เนื่องจากคงจะมีเนื้อหาที่เป็นเรื่องราวในหนัง ฉะนั้นใครที่ไม่อยากรับรู้ก่อนได้ดู กรุณาอย่าอ่านต่อนะครับ (ถึงแม้หนังจะไม่ได้มีปมเรื่องซ่อนเงื่อนใดๆเลยแม้แต่น้อย☺️)
เนื่องจากนี่คงเหมือนเป็นการคุยกันของคนที่ดูแล้ว ฉะนั้นคงไม่ต้องมีการอ้างอิงเนื้อเรื่องแล้วกันนะครับ
สิ่งที่ผมรักที่สุดในหนังเรื่องนี้ คือความ น้อยแต่มาก เรียบแต่โก้ แต่คงไม่ไฮแฟชั่นโนะ เพราะเครื่องแต่งกายเชยมาก 555 ผมรู้สึกว่าการแสดงที่บทพูดไม่มาก การเคลื่อนไหวไม่มาก แต่ทุกการขยับตัวหรือทุกการแพนกล้อง มันมีความหมายทั้งหมด ซึ่งผมคิดว่าเข้าใจสิ่งที่เค้าสื่อ ยกตัวอย่างเริ่มตั้งแต่ชอตแรกของหนังเลยที่น้องมาเซียอยู่กับelioในห้อง แววตาก็แสดงให้เรารู้ได้ถึงการน้อยใจลึกๆ ว่าทั้งที่มีสาวอยู่ในห้องแต่ความสนใจของelioกลับมีให้กับแขกผู้มาเยือนมากกว่า เหมือนรู้อยู่แก่ใจว่าถึงจะขลุกอยู่ด้วยกันขนาดไหนเธอก็ไม่มีวันเป็นตัวจริงของหนุ่มน้อย
การแสดงของคุณแม่ ที่สังเกตุลูกชายอยู่ตลอดเวลา เป็นการมองที่ห่วงใยและเข้าใจ บางบทความยังมีการถกเถียงกันว่าแม่รู้มั้ย? ผมมีความเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์เลยว่า “แม่รู้” แม่รู้ทุกอย่าง ก่อนที่ตัวหนุ่มน้อยเองจะรู้ตัวเองด้วยซ้ำ
สองคนรักกันตอนไหน? เพราะไม่มีเหตุการณ์ไหนเลยที่จะทำให้รักกันจริงๆจังๆ อย่างเอาตัวไปบังตอนจะโดนยิง บุกป่าเข้าไปช่วยชีวิต หรือสะดุดปากชนกัน 😒 แต่ทำไมสุดท้ายถึงรักกันมากจนบอบช้ำเมื่อต้องจากกัน เคยมั้ยครับเวลาที่เราถูกใจใครซักคน ชื่นชม ศรัทธา แอบมองอยู่ห่างๆ แล้ววันนึงได้รู้ว่าอีกฝั่งก็คิดแบบเดียวกัน เหมือนกับelioที่ขื่มขมความฉลาด ความมั่นใจ ความมีเสน่ห์ของรุ่นพี่ โดยรุ่นพี่ก็ชื่นชมความสดใส ความรอบรู้ ความสามารถทางดนตรี และรูปลักษณ์ของน้องที่งดงามดั่งรูปปั้นกรีก อ้างอิงจากฉากที่oliverหลงใหลความงามของรูปปั้นที่งมขึ้นมาจากทะเล มันท่าเดียวกับที่ลูบไล้ใบหน้าหนุ่มน้อยเลย การได้รับความรักตอบจากคนที่เราหลงรักมันทำให้เราหัวปักหัวปำจริงๆ
