ตอนที่ 1 ช๊อค
หลังจากตัดสินใจย้ายข้าวของจากสิงคโปร์มายังพนมเปญ ประเทศกัมพูชา เพื่อนบ้านเราเอง ....เราไม่เคยมาพนมเปญจะกระทั้งย้าย ไม่เคยรู้ว่าที่ที่ตัวเองจะมาพักนั้นเป็นยังไง เคยเห็นแต่วีดีโอสั้น ๆ ตอนที่สามีมาดูบ้าน ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อต่อจากคนกัมพูชา
บ้านที่สามีตัดสินใจซื้อนั้นเป็นทาวร์เฮาส์ 3 ชั้น บ้านเราอยู่ชั้น 3 ไม่มีลิฟต์ ชั้น 2 เพื่อนบ้านเป็นคนฝรั่งเศสและกัมพูชา ส่วนชั้น 1 เป็นคนกัมพูชา(เป็นเจ้าของทั้ง 2 ฝั่งซ้ายขวา) และเป็นเจ้าของร้านขายอุปกรณ์ไฟฟ้าทางเข้าตัวตึก ข้อมูลที่เรารู้คือแค่นี้ ไม่เคยเห็นสภาพหน้าตึก ไม่เคยเห็นทางขึ้นตึกว่าเป็นยังไงบ้าง
และแล้วก็มาถึงวันที่ต้องบินมาพนมเปญ ติด ๆ ขัด ๆ ตั้งแต่อยู่ที่สนามบินสิงคโปร์ เนื่องจากสายการบินเปลี่ยนเวลาบินแล้วไม่ได้แจ้งทางอีเมล แต่แจ้งทาง SMS ซึ่งสามีไม่เห็น จากนั้นก็ดีเลย์จนกระทั้งดึก พวกเรา 3คน พ่อแม่ลูกมาถึงราว ๆ 5 ทุ่มกว่าแล้ว สภาพสนามบินด้านในคล้าย ๆ สนามบินตามต่างจังหวัดเล็ก ๆ ของไทย
3 คน มีสัมภาระทั้งสิ้น 9 ชิ้น คือกระเป๋าเดินทาง 3 ใบใหญ่ และ 3 ใบเล็ก พร้อมเป้คนละใบ แท็กซี่ที่ให้บริการในสนามบินมีแต่คันเล็ก ๆ สามีเลยเรียกอูเบอร์ แต่ต้องเดินออกมาขึ้นรถด้านนอก ทุกคนต้องลากกระเป๋าออกมาอย่างทุลักทุเล รวมถึงลูกสาวอายุ 6 ขวบครึ่ง นางก็ต้องช่วยลากกระเป๋าใบเล็กด้วย 1 ใบ พื้นถนนขรุขระ เป็นหลุมเป็นบ่ และก็มืด
พอออกมาด้านนอก ฝุ่นคลุ้งมาก สิ่งที่เห็นคือขยะเป็นกอง ๆ ตุ๊ก ๆ ยังจอดรอลูกค้าอยู่ด้านหน้าสนามบิน แต่รถราวิ่งกันบางตาแล้ว รอสักพักแท็กซี่ก็มา ทุกคนรีบขนของขึ้นรถ มุ่งตรงไปยังที่พัก โดยแผนที่วางไว้คือ เอาของไปเก็บที่บ้านที่เราจะย้ายเข้าไปก่อน จากนั้นก็ไปนอนโรงแรม ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับบ้าน
ใช้เวลาประมาณ 20 นาที ก็มาถึงที่พัก ระหว่างทางสิ่งที่เห็นชัดที่สุดคือ ร้านค้าเรียงรายตามข้างทาง พร้อม ๆ กับกองขยะ ร้านค้าบางส่วนกำลังปิด คนเก็บขยะกำลังคุ้ยเขี่ยหาสิ่งของที่พอจะนำไปขายได้ คิดในใจ....ก็คงเหมือนบ้านเรา
