลมาโดยตลอด จะได้คำตอบกลับมาว่า “แล้วจะดูแลเรื่องให้ ส่งเรื่องให้สำนักใหญ่พิจารณาแล้ว รอคำตอบอยู่” เรื่องมีดังนี้
ผมชื่อนาย สุทิน จันทร์มณฑา เป็นเกษตรกรผู้ประกอบธุรกิจฟาร์มสุกร เลี้ยงสุกรครบวงจร เป็นลูกค้าของกสิกรไทยตั้งแต่ปี 2548 ซึ่งก็ได้รับความไว้วางใจจากกสิกรไทย ภายใต้การดูแลของทีมลูกค้าผู้ประกอบการ 1 นครปฐม (ผู้จัดการอนวัช จั่นสกุล) ในการปล่อยเงินทุนหมุนเวียน และได้รับการดูแลจากกสิกรไทยในการพิจารณาวงเงินตลอดเรื่อยมา ในการขยายกิจการ จากกิจการขนาดเล็กจนพัฒนาเป็นกิจการกขนาดใหญ่ ก่อนหน้านี้เมื่อปลายปี 2554 ผมก็ได้รับการพิจารณาสนับสนุนเครดิตได้วงเงินเพิ่มเป็น 180 ล้านบาท เพื่อนำมาขยายกิจการอีกแห่งหนึ่ง เพิ่มเป็นระบบพ่อแม่พันธ์ครบวงจร ทำให้ต้นทุนต่อรอบต่อปีต่ำลง ทำให้เกิดผลกำไรกลับมา จนทำให้ผมสามารถชำระหนี้วงเงินที่ได้กู้ยืมจากธนาคาร 180 ล้านบาท ได้ภายใน 3 ปี ผมไม่เคยมีประวัติเครดิตเสียต่อธนาคาร หรือจากที่อื่นแม้แต่ครั้งเดียว
จนถึงปี 2558 ผมต้องการขอเพิ่มวงเงินเพื่อก่อสร้างโรงเรือน พ่อพันธุ์-แม่พันธุ์ โรงเรือนสุกรครบวงจรเต็มระบบและโกดังอาหารสัตว์ เพื่อลดต้นทุนการผลิต มีการเก็บสต็อควัตถุดิบตามฤดูกาล เพื่อไว้ใช้ประกอบอาหารสัตว์ในปลายฤดูกาลผลิต ซึ่งมักจะมีราคาสูง โดยได้รับอนุมัติสินเชื่อเงินกู้จำนวน 100 ล้านบาท สำหรับโครงการดังกล่าวและได้จดจำนองหลักประกันในลำดับสอง วงเงินจำนอง 100ล้านบาท พร้อมทั้งจ่ายค่าประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ค่าจดจำนอง และเซ็นสัญญา ตามขั้นตอนของธนาคารเสร็จสิ้นหมด ในวันที่ 23 ธันวาคม 2558
ซึ่งในสัญญาเงินกู้ 100ล้านบาทเบิกเป็นงวดงานก่อสร้างกล่าวคือผมต้องทำการก่อสร้างโรงเรือนต่างๆให้เสร็จตามงวดงานหรือแผนงานก่อน ถึงจะทำการเบิกเงินกู้งวดงานกับธนาคาร ซึ่งในเวลาดังกล่าวผมก็เคยยื่นเรื่องเบิกเงินกู้งวดงานงวดแรกกับธนาคาร แต่ไม่ได้รับการตอบรับ โดยมีข้ออ้างติดเอกสารต่างๆทำให้ในขณะนั้นผมจึงตัดสินใจเอาเงินทุนหมุนเวียนในธุรกิจมาสำรองจ่ายในการก่อสร้างจนเสร็จสมบูรณ์ 100% เพื่อความรวดเร็วในการก่อสร้าง และหวังว่าจะขอเบิกจ่ายเงินกู้ทั้งหมดกับธนาคาร และคืนเงินทุนหมุนเวียนที่ผมเอาออกมาใช้ทั้งหมดทีเดียว