ความมึนตึงหลังจากที่ได้ลึกซึ้งกันแล้วครั้งแรกของน้องคืออะไร? บางคนบอกว่ามันคือความสับสนในใจว่า เอ... เราชอบผู้หญิงหรือผู้ชายกันแน่? ไม่รู้ในหนังสือบรรยายว่าอะไรนะครับ แต่จากการแสดงออก ผมคิดว่ามันคือการยั้งใจของelio เพราะไม่ว่าจะตอนต้นคืนที่เริ่มใกล้ชิดกัน ตอนกลางดึกที่ตื่นมานอนคุยกัน ตลอดเวลามันแสดงออกถึงความสุข ความกระหายซึ่งกันและกัน ไม่มีช่วงเวลาไหนเลยที่ไม่ใช้เวลาในการกอดจูบกัน มันคือการตักตวงความโหยหาต่อกันอย่างไม่มีวันเบื่อ เมื่อตื่นขึ้นมาในตอนเช้าก็ยังอยู่ในท่ามกลางความสุขที่เอ่อล้น แต่เนื่องจากน้องเป็นคนคิดเยอะ มีอะไรในหัวมากมาย น้องรู้ดีว่าความสุขอย่างนี้กำลังจะจบลงในอีกไม่กี่วันข้างหน้า เพราะฉะนั้นการพยายามให้ตัวเองไม่มีความสุขไปกว่านี้ การดึงตัวเองให้ไม่จมอยู่ในกองความสุขเพื่อในวันนั้นความเจ็บจะยังเป็นปริมาณที่ตัวพอรับไหว จึงเป็นผลให้น้องมีอาการดึงตัวออกจากการถลำลึก ความอึมครึมของอาการน้องมีมาเรื่อยๆจนถึงฉากพีช ฮอร์โมนและความพลุ่งพล่านของวัยรุ่นก็ทำให้น้องทำอะไรพิเรนๆ ห่ามๆไปบ้างตามประสา แต่เมื่อoliverแสดงความจริงใจว่าไม่รังเกียจ เค้าพร้อมรับทุกสิ่งที่เป็นตัวของน้อง มันยิ่งทำให้ความพยายามในการไม่รักของน้องเหมือนเขื่อนแตก การรักในสิ่งที่รู้ว่ากำลังจะจากไปมันเจ็บปวดเกินกว่าจะกลั้นไว้อีกแล้ว มันถึงเป็นการปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อาย พร้องกับความในใจ i dont want you to leave นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้ผมคิดว่าน้องไม่ได้สับสนเรื่องหญิงชาย ตลอดเวลาช่วงอึมครึมน้องไม่ได้คิดถึงมาเซียเลย จะมาคิดก็ตอนที่มาเซียโผล่หน้ามาทวงแค่นั้น การมีสัมพันธ์กับมาเซีย ผมว่ามันก็ไม่ใช่การหลอกฟันหรือการฝืนใจ มันคือการให้ในสิ่งที่คนที่เรารู้สึกดีด้วย อยากได้มากกว่า เพราะมันเป็นสิ่งที่น้องแค่ “ทำได้”
อีกฉากที่ไม่พูดถึงไม่ได้ คือฉากลา แค่ประโยคที่ธรรมดาเหมือนในชีวตจริงเวลาไปส่งเพื่อนที่ว่า “ไม่ลืมพาสปอร์ตนะ” แต่ในกรณีนี้มันแทนใจ การที่อยากให้มีข้อผิดพลาดอะไรซักอย่างเกิดขึ้น เพียงเพื่อจะอยู่กับความสุขนี้นานขึ้นแม้แค่ หนึ่งวัน หรือหนึ่งชั่วโมง แต่มันก็ไม่เกิดขึ้น การจากลามันรออยู่ตรงหน้าแล้ว ชอตหลังจากการกอดครั้งสุดท้ายจบลง หน้าน้องมันแทนความรู้สึกทั้งหมดที่มี การประคองหน้า ท่าทาง ให้เป็นปกติที่สุด ทั้งที่ในใจมันร้องไห้โฮแบบเด็ก5ขวบอยู่ แค่ชอตนี้ก็อยากจะให้น้องได้ออสการ์แล้ว