(ติดตามการเดินทางตอนที่ 2 สู่นากาโน่ ชิบุออนเซ็น ดูลิงหิมะภูเขา ชมเมืองที่คนกินทอง kanazawa และหมู่บ้านมรดกโลก shirakawago จากลิงค์นี้ครับ https://ppantip.com/topic/37360558 )
ก่อนเดินทางก็พยายามหาข้อมูลเส้นทางในญี่ปุ่น ให้เป็นเส้นทางที่ไม่หฤโหดมาก และคุณแม่ เปรี้ยวๆ วัย 50 ต้นๆ สามารถไปได้ โดยมีโจทย์ว่า ต้องเห็นหิมะ เดินทางสะดวก ชิว ไม่ลำบากแต่ไม่น่าเบื่อมาก
ก็พยายามหาข้อมูลจากพันทิพย์นี่แหละ รวมเป็นแผนเที่ยวของเราเอง เผื่อมีผู้สนใจอยากเดินทางตามก็ไม่ว่ากัน
เวลาที่จะไปคือ 16-23 มกราคม 2561, ตอนนั้นกะจะจองเวลาไปดูชิราคาวาโกะ light up วันที่ 21 มกรา (ที่เค้าจะเปิดไฟตอนกลางคืน แต่จากการรีวิวว่าคนเยอะมากในช่วงนั้น ทำให้เราวางแผนไปชิราคาวาโกะวันที่ 22 แทนโดยปริยาย)
รูป shirakawago light up จาก wikipedia
เนื่องจากไหนๆจะไปแถบชิราคาวาโกะ เราจึงวางแผนการเดินทางแบบลูปเดียว ตามนี้นะคร้าบ

17 มค - เครื่องลงนาริตะ ตอน 8 โมงเช้า นั่งรถมาเก็บของโรงแรมก่อน ไปเที่ยวโอไดบะ (เพราะอยากดูกันดั้มยักษ์ อันนี้ตามใจเรา ไม่ได้ตามใจแม่)
18 มค - นั่งรถไฟ 7:00 ไปดูคุณฟูจิ ที่ทะเลสาบคาวากูจิโกะ พักที่นี่ 1 คืน
19 มค- เที่ยวรอบคาวากูจิโกะ นั่งรถไฟ 15:00 กลับโตเกียว
20 มค - แพ็คของใส่กระเป๋าเล็ก เดินทาง 9:00 ไปที่นากาโน่ ชิบุออนเซ็น
21 มค - เที่ยว snow monkey park นั่งรถไฟไปคานาซาว่า
22 มค - นั่งรถบัสไปชิราคาวาโกะ
23 มค - เที่ยวรอบคานาซาว่า กลับโตเกียว
24 มค - จ่ายตลาด Ueno กลับสนามบินนาริตะ
เดินทางไกลขนาดนี้ เลยต้องจอง PASS สักหน่อย การที่จะไปถึง Kanazawa ต้องนั่ง Hokuriku Shinkansen ซึ่งมีเงื่อนไขการใช้ PASS คือ
ถ้าซื้อ JR East Pass ใช้ได้จาก Tokyo ถึง Joetsu-Myoko ถ้านั่งเลยไป Kanazawa ต้องจ่ายเพิ่ม
หรือหากขากลับใช้ JR Kansai Hokuriku Area Pass ก็จะใช้ ได้จาก Kanazawa ถึง Joetsu-Myoko นั่งเลยจากนั้นต้องจ่ายเองเช่นกัน
ผมเลยเลือกซื้อ JR ALL AREA PASS หรือ JR PASS NATION WIDE แบบใช้งาน 7 วัน ที่ใช้ได้กับรถไฟ JR ทั่วญี่ปุ่น ซึ่ง PASS นี้จะให้ซื้อผ่าน Agency ในประเทศไทยเท่านั้น ไปหาซื้อที่ญี่ปุ่น ไม่มีนะครับ ผมเลือกหาจาก google แล้วเจอที่ถูกที่สุดในตอนนั้นประมาณ 8000 บาท (ราคาตามค่าเงิน) จาก Losttripthailand.com ผมใช้ตัดจ่ายผ่านบัตรเครดิต เค้าจะส่งใบจองมาที่บ้านภายใน 3-5 วัน ต้องเก็บใบนี้ดีๆเลยล่ะครับ เพราะต้องเอาใบนี้ไปแลกเป็นตั๋วจริงที่ JR Ticket Counter ที่สนามบินนาริตะ หรือตามสถานีใหญ่ๆ อย่างโตเกียว ก็ได้
เครื่องบิน ANA ออกตอนเช้ามืด 00:30 ของวันที่ 17 มกราคม บินประมาณ 5 ชม แต่เนื่องจากเวลาของญี่ปุ่นเร็วกว่าเรา 2 ชม เมื่อถึงนาริตะก็ 8 โมงเช้ากว่าๆ ช่วงนั้นมี theme starwar เลยมีการเปิดเพลงและเล่นไฟก่อนออกบินเล็กน้อย เหมือนประหนึ่งเรากำลังจะท่องอวกาศ (ANA แอร์น่ารักมากนะครับขอบอก)