หลังจากนั้นผมได้แจ้งเรื่องขอเบิกเงินกู้การก่อสร้างกับผู้จัดการทีม(คุณอนวัช) ซึ่งทางผู้จัดการได้แจ้งว่าต้องประเมินราคาหลักประกันใหม่มาประกอบการพิจารณาเบิกจ่ายเงินกู้ ผมก็ยินดีและจ่ายค่าประเมินราคาใหม่ และผลสำรวจการประเมินหลักประกันออกมาพบว่า การก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์ 100% แต่เมื่อเทียบกับแบบแปลน การก่อสร้างที่ยื่นกับธนาคารโดยมีขนาดสัดส่วนลดลงจากแบบแปลน 20% ทำให้ผู้จัดการแจ้งว่า ต้องทำเรื่องเสนอต่อบอร์ดพิจารณาในเรื่องเงินกู้ที่อนุมัติไว้เดิม
ต่อมาทางผู้จัดการแจ้งผลออกมาใหม่ คือให้ลดวงเงินสินเชื่อจากเดิมอนุมัติเงินกู้ 100ล้านบาท ลดเหลือ 70ล้านบาท ซึ่งทางผมเองก็ไม่ขัดข้อง ก็ได้เซ็นต์ตอบตกลงลดวงเงิน เหลือ70ล้านบาท กลับไปตั้งแต่เดือน พฤศจิกายน ปี2560 ซึ่งในขณะนั้น ผมก็หวังว่าจะได้เบิกเงินกู้มาทดแทนเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ (ซึ่งธุรกิจกำลังขาดสภาพคล่องอย่างมาก) ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้ตามวงเงิน 100ล้านบาท ที่เคยจำนองไว้ก็ตาม แต่ผมก็รอเรื่อยๆมา และได้สอบถามทางผู้จัดการ ซึ่งได้คำตอบว่า “กำลังดูเรื่องให้ รอสำนักงานใหญ่พิจารณาอยู่” จนสิ้นปี 2560 ผมเองก็ยังไม่ได้รับเงินเบิกงวดต่างๆเลยทำให้ผมได้รับความเดือดร้อนอย่างมาก
หลังจากนั้นประมาณกลางเดือนมกราคม มีผู้บริหารธุรกิจ ชื่อคุณชาติชาย สุวรรณแพง ซึ่งเป็นหัวหน้าของผู้จัดการทีม (คุณอนวัช ) และผู้จัดการทีมก็ได้มาเยี่ยมชมฟาร์ม ของผมและดูสถานประกอบการ รวมทั้งโรงเรือนใหม่ที่สร้างเสร็จทั้งหมด รวมทั้งสุกรขุนที่อยู่เต็มทุกโรงเรือน ผมได้สอบถามเรื่องเบิกเงินกู้ดังกล่าว จากผู้บริหารฯ ก็ได้รับคำตอบเดิมๆ
จนถึงวันนี้ 5 กุมภาพันธ์ 2561 ผมก็ยังไม่ได้เงินกู้มาทดแทนเงินหมุนเวียนแม้แต่บาทเดียว กลับกลายเป็นว่าผมไม่ยอมเบิกงวดงานเองทั้งที่จริง ทางผมเองก็ได้ยื่นแจ้งความจำนงค์ ขอเบิกงวดงานมาโดยตลอด แต่ไม่ได้รับคำตอบ และขอเลื่อนการเบิกจ่ายไปเรื่อยจนครบสัญญา แล้วก็แจ้งกลับมาว่าเกินสัญญา ไม่สามารถเบิกจ่ายงวดงานได้ ต้องทำเรื่องขอขยายสัญญาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ ก็ยังไม่มีคำตอบ หรือกำหนดว่าจะได้เงินกู้ดังกล่าวมาทดแทนเงินทุนหมุนเวียนนั้นเลย
ผมจึงอยากขอความเป็นธรรม กับผู้บริหารธนาคารกสิกรไทย โดยขอถามเป็นข้อดังนี้ว่า ในสิ่งที่ผมเสียหายเสียโอกาส และ ไม่ได้รับความจริงใจในการช่วยเหลือลูกค้า จะมีใครเป็นผู้รับผิดชอบ