เมื่อรถแท็กซี่วิ่งมาถึงที่พัก ขนสัมภาระทั้งหมดลงมาจากกองไว้บนพื้น สามีก็เดินไปหยิบกุญแจจากโรงแรมตรงข้าม เพราะฝากเพื่อนให้ฝากไว้กับพนักงานโรงแรมอีกที ส่วนเรายังคงยืนเก้ๆกังๆ หันซ้ายแลขวา สำรวจพื้นที่โดยรอบ จากนั้นก็ต้องตกใจกับเสียงประตูอลูมิเนียมที่สามีเปิดดังปั้ง เพราะไปชนกับผนังร้านค้า
นี่คือประตูทางเข้าบ้านเรา สภาพตอนนี้ถือว่าดีกว่าช่วงแรก ๆ เยอะเลย
ในความตกใจเสียง ก็มีความช็อคเกิดขึ้น สภาพที่พอจะมองเห็นในความมืดนั้น คือกองสายไฟ ขดลวด กระสอบใส่ของวางกระจัดกระจายขวางทางเข้า จนเหลือทางเดินเพียงน้อยนิด มอเตอร์ไซน์และจักรยานจอดซ้อนกันไปมา และมีข้าวของเรียงเป็นแนวยาวเข้าไปถึงบันไดทางขึ้นตึก ทางเดินมีแต่ฝุ่น กลิ่นเหม็นอับจนน่าเวียนหัว
ทางเข้าตอนนี้ดีกว่าช่วงแรก ๆ มากๆๆๆ อันนี้คือไฟท์กันไปหลายรอบมาก เจ้าหน้าที่มาไกล่เกลี่ยก็หลายครั้ง ตอนนี้อยู่ระหว่างรอตกลงราคาเพื่อปรับปรุงค่ะ
สามีรีบขนกระเป๋าเข้าไป ขณะที่กำลังขยับกระเป๋าเดินทาง ก็ได้ยินเสียงลูกสาวกรีดร้องด้วยความตกใจ พร้อมตะโกนว่า หนูๆๆๆตัวใหญ่มาก พอแม่หันไปที่กองขยะตรงหน้าก็เจอกับหนู 2 ตัว กำลังเขี่ยถุงขยะอยู่ วัดขนาดคร่าวๆ จากสายตาตัวใหญ่พอ ๆ กับต้นขาลูกสาวเราเลย เมื่อหนูได้ยินสองแม่ลูกโวยวาย พวกมันก็รีบวิ่งหายไปอย่างรวดเร็ว
นี่คือเปิดแฟลซกล้องนะคะ ความจริงคือมืดมาก ช่วงแรก ๆ แทบเดินไม่ได้ เพราะป้าแกเล่นวางขวางทางขึ้นเลย ต้องเอียงตัวขึ้น
ขณะที่สามีต้องเดินเข้าออกหลายรอบ เพื่อขนกระเป๋าเข้าไปในตัวตึก และขนขึ้นไปถึงชั้น 3 เราและลูกยืนเฝ้ากระเป๋าอยู่ชั้นล่างตรงบันได มีแสงไฟสลัวๆ จากเพื่อนบ้าน พอที่จะมองเห็นบันไดทางขึ้นอยู่บ้าง อยู่ ๆ ก็มีหนูอีกตัววิ่งลงมาจากชั้นบน ลูกสาวตกใจพร้อมกระโดดหย่องแหยงไปมา
ป้าชั้นหนึ่งแกเป็นคนบ้าเก็บของ ไม่ใช้แต่เก็บตามบันได เพราะเก็บในบ้านตัวเองไม่ได้แล้ว เพราะมันเต็ม 5555
จากนั้นก็เริ่มมีเสียงงอแง นางโพลงขึ้นมาพร้อมกับน้ำเสียงเหมือนจะร้องไห้ ว่า พวกเราจะอยู่ที่นี่เหรอ???? แม่รีบถามกลับไปว่า ทำไมเหรอค่ะ??? ลูกสาวผายมือไปยังบันไดทางขึ้น แล้วพูดว่า ดูนี่สิ ทั้งมืด ทั้งสกปรก ทางขึ้นก็เป็นแบบนี้ แม่ก็ได้แต่ปลอบใจว่า คืนนี้เราไม่ได้นอนที่นี่ เราจะไปนอนกันที่โรงแรม เราแค่เอาของมาเก็บเฉยๆ ลูกก็ยังถามต่ออีกว่า เราจะอยู่โรงแรมตลอดไปไหม???
แม่เริ่มเป็นกังวลแล้วสิ ว่าลูกจะปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ได้หรือไม่????