ถ่ายรูปบนเครื่องเล่นเล็กน้อยจนฝรั่งหมั่นใส้เลยเก็กท่านี้ใส่

ถึงสนามบินนาริตะ ผ่าน ตม เสร็จเกือบ 10 โมง เราไปแลกตั๋ว JR PASS ที่ JR service center โดยท่านแค่มองหาป้ายทางไปรถไฟ เดินตามป้ายไปเรื่อยๆ ก็จะเห็น shop ป้ายสีแดงๆ ต่อคิวยาวมาก ที่ counter ต้องแสดงพาสปอร์ต แจ้งวันที่จะเปิดใช้ PASS และถ้าท่านอยากจองที่นั่งในรถไฟแบบพิเศษพวก limited train หรือ shinkansen แนะนำให้จองไปเลย จะได้ไม่ต้องต่อแถวซื้อในภายหลังหลายรอบ เพราะบางสถานีคนคิวยาวอย่างที่เห็น
ผมเลือกเปิดใช้ PASS โดยทันที เพราะแค่รถไฟนั่งเข้าเมืองก็หลายเยนแล้ว ไหนๆก็นั่งฟรี ก็เลยนั่งหรูเลยละกัน ผมนั่ง Narita express (NEX) เป็นรถไฟที่เปิดใหม่ วิ่งไปโตเกียว ชินจูกุ ที่นั่งสบายมาก เวลา 40-50 นาที ท่านก็นั่งชมทัศนียภาพไป

ระหว่างที่ดื่มด่ำกับสองข้างทาง ก็ได้ยินเสียงกรน หันมาอีกทีก็มีสภาพอย่างที่เห็น

ผมไป check in ที่ Grid Tokyo Asakusa-bashi แม้ว่าเป็น hostel แต่ก็มีห้อง Private แยกที่มีห้องน้ำในตัว ห้องสะอาด มีร้านกาแฟด้านล่าง เก็บของเสร็จเที่ยงวันพอดี เลยจะหาที่เที่ยวในแนว JR line
ผมเลยนั่งไปเที่ยวเกาะ Odaiba ลงจากสถานี daiba station จากนั้นเดินไปถ่ายรุปกับวิวที่เหมือนยังกับอยู่ New York ยังไงยังงั้น