แล้วยังมาต่อที่ม้านั่ง เข้าใจเลยมันคือการพยามยามทำอารมณ์ให้ไม่ฟูมฟาย ให้ชิวๆ ให้เหมือนวันธรรมดาวันนึง แต่มันไม่ไหว มันไม่ไหวจริงๆ ไม่ไหวแม้จะนั่งรถไฟกลับบ้านตัวคนเดียว เสียงในประโยคที่บอกให้แม่มารับหน่อย ถึงจะเป็นภาษาที่ไม่คุ้นเคย แต่เรารับรู้ได้เลยว่า ข้างในมันแตกสลายไม่เหลือชิ้นดี การแสดงของน้องบนรถแม่มันจริงที่สุด
ฉากคุยกับพ่อไม่ต้องพูดอะไรมาก มันยอดเยียมทั้งพ่อทั้งลูก จนไม่น่าจะมีใครข้องใจ
แล้วฉากรับโทรศัพท์ก็มาทำให้ใจสลายอีกครั้ง ใจสั่นตั้งแต่บอกว่ามีข่าวมาบอกละ คนเราจะตั้งกำแพงกันความเสียใจด้วยการคาดหวังความเสียหายสูงสุดไว้ก่อนอยู่แล้ว เพราะเมื่อความจริงมันไม่เลวร้ายเท่านั้นมันก็จะเหมือนเราได้รับข่าวดี แต่คราวนี้มันไม่น่ะสิ ความเสียหายสูงสุดที่เราออกตัวไว้มันคือความจริง แต่ในเวลานั้นจะทำอะไรได้นอกจากแสดงว่าเราโอเค ทั้งที่ใจแทบจะขาดอยู่ตรงนั้น อาวุธสุดท้ายที่น้องมีคือรหัสลับระหว่างเรา call me by your name แต่มันก็ทำได้เพียงการรำลึกถึงความหลังที่แสนงดงามเท่านั้น ซึ่งสุดท้ายน้องก็ยิ้มรับว่า “ได้แค่นี้ก็พอแล้ว”
end credit ที่มีการกล่าวขวัญถึงว่ากินใจที่สุดตั้งแต่มีมา มันแสดงทุกอารมณ์ในเรื่องไล่มาเลยตั้งแต่ ไม่แน่ใจ รัก หวัง เสียใจ ทำใจ ทำให้เราได้คิดตามน้องผ่านทางแววตามาจนถึงตอนจบก่อนน้องจะหันกลับไปจากการมองกองไฟ ด้วยการมองมาที่กล้องหรือคนดู เหมือนเป็นการบอกว่า “นี่คือความรักของผม แล้วของคุณล่ะ?”
เทียบกับคนรอบตัว ผมอินกับเรื่องนี้มากกว่าคนอื่น อาจจะด้วยรสนิยม นิสัย หรือประสบการณ์ที่ผ่านมา ผมชอบบรรยากาศ เพราะส่วนตัวชอบธรรมชาติมากกว่าเมือง ชอบขี่จักรยานมากกว่าขับรถ ชอบตัวละครelioเพราะชอบอยู่กับตัวเองมากกว่าสังคม เข้าใจoliverเพราะส่วนตัวเป็นคนอยู่ในกฏระเบียบ ศรัทธาตัวละครพ่อแม่เพราะนี่คือพ่อแม่ที่ทุกคนอยากมี กินใจคำสอนของพ่อเพราะนั่นคือความจริงที่เราอาจไม่เคยคิด ชื่นชมผู้กำกับเพราะความreal ในขีวิตจริงก็คงจบลงแบบนี้ คงไม่มีใครหนีตามกันไปทิ้งทุกอย่างในชีวิตเพื่อความรัก เหมือนบทหนังพล็อตเข้มข้นเรื่องอื่นๆ นี่มันคือทิศทางที่เรียบง่ายซึ่งมันคือความจริง แล้วสำหรับคนอื่นๆที่รักหนังเรื่องนี้ เพราะว่ามันมีคุณภาพ หรือเพราะมันตรงกับชีวิตคุณ?