คืนนั้นพวกเราพักกันที่โรงแรม....สามีรู้ว่าเราสองแม่ลูกค่อนข้างช๊อคกับสิ่งที่เจอ ฮีพูดเหมือนจะโทษที่เราไม่เคยมาดู ชวนมาก็ไม่มา สุดท้ายกลับไม่ชอบ เราก็ตอบกลับไปว่า ไม่คิดว่าจะพาลูกเมียมาอยู่ในที่แบบนี้ เพราะปกติก็มีแต่ที่ดีๆทั้งนั้น สักพักฮีเลยพูดขึ้นมาว่า ถ้าไม่ชอบหรืออยู่ไม่ได้เราค่อยหาที่พักใหม่ คืนนี้นอนไปก่อน ค่อยตัดสินใจ....แล้วพวกเราก็หลับไปเพราะความเพลีย
ประสบการณ์ชีวิตในพนมเปญ ตอนที่ 1 ช็อค
หลังจากตัดสินใจย้ายข้าวของจากสิงคโปร์มายังพนมเปญ ประเทศกัมพูชา เพื่อนบ้านเราเอง ....เราไม่เคยมาพนมเปญจะกระทั้งย้าย ไม่เคยรู้ว่าที่ที่ตัวเองจะมาพักนั้นเป็นยังไง เคยเห็นแต่วีดีโอสั้น ๆ ตอนที่สามีมาดูบ้าน ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อต่อจากคนกัมพูชา
บ้านที่สามีตัดสินใจซื้อนั้นเป็นทาวร์เฮาส์ 3 ชั้น บ้านเราอยู่ชั้น 3 ไม่มีลิฟต์ ชั้น 2 เพื่อนบ้านเป็นคนฝรั่งเศสและกัมพูชา ส่วนชั้น 1 เป็นคนกัมพูชา(เป็นเจ้าของทั้ง 2 ฝั่งซ้ายขวา) และเป็นเจ้าของร้านขายอุปกรณ์ไฟฟ้าทางเข้าตัวตึก ข้อมูลที่เรารู้คือแค่นี้ ไม่เคยเห็นสภาพหน้าตึก ไม่เคยเห็นทางขึ้นตึกว่าเป็นยังไงบ้าง
และแล้วก็มาถึงวันที่ต้องบินมาพนมเปญ ติด ๆ ขัด ๆ ตั้งแต่อยู่ที่สนามบินสิงคโปร์ เนื่องจากสายการบินเปลี่ยนเวลาบินแล้วไม่ได้แจ้งทางอีเมล แต่แจ้งทาง SMS ซึ่งสามีไม่เห็น จากนั้นก็ดีเลย์จนกระทั้งดึก พวกเรา 3คน พ่อแม่ลูกมาถึงราว ๆ 5 ทุ่มกว่าแล้ว สภาพสนามบินด้านในคล้าย ๆ สนามบินตามต่างจังหวัดเล็ก ๆ ของไทย
3 คน มีสัมภาระทั้งสิ้น 9 ชิ้น คือกระเป๋าเดินทาง 3 ใบใหญ่ และ 3 ใบเล็ก พร้อมเป้คนละใบ แท็กซี่ที่ให้บริการในสนามบินมีแต่คันเล็ก ๆ สามีเลยเรียกอูเบอร์ แต่ต้องเดินออกมาขึ้นรถด้านนอก ทุกคนต้องลากกระเป๋าออกมาอย่างทุลักทุเล รวมถึงลูกสาวอายุ 6 ขวบครึ่ง นางก็ต้องช่วยลากกระเป๋าใบเล็กด้วย 1 ใบ พื้นถนนขรุขระ เป็นหลุมเป็นบ่ และก็มืด
พอออกมาด้านนอก ฝุ่นคลุ้งมาก สิ่งที่เห็นคือขยะเป็นกอง ๆ ตุ๊ก ๆ ยังจอดรอลูกค้าอยู่ด้านหน้าสนามบิน แต่รถราวิ่งกันบางตาแล้ว รอสักพักแท็กซี่ก็มา ทุกคนรีบขนของขึ้นรถ มุ่งตรงไปยังที่พัก โดยแผนที่วางไว้คือ เอาของไปเก็บที่บ้านที่เราจะย้ายเข้าไปก่อน จากนั้นก็ไปนอนโรงแรม ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับบ้าน
ใช้เวลาประมาณ 20 นาที ก็มาถึงที่พัก ระหว่างทางสิ่งที่เห็นชัดที่สุดคือ ร้านค้าเรียงรายตามข้างทาง พร้อม ๆ กับกองขยะ ร้านค้าบางส่วนกำลังปิด คนเก็บขยะกำลังคุ้ยเขี่ยหาสิ่งของที่พอจะนำไปขายได้ คิดในใจ....ก็คงเหมือนบ้านเรา