เกาะโอไดบะนี้ เป็นเกาะเล็กๆ ที่ต่อมามีการถมที่ในทะเลเพื่อให้มีพื้นที่อำนวยความสะดวกต่างๆ เช่นห้าง สถานีโทรทัศน์ ฯลฯ
ึถ้ามาที่นี่ นอกจากเทพีเสรีภาพจำลองแล้ว ก็มีออนเซ็น Monogatari ที่พลาดไม่ได้ แต่เนื่องจากแม่ผมขึ้อาย ผมเลยจำต้องพลาดไป แต่อย่างน้อยก็ได้มาถ่ายรูปที่ Gundam Front และซื้อหุ่นโมเดลกลับบ้านก็ถือว่าคุ้มละ

เราแวะทานอาหารใน Diversity Tokyo Plaza ซึ่งชั้นบนสุด มีการจัดจำหน่าย และแสดงโมเดลกันดั้มอยู่


เมื่อเดินข้ามสะพานเชื่อมไปไม่ไกล จะเป็นห้าง Venus Fort ซึ่งในห้างจะมีท้องฟ้าเทียม คล้ายๆ เวเนเชี่ยน ที่มาเก๊า


นอกจากนั้นในตัวห้างยังมีพิพิธภัณฑ์รถ History Garage ของ Toyota ที่เข้าชมได้ฟรี บนชั้นสองของห้าง ภายในแสดงรถยนตร์แต่ละรุ่น และมีการตกแต่งย้อนยุค เหมือนสมัย 60s 70s



ออกมาจากห้าง Venus Fort ฝนดันตกซะนี่ ผมเลยอดพาแม่ไปดูไฟประดับที่จะเปิดตอนกลางคืน และรีบกลับไปพักเอาแรงที่โรงแรมแทน
18 มค - 8:00 am
ผมออกจากที่พัก โดยแยกเอากระเป๋าเล็กมาเพราะวันนี้เราจะค้างที่คาวากุจิโกะหนึ่งคืน ส่วนสัมภาระอื่นๆก็ฝากไว้ที่ hostel
การนั่งรถไฟไปคาวากุจิโกะ สามารถใช้ JR PASS ขึ้นได้ฟรีจาก Shinjuku ถึงสถานี Otsuki แต่ต้องเสียเงินเพิ่มจากสถานี Otsuki ไป Kawaguchiko
ที่สถานีคาวาฯ จะมี PASS รถบัสให้ซื้อ ซึ้งมีสายการวิ่งต่างกัน 3สาย คือ สายสีแดง เขียว น้ำเงิน ส่วนใหญ่คนจะนิยมไปสายสีแดง เพราะเห็นภูเขาไฟฟูจิชัดที่สุด ผมเองจะเที่ยวสายสีแดงในวันแรกเพราะที่พักตั้งอยู่บนเส้นนี้ และวันถัดมาผมจะไปสายสีเขียวต่อ ดังนั้นผมจึงซื้อ 2 days Ticket สามารถขึ้นลงรถป้ายไหนก็ได้ กี่เที่ยวก็ได้
เส้นทางเดินรถตาม link ด้านล่างคับ
http://bus-th.fujikyu.co.jp/heritage-tour/detail/id/1/
หลังจาก check in และเก็บกระเป๋าแล้ว ผมในรถไปที่จุดชมวิวที่คนมักมาถ่ายรูปมากที่สุดก่อน นั่นคือป้ายรถบัสอันสุดท้าย Kawaguchigo natural living center เพราะเกรงว่าถ้าทัวจีนมาลงตอนสาย คนจะเยอะมากแน่ๆ


ที่นี่มีขายผลิตภัณฑ์จากสตอเบอรี่ขาย ทั้งเค้ก ไอศกรีม Pancake แต่ผลซื้อไอติมชาเขียวมาถ่ายกับฟูจิ อากาศหนาวมากๆ แต่ต้องซื้อเอามาเป็นพรอพถ่ายรูปนั่นเอง

ป้ายถัดมาที่คนเยอะพอกันคือ Kachi-Kachi rope way เดินขึ้นนิดหน่อยก็ถึง cable car โชคดีท้องฟ้าเปิดเลยเห็นฟูจิได้ชัดทีเดียว