1. การที่ธนาคารให้ผมไปจำนองที่ดินวงเงิน 100 ล้านบาท เพื่อประกันหนี้ให้กับธนาคารและในที่สุดผมไม่สามารถเบิกรับเงินกู้ได้ ค่าใช้จ่าย ณ สำนักงานที่ดิน จำนวน 200,000บาท ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ
2. ในการขอวงเงินสินเชื่อแต่ละครั้งนั้น ให้ผมหรือภรรยา ทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อจำนวน 500,000 บาท นั้น และผมได้เซ็นต์คำขอประกัน รวมทั้งได้ชำระเงินไปแล้วนั้น กรมธรรม์นั้นจะคุ้มครองวงเงินสินเชื่ออะไรให้กับผม ในเมื่อผมยังไม่สามารถเบิกเงินกู้ได้เลยแม้แต่บาทเดียว
3. ที่สำคัญ การที่ผมต้องสูญเสียโอกาส (เนื่องจากไม่สามารถเบิกเงินกู้มาหมุนเวียน) ในการประกอบกิจการเพื่อที่จะทำให้มีรายได้กลับมา ตลอดระยะเวลา 2 ปี ใครจะรับผิดชอบ
4. การที่ธนาคารกสิกรไทยนัดลูกค้าให้ไปจำนองที่ดินแล้ว ไม่เบิกจ่ายวงเงินกู้ให้กับลูกค้า แล้วลูกค้าประสบปัญหาขาดเงินทุนหมุนเวียนจนก่อให้เกิดความเสียหายแก่เครดิตทางการค้าของตัวลูกค้า ใครจะรับผิดชอบ ในเมื่อธนาคารโดยผู้จัดการผิดสัญญาต่อลูกค้ามาตลอดระยะเวลา 2 ปี
สรุปที่ผมตั้งกระทู้ไม่ได้มีเจตนาโจมตี หรือให้ธนาคารกสิกรไทยเสียหาย แค่หวังว่าจะมีคำตอบ
และนำเรื่องราวที่ผมได้ประสบปัญหาอยู่ นำไปแก้ไขอย่างเร่งด่วน เพราะว่าทำให้ผมต้องประสบปัญหาขาดเงินทุนหมุนเวียนจนเสี่ยงต่อการทำธุรกิจฟาร์มเสียหายได้
เกษตรกรผู้ถูกมนุษย์เขียวทอดทิ้ง
ผมชื่อนาย สุทิน จันทร์มณฑา เป็นเกษตรกรผู้ประกอบธุรกิจฟาร์มสุกร เลี้ยงสุกรครบวงจร เป็นลูกค้าของกสิกรไทยตั้งแต่ปี 2548 ซึ่งก็ได้รับความไว้วางใจจากกสิกรไทย ภายใต้การดูแลของทีมลูกค้าผู้ประกอบการ 1 นครปฐม (ผู้จัดการอนวัช จั่นสกุล) ในการปล่อยเงินทุนหมุนเวียน และได้รับการดูแลจากกสิกรไทยในการพิจารณาวงเงินตลอดเรื่อยมา ในการขยายกิจการ จากกิจการขนาดเล็กจนพัฒนาเป็นกิจการกขนาดใหญ่ ก่อนหน้านี้เมื่อปลายปี 2554 ผมก็ได้รับการพิจารณาสนับสนุนเครดิตได้วงเงินเพิ่มเป็น 180 ล้านบาท เพื่อนำมาขยายกิจการอีกแห่งหนึ่ง เพิ่มเป็นระบบพ่อแม่พันธ์ครบวงจร ทำให้ต้นทุนต่อรอบต่อปีต่ำลง ทำให้เกิดผลกำไรกลับมา จนทำให้ผมสามารถชำระหนี้วงเงินที่ได้กู้ยืมจากธนาคาร 180 ล้านบาท ได้ภายใน 3 ปี ผมไม่เคยมีประวัติเครดิตเสียต่อธนาคาร หรือจากที่อื่นแม้แต่ครั้งเดียว