มีใครมั้ยครับ ที่ดู call me by your name แล้วหลงรักจนสลัดไม่ออกจากหัว
เนื่องจากนี่คงเหมือนเป็นการคุยกันของคนที่ดูแล้ว ฉะนั้นคงไม่ต้องมีการอ้างอิงเนื้อเรื่องแล้วกันนะครับ
สิ่งที่ผมรักที่สุดในหนังเรื่องนี้ คือความ น้อยแต่มาก เรียบแต่โก้ แต่คงไม่ไฮแฟชั่นโนะ เพราะเครื่องแต่งกายเชยมาก 555 ผมรู้สึกว่าการแสดงที่บทพูดไม่มาก การเคลื่อนไหวไม่มาก แต่ทุกการขยับตัวหรือทุกการแพนกล้อง มันมีความหมายทั้งหมด ซึ่งผมคิดว่าเข้าใจสิ่งที่เค้าสื่อ ยกตัวอย่างเริ่มตั้งแต่ชอตแรกของหนังเลยที่น้องมาเซียอยู่กับelioในห้อง แววตาก็แสดงให้เรารู้ได้ถึงการน้อยใจลึกๆ ว่าทั้งที่มีสาวอยู่ในห้องแต่ความสนใจของelioกลับมีให้กับแขกผู้มาเยือนมากกว่า เหมือนรู้อยู่แก่ใจว่าถึงจะขลุกอยู่ด้วยกันขนาดไหนเธอก็ไม่มีวันเป็นตัวจริงของหนุ่มน้อย
การแสดงของคุณแม่ ที่สังเกตุลูกชายอยู่ตลอดเวลา เป็นการมองที่ห่วงใยและเข้าใจ บางบทความยังมีการถกเถียงกันว่าแม่รู้มั้ย? ผมมีความเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์เลยว่า “แม่รู้” แม่รู้ทุกอย่าง ก่อนที่ตัวหนุ่มน้อยเองจะรู้ตัวเองด้วยซ้ำ
สองคนรักกันตอนไหน? เพราะไม่มีเหตุการณ์ไหนเลยที่จะทำให้รักกันจริงๆจังๆ อย่างเอาตัวไปบังตอนจะโดนยิง บุกป่าเข้าไปช่วยชีวิต หรือสะดุดปากชนกัน 😒 แต่ทำไมสุดท้ายถึงรักกันมากจนบอบช้ำเมื่อต้องจากกัน เคยมั้ยครับเวลาที่เราถูกใจใครซักคน ชื่นชม ศรัทธา แอบมองอยู่ห่างๆ แล้ววันนึงได้รู้ว่าอีกฝั่งก็คิดแบบเดียวกัน เหมือนกับelioที่ขื่มขมความฉลาด ความมั่นใจ ความมีเสน่ห์ของรุ่นพี่ โดยรุ่นพี่ก็ชื่นชมความสดใส ความรอบรู้ ความสามารถทางดนตรี และรูปลักษณ์ของน้องที่งดงามดั่งรูปปั้นกรีก อ้างอิงจากฉากที่oliverหลงใหลความงามของรูปปั้นที่งมขึ้นมาจากทะเล มันท่าเดียวกับที่ลูบไล้ใบหน้าหนุ่มน้อยเลย การได้รับความรักตอบจากคนที่เราหลงรักมันทำให้เราหัวปักหัวปำจริงๆ