ตัวมาสคอร์ดของที่นี่คือทานุกิกับกระต่าย ระหว่างทางเดินขึ้นจะมีเรื่องราวการทะเลาะกันของกระต่ายกับทานุกิบนกำแพง ซึ่งเราอ่านภาษาญี่ปุ่นไม่ออก ใครพอจะรู้เรื่องช่วยมาเล่าให้ฟังหน่อยนะคับ บนจุดชมวิวก็จะมีรุปปั้นทานุกิกับกระต่ายอยู่ด้วย


ระวังเรื่องตารางรถให้ดีนะครับ พอ 5 โมง รถบัสจะเริ่มหมด รวมทั้งร้านอาหารต่างๆก็จะปิด ถ้าเราไม่ได้จองอาหารเย็นกับที่พักอาจจะซวยได้ครับ ร้านอาหารที่เปิดตอนกลางคืนมีแค่ใกล้ๆสถานีรถไฟ kawaguchigo เท่านั้น ผมกับแม่มัวแต่ถ่ายรุปเพลินรู้ตัวอีกทีร้านปิดไฟหมดแล้ว เลยต้องนั่งรถบัสรอบเกือบสุดท้ายออกมาหาอะไรทานที่สถานี แล้วค่อยเรียกรถของโรงแรมมารับ
เดี๋ยวมาต่อนะครับ สำหรับรถบัสสายสีเขียว
[CR] รีวิวทริป ทริปอกตัญญู ลากแม่ไป backpack [Tokyo Odaiba Kawaguchigo Saiko lake]
(ติดตามการเดินทางตอนที่ 2 สู่นากาโน่ ชิบุออนเซ็น ดูลิงหิมะภูเขา ชมเมืองที่คนกินทอง kanazawa และหมู่บ้านมรดกโลก shirakawago จากลิงค์นี้ครับ https://ppantip.com/topic/37360558 )
ก่อนเดินทางก็พยายามหาข้อมูลเส้นทางในญี่ปุ่น ให้เป็นเส้นทางที่ไม่หฤโหดมาก และคุณแม่ เปรี้ยวๆ วัย 50 ต้นๆ สามารถไปได้ โดยมีโจทย์ว่า ต้องเห็นหิมะ เดินทางสะดวก ชิว ไม่ลำบากแต่ไม่น่าเบื่อมาก
ก็พยายามหาข้อมูลจากพันทิพย์นี่แหละ รวมเป็นแผนเที่ยวของเราเอง เผื่อมีผู้สนใจอยากเดินทางตามก็ไม่ว่ากัน
เวลาที่จะไปคือ 16-23 มกราคม 2561, ตอนนั้นกะจะจองเวลาไปดูชิราคาวาโกะ light up วันที่ 21 มกรา (ที่เค้าจะเปิดไฟตอนกลางคืน แต่จากการรีวิวว่าคนเยอะมากในช่วงนั้น ทำให้เราวางแผนไปชิราคาวาโกะวันที่ 22 แทนโดยปริยาย)
เนื่องจากไหนๆจะไปแถบชิราคาวาโกะ เราจึงวางแผนการเดินทางแบบลูปเดียว ตามนี้นะคร้าบ
18 มค - นั่งรถไฟ 7:00 ไปดูคุณฟูจิ ที่ทะเลสาบคาวากูจิโกะ พักที่นี่ 1 คืน
19 มค- เที่ยวรอบคาวากูจิโกะ นั่งรถไฟ 15:00 กลับโตเกียว
20 มค - แพ็คของใส่กระเป๋าเล็ก เดินทาง 9:00 ไปที่นากาโน่ ชิบุออนเซ็น
21 มค - เที่ยว snow monkey park นั่งรถไฟไปคานาซาว่า
22 มค - นั่งรถบัสไปชิราคาวาโกะ
23 มค - เที่ยวรอบคานาซาว่า กลับโตเกียว
24 มค - จ่ายตลาด Ueno กลับสนามบินนาริตะ