จนถึงปี 2558 ผมต้องการขอเพิ่มวงเงินเพื่อก่อสร้างโรงเรือน พ่อพันธุ์-แม่พันธุ์ โรงเรือนสุกรครบวงจรเต็มระบบและโกดังอาหารสัตว์ เพื่อลดต้นทุนการผลิต มีการเก็บสต็อควัตถุดิบตามฤดูกาล เพื่อไว้ใช้ประกอบอาหารสัตว์ในปลายฤดูกาลผลิต ซึ่งมักจะมีราคาสูง โดยได้รับอนุมัติสินเชื่อเงินกู้จำนวน 100 ล้านบาท สำหรับโครงการดังกล่าวและได้จดจำนองหลักประกันในลำดับสอง วงเงินจำนอง 100ล้านบาท พร้อมทั้งจ่ายค่าประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ค่าจดจำนอง และเซ็นสัญญา ตามขั้นตอนของธนาคารเสร็จสิ้นหมด ในวันที่ 23 ธันวาคม 2558
ซึ่งในสัญญาเงินกู้ 100ล้านบาทเบิกเป็นงวดงานก่อสร้างกล่าวคือผมต้องทำการก่อสร้างโรงเรือนต่างๆให้เสร็จตามงวดงานหรือแผนงานก่อน ถึงจะทำการเบิกเงินกู้งวดงานกับธนาคาร ซึ่งในเวลาดังกล่าวผมก็เคยยื่นเรื่องเบิกเงินกู้งวดงานงวดแรกกับธนาคาร แต่ไม่ได้รับการตอบรับ โดยมีข้ออ้างติดเอกสารต่างๆทำให้ในขณะนั้นผมจึงตัดสินใจเอาเงินทุนหมุนเวียนในธุรกิจมาสำรองจ่ายในการก่อสร้างจนเสร็จสมบูรณ์ 100% เพื่อความรวดเร็วในการก่อสร้าง และหวังว่าจะขอเบิกจ่ายเงินกู้ทั้งหมดกับธนาคาร และคืนเงินทุนหมุนเวียนที่ผมเอาออกมาใช้ทั้งหมดทีเดียว
หลังจากนั้นผมได้แจ้งเรื่องขอเบิกเงินกู้การก่อสร้างกับผู้จัดการทีม(คุณอนวัช) ซึ่งทางผู้จัดการได้แจ้งว่าต้องประเมินราคาหลักประกันใหม่มาประกอบการพิจารณาเบิกจ่ายเงินกู้ ผมก็ยินดีและจ่ายค่าประเมินราคาใหม่ และผลสำรวจการประเมินหลักประกันออกมาพบว่า การก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์ 100% แต่เมื่อเทียบกับแบบแปลน การก่อสร้างที่ยื่นกับธนาคารโดยมีขนาดสัดส่วนลดลงจากแบบแปลน 20% ทำให้ผู้จัดการแจ้งว่า ต้องทำเรื่องเสนอต่อบอร์ดพิจารณาในเรื่องเงินกู้ที่อนุมัติไว้เดิม
ต่อมาทางผู้จัดการแจ้งผลออกมาใหม่ คือให้ลดวงเงินสินเชื่อจากเดิมอนุมัติเงินกู้ 100ล้านบาท ลดเหลือ 70ล้านบาท ซึ่งทางผมเองก็ไม่ขัดข้อง ก็ได้เซ็นต์ตอบตกลงลดวงเงิน เหลือ70ล้านบาท กลับไปตั้งแต่เดือน พฤศจิกายน ปี2560 ซึ่งในขณะนั้น ผมก็หวังว่าจะได้เบิกเงินกู้มาทดแทนเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ (ซึ่งธุรกิจกำลังขาดสภาพคล่องอย่างมาก) ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้ตามวงเงิน 100ล้านบาท ที่เคยจำนองไว้ก็ตาม แต่ผมก็รอเรื่อยๆมา และได้สอบถามทางผู้จัดการ ซึ่งได้คำตอบว่า “กำลังดูเรื่องให้ รอสำนักงานใหญ่พิจารณาอยู่” จนสิ้นปี 2560 ผมเองก็ยังไม่ได้รับเงินเบิกงวดต่างๆเลยทำให้ผมได้รับความเดือดร้อนอย่างมาก