ความมึนตึงหลังจากที่ได้ลึกซึ้งกันแล้วครั้งแรกของน้องคืออะไร? บางคนบอกว่ามันคือความสับสนในใจว่า เอ... เราชอบผู้หญิงหรือผู้ชายกันแน่? ไม่รู้ในหนังสือบรรยายว่าอะไรนะครับ แต่จากการแสดงออก ผมคิดว่ามันคือการยั้งใจของelio เพราะไม่ว่าจะตอนต้นคืนที่เริ่มใกล้ชิดกัน ตอนกลางดึกที่ตื่นมานอนคุยกัน ตลอดเวลามันแสดงออกถึงความสุข ความกระหายซึ่งกันและกัน ไม่มีช่วงเวลาไหนเลยที่ไม่ใช้เวลาในการกอดจูบกัน มันคือการตักตวงความโหยหาต่อกันอย่างไม่มีวันเบื่อ เมื่อตื่นขึ้นมาในตอนเช้าก็ยังอยู่ในท่ามกลางความสุขที่เอ่อล้น แต่เนื่องจากน้องเป็นคนคิดเยอะ มีอะไรในหัวมากมาย น้องรู้ดีว่าความสุขอย่างนี้กำลังจะจบลงในอีกไม่กี่วันข้างหน้า เพราะฉะนั้นการพยายามให้ตัวเองไม่มีความสุขไปกว่านี้ การดึงตัวเองให้ไม่จมอยู่ในกองความสุขเพื่อในวันนั้นความเจ็บจะยังเป็นปริมาณที่ตัวพอรับไหว จึงเป็นผลให้น้องมีอาการดึงตัวออกจากการถลำลึก ความอึมครึมของอาการน้องมีมาเรื่อยๆจนถึงฉากพีช ฮอร์โมนและความพลุ่งพล่านของวัยรุ่นก็ทำให้น้องทำอะไรพิเรนๆ ห่ามๆไปบ้างตามประสา แต่เมื่อoliverแสดงความจริงใจว่าไม่รังเกียจ เค้าพร้อมรับทุกสิ่งที่เป็นตัวของน้อง มันยิ่งทำให้ความพยายามในการไม่รักของน้องเหมือนเขื่อนแตก การรักในสิ่งที่รู้ว่ากำลังจะจากไปมันเจ็บปวดเกินกว่าจะกลั้นไว้อีกแล้ว มันถึงเป็นการปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อาย พร้องกับความในใจ i dont want you to leave นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้ผมคิดว่าน้องไม่ได้สับสนเรื่องหญิงชาย ตลอดเวลาช่วงอึมครึมน้องไม่ได้คิดถึงมาเซียเลย จะมาคิดก็ตอนที่มาเซียโผล่หน้ามาทวงแค่นั้น การมีสัมพันธ์กับมาเซีย ผมว่ามันก็ไม่ใช่การหลอกฟันหรือการฝืนใจ มันคือการให้ในสิ่งที่คนที่เรารู้สึกดีด้วย อยากได้มากกว่า เพราะมันเป็นสิ่งที่น้องแค่ “ทำได้”
อีกฉากที่ไม่พูดถึงไม่ได้ คือฉากลา แค่ประโยคที่ธรรมดาเหมือนในชีวตจริงเวลาไปส่งเพื่อนที่ว่า “ไม่ลืมพาสปอร์ตนะ” แต่ในกรณีนี้มันแทนใจ การที่อยากให้มีข้อผิดพลาดอะไรซักอย่างเกิดขึ้น เพียงเพื่อจะอยู่กับความสุขนี้นานขึ้นแม้แค่ หนึ่งวัน หรือหนึ่งชั่วโมง แต่มันก็ไม่เกิดขึ้น การจากลามันรออยู่ตรงหน้าแล้ว ชอตหลังจากการกอดครั้งสุดท้ายจบลง หน้าน้องมันแทนความรู้สึกทั้งหมดที่มี การประคองหน้า ท่าทาง ให้เป็นปกติที่สุด ทั้งที่ในใจมันร้องไห้โฮแบบเด็ก5ขวบอยู่ แค่ชอตนี้ก็อยากจะให้น้องได้ออสการ์แล้ว แล้วยังมาต่อที่ม้านั่ง