เมื่อรถแท็กซี่วิ่งมาถึงที่พัก ขนสัมภาระทั้งหมดลงมาจากกองไว้บนพื้น สามีก็เดินไปหยิบกุญแจจากโรงแรมตรงข้าม เพราะฝากเพื่อนให้ฝากไว้กับพนักงานโรงแรมอีกที ส่วนเรายังคงยืนเก้ๆกังๆ หันซ้ายแลขวา สำรวจพื้นที่โดยรอบ จากนั้นก็ต้องตกใจกับเสียงประตูอลูมิเนียมที่สามีเปิดดังปั้ง เพราะไปชนกับผนังร้านค้า
นี่คือประตูทางเข้าบ้านเรา สภาพตอนนี้ถือว่าดีกว่าช่วงแรก ๆ เยอะเลย
ในความตกใจเสียง ก็มีความช็อคเกิดขึ้น สภาพที่พอจะมองเห็นในความมืดนั้น คือกองสายไฟ ขดลวด กระสอบใส่ของวางกระจัดกระจายขวางทางเข้า จนเหลือทางเดินเพียงน้อยนิด มอเตอร์ไซน์และจักรยานจอดซ้อนกันไปมา และมีข้าวของเรียงเป็นแนวยาวเข้าไปถึงบันไดทางขึ้นตึก ทางเดินมีแต่ฝุ่น กลิ่นเหม็นอับจนน่าเวียนหัว
ทางเข้าตอนนี้ดีกว่าช่วงแรก ๆ มากๆๆๆ อันนี้คือไฟท์กันไปหลายรอบมาก เจ้าหน้าที่มาไกล่เกลี่ยก็หลายครั้ง ตอนนี้อยู่ระหว่างรอตกลงราคาเพื่อปรับปรุงค่ะ
สามีรีบขนกระเป๋าเข้าไป ขณะที่กำลังขยับกระเป๋าเดินทาง ก็ได้ยินเสียงลูกสาวกรีดร้องด้วยความตกใจ พร้อมตะโกนว่า หนูๆๆๆตัวใหญ่มาก พอแม่หันไปที่กองขยะตรงหน้าก็เจอกับหนู 2 ตัว กำลังเขี่ยถุงขยะอยู่ วัดขนาดคร่าวๆ จากสายตาตัวใหญ่พอ ๆ กับต้นขาลูกสาวเราเลย เมื่อหนูได้ยินสองแม่ลูกโวยวาย พวกมันก็รีบวิ่งหายไปอย่างรวดเร็ว
นี่คือเปิดแฟลซกล้องนะคะ ความจริงคือมืดมาก ช่วงแรก ๆ แทบเดินไม่ได้ เพราะป้าแกเล่นวางขวางทางขึ้นเลย ต้องเอียงตัวขึ้น
ขณะที่สามีต้องเดินเข้าออกหลายรอบ เพื่อขนกระเป๋าเข้าไปในตัวตึก และขนขึ้นไปถึงชั้น 3 เราและลูกยืนเฝ้ากระเป๋าอยู่ชั้นล่างตรงบันได มีแสงไฟสลัวๆ จากเพื่อนบ้าน พอที่จะมองเห็นบันไดทางขึ้นอยู่บ้าง อยู่ ๆ ก็มีหนูอีกตัววิ่งลงมาจากชั้นบน ลูกสาวตกใจพร้อมกระโดดหย่องแหยงไปมา
ป้าชั้นหนึ่งแกเป็นคนบ้าเก็บของ ไม่ใช้แต่เก็บตามบันได เพราะเก็บในบ้านตัวเองไม่ได้แล้ว เพราะมันเต็ม 5555
จากนั้นก็เริ่มมีเสียงงอแง นางโพลงขึ้นมาพร้อมกับน้ำเสียงเหมือนจะร้องไห้ ว่า พวกเราจะอยู่ที่นี่เหรอ???? แม่รีบถามกลับไปว่า ทำไมเหรอค่ะ??? ลูกสาวผายมือไปยังบันไดทางขึ้น แล้วพูดว่า ดูนี่สิ ทั้งมืด ทั้งสกปรก ทางขึ้นก็เป็นแบบนี้ แม่ก็ได้แต่ปลอบใจว่า คืนนี้เราไม่ได้นอนที่นี่ เราจะไปนอนกันที่โรงแรม เราแค่เอาของมาเก็บเฉยๆ ลูกก็ยังถามต่ออีกว่า เราจะอยู่โรงแรมตลอดไปไหม???
แม่เริ่มเป็นกังวลแล้วสิ ว่าลูกจะปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ได้หรือไม่????
คืนนั้นพวกเราพักกันที่โรงแรม....สามีรู้ว่าเราสองแม่ลูกค่อนข้างช๊อคกับสิ่งที่เจอ ฮีพูดเหมือนจะโทษที่เราไม่เคยมาดู ชวนมาก็ไม่มา สุดท้ายกลับไม่ชอบ เราก็ตอบกลับไปว่า ไม่คิดว่าจะพาลูกเมียมาอยู่ในที่แบบนี้ เพราะปกติก็มีแต่ที่ดีๆทั้งนั้น สักพักฮีเลยพูดขึ้นมาว่า ถ้าไม่ชอบหรืออยู่ไม่ได้เราค่อยหาที่พักใหม่ คืนนี้นอนไปก่อน ค่อยตัดสินใจ....แล้วพวกเราก็หลับไปเพราะความเพลีย