หลังจากนั้นประมาณกลางเดือนมกราคม มีผู้บริหารธุรกิจ ชื่อคุณชาติชาย สุวรรณแพง ซึ่งเป็นหัวหน้าของผู้จัดการทีม (คุณอนวัช ) และผู้จัดการทีมก็ได้มาเยี่ยมชมฟาร์ม ของผมและดูสถานประกอบการ รวมทั้งโรงเรือนใหม่ที่สร้างเสร็จทั้งหมด รวมทั้งสุกรขุนที่อยู่เต็มทุกโรงเรือน ผมได้สอบถามเรื่องเบิกเงินกู้ดังกล่าว จากผู้บริหารฯ ก็ได้รับคำตอบเดิมๆ
จนถึงวันนี้ 5 กุมภาพันธ์ 2561 ผมก็ยังไม่ได้เงินกู้มาทดแทนเงินหมุนเวียนแม้แต่บาทเดียว กลับกลายเป็นว่าผมไม่ยอมเบิกงวดงานเองทั้งที่จริง ทางผมเองก็ได้ยื่นแจ้งความจำนงค์ ขอเบิกงวดงานมาโดยตลอด แต่ไม่ได้รับคำตอบ และขอเลื่อนการเบิกจ่ายไปเรื่อยจนครบสัญญา แล้วก็แจ้งกลับมาว่าเกินสัญญา ไม่สามารถเบิกจ่ายงวดงานได้ ต้องทำเรื่องขอขยายสัญญาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ ก็ยังไม่มีคำตอบ หรือกำหนดว่าจะได้เงินกู้ดังกล่าวมาทดแทนเงินทุนหมุนเวียนนั้นเลย
ผมจึงอยากขอความเป็นธรรม กับผู้บริหารธนาคารกสิกรไทย โดยขอถามเป็นข้อดังนี้ว่า ในสิ่งที่ผมเสียหายเสียโอกาส และ ไม่ได้รับความจริงใจในการช่วยเหลือลูกค้า จะมีใครเป็นผู้รับผิดชอบ
1. การที่ธนาคารให้ผมไปจำนองที่ดินวงเงิน 100 ล้านบาท เพื่อประกันหนี้ให้กับธนาคารและในที่สุดผมไม่สามารถเบิกรับเงินกู้ได้ ค่าใช้จ่าย ณ สำนักงานที่ดิน จำนวน 200,000บาท ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ
2. ในการขอวงเงินสินเชื่อแต่ละครั้งนั้น ให้ผมหรือภรรยา ทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อจำนวน 500,000 บาท นั้น และผมได้เซ็นต์คำขอประกัน รวมทั้งได้ชำระเงินไปแล้วนั้น กรมธรรม์นั้นจะคุ้มครองวงเงินสินเชื่ออะไรให้กับผม ในเมื่อผมยังไม่สามารถเบิกเงินกู้ได้เลยแม้แต่บาทเดียว
3. ที่สำคัญ การที่ผมต้องสูญเสียโอกาส (เนื่องจากไม่สามารถเบิกเงินกู้มาหมุนเวียน) ในการประกอบกิจการเพื่อที่จะทำให้มีรายได้กลับมา ตลอดระยะเวลา 2 ปี ใครจะรับผิดชอบ
4. การที่ธนาคารกสิกรไทยนัดลูกค้าให้ไปจำนองที่ดินแล้ว ไม่เบิกจ่ายวงเงินกู้ให้กับลูกค้า แล้วลูกค้าประสบปัญหาขาดเงินทุนหมุนเวียนจนก่อให้เกิดความเสียหายแก่เครดิตทางการค้าของตัวลูกค้า ใครจะรับผิดชอบ ในเมื่อธนาคารโดยผู้จัดการผิดสัญญาต่อลูกค้ามาตลอดระยะเวลา 2 ปี
สรุปที่ผมตั้งกระทู้ไม่ได้มีเจตนาโจมตี หรือให้ธนาคารกสิกรไทยเสียหาย แค่หวังว่าจะมีคำตอบ
และนำเรื่องราวที่ผมได้ประสบปัญหาอยู่ นำไปแก้ไขอย่างเร่งด่วน เพราะว่าทำให้ผมต้องประสบปัญหาขาดเงินทุนหมุนเวียนจนเสี่ยงต่อการทำธุรกิจฟาร์มเสียหายได้