เดินทางไกลขนาดนี้ เลยต้องจอง PASS สักหน่อย การที่จะไปถึง Kanazawa ต้องนั่ง Hokuriku Shinkansen ซึ่งมีเงื่อนไขการใช้ PASS คือ
ถ้าซื้อ JR East Pass ใช้ได้จาก Tokyo ถึง Joetsu-Myoko ถ้านั่งเลยไป Kanazawa ต้องจ่ายเพิ่ม
หรือหากขากลับใช้ JR Kansai Hokuriku Area Pass ก็จะใช้ ได้จาก Kanazawa ถึง Joetsu-Myoko นั่งเลยจากนั้นต้องจ่ายเองเช่นกัน
ผมเลยเลือกซื้อ JR ALL AREA PASS หรือ JR PASS NATION WIDE แบบใช้งาน 7 วัน ที่ใช้ได้กับรถไฟ JR ทั่วญี่ปุ่น ซึ่ง PASS นี้จะให้ซื้อผ่าน Agency ในประเทศไทยเท่านั้น ไปหาซื้อที่ญี่ปุ่น ไม่มีนะครับ ผมเลือกหาจาก google แล้วเจอที่ถูกที่สุดในตอนนั้นประมาณ 8000 บาท (ราคาตามค่าเงิน) จาก Losttripthailand.com ผมใช้ตัดจ่ายผ่านบัตรเครดิต เค้าจะส่งใบจองมาที่บ้านภายใน 3-5 วัน ต้องเก็บใบนี้ดีๆเลยล่ะครับ เพราะต้องเอาใบนี้ไปแลกเป็นตั๋วจริงที่ JR Ticket Counter ที่สนามบินนาริตะ หรือตามสถานีใหญ่ๆ อย่างโตเกียว ก็ได้
เครื่องบิน ANA ออกตอนเช้ามืด 00:30 ของวันที่ 17 มกราคม บินประมาณ 5 ชม แต่เนื่องจากเวลาของญี่ปุ่นเร็วกว่าเรา 2 ชม เมื่อถึงนาริตะก็ 8 โมงเช้ากว่าๆ ช่วงนั้นมี theme starwar เลยมีการเปิดเพลงและเล่นไฟก่อนออกบินเล็กน้อย เหมือนประหนึ่งเรากำลังจะท่องอวกาศ (ANA แอร์น่ารักมากนะครับขอบอก)
ถึงสนามบินนาริตะ ผ่าน ตม เสร็จเกือบ 10 โมง เราไปแลกตั๋ว JR PASS ที่ JR service center โดยท่านแค่มองหาป้ายทางไปรถไฟ เดินตามป้ายไปเรื่อยๆ ก็จะเห็น shop ป้ายสีแดงๆ ต่อคิวยาวมาก ที่ counter ต้องแสดงพาสปอร์ต แจ้งวันที่จะเปิดใช้ PASS และถ้าท่านอยากจองที่นั่งในรถไฟแบบพิเศษพวก limited train หรือ shinkansen แนะนำให้จองไปเลย จะได้ไม่ต้องต่อแถวซื้อในภายหลังหลายรอบ เพราะบางสถานีคนคิวยาวอย่างที่เห็น
ผมเลือกเปิดใช้ PASS โดยทันที เพราะแค่รถไฟนั่งเข้าเมืองก็หลายเยนแล้ว ไหนๆก็นั่งฟรี ก็เลยนั่งหรูเลยละกัน ผมนั่ง Narita express (NEX) เป็นรถไฟที่เปิดใหม่ วิ่งไปโตเกียว ชินจูกุ ที่นั่งสบายมาก เวลา 40-50 นาที ท่านก็นั่งชมทัศนียภาพไป