เข้าใจเลยมันคือการพยามยามทำอารมณ์ให้ไม่ฟูมฟาย ให้ชิวๆ ให้เหมือนวันธรรมดาวันนึง แต่มันไม่ไหว มันไม่ไหวจริงๆ ไม่ไหวแม้จะนั่งรถไฟกลับบ้านตัวคนเดียว เสียงในประโยคที่บอกให้แม่มารับหน่อย ถึงจะเป็นภาษาที่ไม่คุ้นเคย แต่เรารับรู้ได้เลยว่า ข้างในมันแตกสลายไม่เหลือชิ้นดี การแสดงของน้องบนรถแม่มันจริงที่สุด
ฉากคุยกับพ่อไม่ต้องพูดอะไรมาก มันยอดเยียมทั้งพ่อทั้งลูก จนไม่น่าจะมีใครข้องใจ
แล้วฉากรับโทรศัพท์ก็มาทำให้ใจสลายอีกครั้ง ใจสั่นตั้งแต่บอกว่ามีข่าวมาบอกละ คนเราจะตั้งกำแพงกันความเสียใจด้วยการคาดหวังความเสียหายสูงสุดไว้ก่อนอยู่แล้ว เพราะเมื่อความจริงมันไม่เลวร้ายเท่านั้นมันก็จะเหมือนเราได้รับข่าวดี แต่คราวนี้มันไม่น่ะสิ ความเสียหายสูงสุดที่เราออกตัวไว้มันคือความจริง แต่ในเวลานั้นจะทำอะไรได้นอกจากแสดงว่าเราโอเค ทั้งที่ใจแทบจะขาดอยู่ตรงนั้น อาวุธสุดท้ายที่น้องมีคือรหัสลับระหว่างเรา call me by your name แต่มันก็ทำได้เพียงการรำลึกถึงความหลังที่แสนงดงามเท่านั้น ซึ่งสุดท้ายน้องก็ยิ้มรับว่า “ได้แค่นี้ก็พอแล้ว”
end credit ที่มีการกล่าวขวัญถึงว่ากินใจที่สุดตั้งแต่มีมา มันแสดงทุกอารมณ์ในเรื่องไล่มาเลยตั้งแต่ ไม่แน่ใจ รัก หวัง เสียใจ ทำใจ ทำให้เราได้คิดตามน้องผ่านทางแววตามาจนถึงตอนจบก่อนน้องจะหันกลับไปจากการมองกองไฟ ด้วยการมองมาที่กล้องหรือคนดู เหมือนเป็นการบอกว่า “นี่คือความรักของผม แล้วของคุณล่ะ?”
เทียบกับคนรอบตัว ผมอินกับเรื่องนี้มากกว่าคนอื่น อาจจะด้วยรสนิยม นิสัย หรือประสบการณ์ที่ผ่านมา ผมชอบบรรยากาศ เพราะส่วนตัวชอบธรรมชาติมากกว่าเมือง ชอบขี่จักรยานมากกว่าขับรถ ชอบตัวละครelioเพราะชอบอยู่กับตัวเองมากกว่าสังคม เข้าใจoliverเพราะส่วนตัวเป็นคนอยู่ในกฏระเบียบ ศรัทธาตัวละครพ่อแม่เพราะนี่คือพ่อแม่ที่ทุกคนอยากมี กินใจคำสอนของพ่อเพราะนั่นคือความจริงที่เราอาจไม่เคยคิด ชื่นชมผู้กำกับเพราะความreal ในขีวิตจริงก็คงจบลงแบบนี้ คงไม่มีใครหนีตามกันไปทิ้งทุกอย่างในชีวิตเพื่อความรัก เหมือนบทหนังพล็อตเข้มข้นเรื่องอื่นๆ นี่มันคือทิศทางที่เรียบง่ายซึ่งมันคือความจริง แล้วสำหรับคนอื่นๆที่รักหนังเรื่องนี้ เพราะว่ามันมีคุณภาพ หรือเพราะมันตรงกับชีวิตคุณ?