ผมเลยนั่งไปเที่ยวเกาะ Odaiba ลงจากสถานี daiba station จากนั้นเดินไปถ่ายรุปกับวิวที่เหมือนยังกับอยู่ New York ยังไงยังงั้น
ึถ้ามาที่นี่ นอกจากเทพีเสรีภาพจำลองแล้ว ก็มีออนเซ็น Monogatari ที่พลาดไม่ได้ แต่เนื่องจากแม่ผมขึ้อาย ผมเลยจำต้องพลาดไป แต่อย่างน้อยก็ได้มาถ่ายรูปที่ Gundam Front และซื้อหุ่นโมเดลกลับบ้านก็ถือว่าคุ้มละ
ออกมาจากห้าง Venus Fort ฝนดันตกซะนี่ ผมเลยอดพาแม่ไปดูไฟประดับที่จะเปิดตอนกลางคืน และรีบกลับไปพักเอาแรงที่โรงแรมแทน
18 มค - 8:00 am
ผมออกจากที่พัก โดยแยกเอากระเป๋าเล็กมาเพราะวันนี้เราจะค้างที่คาวากุจิโกะหนึ่งคืน ส่วนสัมภาระอื่นๆก็ฝากไว้ที่ hostel
การนั่งรถไฟไปคาวากุจิโกะ สามารถใช้ JR PASS ขึ้นได้ฟรีจาก Shinjuku ถึงสถานี Otsuki แต่ต้องเสียเงินเพิ่มจากสถานี Otsuki ไป Kawaguchiko
ที่สถานีคาวาฯ จะมี PASS รถบัสให้ซื้อ ซึ้งมีสายการวิ่งต่างกัน 3สาย คือ สายสีแดง เขียว น้ำเงิน ส่วนใหญ่คนจะนิยมไปสายสีแดง เพราะเห็นภูเขาไฟฟูจิชัดที่สุด ผมเองจะเที่ยวสายสีแดงในวันแรกเพราะที่พักตั้งอยู่บนเส้นนี้ และวันถัดมาผมจะไปสายสีเขียวต่อ ดังนั้นผมจึงซื้อ 2 days Ticket สามารถขึ้นลงรถป้ายไหนก็ได้ กี่เที่ยวก็ได้
เส้นทางเดินรถตาม link ด้านล่างคับ
http://bus-th.fujikyu.co.jp/heritage-tour/detail/id/1/
หลังจาก check in และเก็บกระเป๋าแล้ว ผมในรถไปที่จุดชมวิวที่คนมักมาถ่ายรูปมากที่สุดก่อน นั่นคือป้ายรถบัสอันสุดท้าย Kawaguchigo natural living center เพราะเกรงว่าถ้าทัวจีนมาลงตอนสาย คนจะเยอะมากแน่ๆ
ที่นี่มีขายผลิตภัณฑ์จากสตอเบอรี่ขาย ทั้งเค้ก ไอศกรีม Pancake แต่ผลซื้อไอติมชาเขียวมาถ่ายกับฟูจิ อากาศหนาวมากๆ แต่ต้องซื้อเอามาเป็นพรอพถ่ายรูปนั่นเอง
ระวังเรื่องตารางรถให้ดีนะครับ พอ 5 โมง รถบัสจะเริ่มหมด รวมทั้งร้านอาหารต่างๆก็จะปิด ถ้าเราไม่ได้จองอาหารเย็นกับที่พักอาจจะซวยได้ครับ ร้านอาหารที่เปิดตอนกลางคืนมีแค่ใกล้ๆสถานีรถไฟ kawaguchigo เท่านั้น ผมกับแม่มัวแต่ถ่ายรุปเพลินรู้ตัวอีกทีร้านปิดไฟหมดแล้ว เลยต้องนั่งรถบัสรอบเกือบสุดท้ายออกมาหาอะไรทานที่สถานี แล้วค่อยเรียกรถของโรงแรมมารับ
เดี๋ยวมาต่อนะครับ สำหรับรถบัสสายสีเขียว