ไม่ได้ดูหนังรัก แล้วรู้สึกดีระดับนี้มานานพอสมควร หากปีนี้ The Shape of Water และ Guillermo del Toro จะฟาดรางวัลสำคัญๆไปในงานออสการ์ก็คงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจแต่อย่างใด
The Shape of Water เป็นเทพนิยายสมัยใหม่ ที่ใช้ฉากหลังในยุค 1960's ห้วงเวลาแห่งสงครามเย็น ระหว่างอเมริกากับรัสเซีย บทหนังถูกเขียนขึ้นใหม่ทั้งหมด โดยมีเรื่องราวการแย่งชิงความเป็นใหญ่ในโลกของสองมหาอำนาจเป็นฉากหลัง แน่นอนว่ามันทำให้คนดูเข้าใจพล็อตได้ไม่ยาก
แต่ด้วยความที่มันไม่ใช่หนังการเมืองระหว่างประเทศ ประเด็นหลักที่ The Shape of Water นำเสนอ คือ เรื่องราวความรักที่เกิดขึ้นระหว่างมนุษย์ และ พรายทะเล แห่งลุ่มนํ้าอเมซอน
ความดีงามทั้งหลายทั้งปวงอยู่ที่บทภาพยนตร์ ที่ใช้ทั้งภาษาภาพยนตร์ และบทสนทนา ที่เลือกใช้ถ้อยคำได้งดงามราววรรณกรรม เกือบๆ 10 นาทีในฉากเปิดเรื่อง ทำให้คนดูได้รู้จักกับตัวละครของ Elisa Esposito (นำแสดงโดย Sally Hawkins) สาวใบ้ที่ทำงานเป็นพนักงานทำความสะอาดในห้อง lab เฉพาะกิจแห่งหนึ่งในเมือง Baltimore ที่อาศัยอยู่ร่วมชายคาเดียวกับ Giles (Richard Jenkins) นักวาดภาพประกอบไส้แห้งที่ชีวิตกำลังลำบาก เพราะการมาถึงของอุตสาหกรรมภาพถ่าย
Elisa มี Zelda (Octavia Spencer) เพื่อนร่วมงานรุ่นพี่ ที่รักและเอ็นดูเธออย่างเสมอต้นเสมอปลาย
สำหรับข้าพเจ้า - ฉากเปิดเรื่องยาวเกือบสิบนาทีของ The Shape of Water ได้ถูกเนรมิตขึ้นอย่างงดงาม ในแบบที่จะเป็นที่จดจำไปอีกนาน ตอนที่ดูอยู่ - จำได้ว่า คิดไปถึงฉากเปิดเรื่องที่คลาสสิคที่สุดเรื่องหนึ่งในชีวิตการดูหนังอย่าง Up (2009) แม้ว่าจะไม่ใช่หนังแนวเดียวกันก็ตาม
เนื้อหาของ The Shape of Water เริ่มต้นจากการมาถึงของพรายทะเลในแคปซูลเหล็กสีเขียวขนาดใหญ่ - หลังจากนั้น บทหนังก็ได้ถ่ายทอดเรื่องราวของ ความเมตตากรุณา ความโดดเดี่ยว สัมผัสและความรู้สึกต่างๆ ที่ค่อยๆพัฒนาเป็นความรัก ออกมาได้อย่างหมดจด ท่ามกลางเรื่องราวตื่นเต้นของการหลบหนี ไล่ล่า ชิงไหวชิงพริบที่เป็น sub plot
มากกว่านั้นคือบทหนังยังแทรกประเด็นของมิตรภาพ นํ้าใจ การแบ่งชนชั้น เหยียดเพศ เหยียดผิว ฯลฯ เข้าไปโดยใช้กลวิธีต่างๆของภาษาภาพยนตร์ได้อย่างแยบคาย
เวลาร่วมๆ 2 ชม.ของหนังเรื่องนี้ไม่ได้ทำให้คนดูรู้สึกเบื่อหน่ายเลย
สิ่งที่ชอบมากที่สุด (โดยส่วนตัว) คือ งาน production design ที่ออกแบบฉาก เครื่องแต่งกาย props ต่างๆในยุค 1960's ได้เฟี้ยวมาก สารภาพเลยนะครับ ว่าหลายต่อหลายครั้ง สายตาข้าพเจ้าจะไปโฟกัสอยู่กับฉาก และข้าวของประกอบฉากที่ทำออกมาได้เนี้ยบมาก เข้ากับห้วงเวลา1960's อย่างน่าชื่นชม
ดนตรีประกอบ เท่มาก เหนือชั้น เข้ากับยุคสมัย และบรรยากาศตามท้องเรื่อง การเลือกเพลงในยุคเก่าๆ มา blend ให้เข้ากับเรื่องราวในบางฉาก ทำได้ถูกจังหวะ และทำออกมาได้เข้าท่ามาก เนียนดีจริงๆ อธิบายไม่ถูก คงต้องไปดูกันเอง
งานด้านภาพก็สวยงามหมดจดไปแทบทุกฉาก ทุกเฟรม ทั้งโทนสี การจัดแสง การวางองค์ประกอบภาพ ทำได้ประณีต พิถีพิถัน นี่เป็นหนังที่ถ่ายทำได้งดงามจริงๆ
เคยได้อ่านมาบ้างว่า Guillermo del Toro เป็นคนทำหนังที่ให้ความสำคัญกับ story board และเรื่องราวของสีสันในภาพยนตร์
del Toro เลือกใช้โทนสีเขียวนํ้าทะเล ในหนังทั้งเรื่อง ทำให้เรานึกถึงทะเลตลอดเวลา ด้วยความรู้สึกเอาใจช่วยตัวละครทั้งสอง โดยที่ตลอดทั้งเรื่อง แทบจะไม่มีฉากไหนเลย ที่ถ่ายทำให้เราเห็นภาพของทะเลสีเขียวอันกว้างใหญ่ไพศาล
ดูแล้วก็อยากดูซํ้า พร้อมกับตั้งคำถามว่า "คิดได้ไงเนี่ย?"
นักแสดงทุกคนทำหน้าที่ได้ดี cast กันมาได้เหมาะสมกับบทบาท แม้ว่าบางแคแรคเตอร์จะมีความเป็นการ์ตูนอยู่บ้าง แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่มองข้ามไปได้ ทราบมาว่า ผู้กำกับฯ Guillermo del Toro เจาะจงเลือก Sally Hawkins มารับบท Elisa โดยตรง และเธอก็ทำหน้าที่ได้ดี มีสิทธิ์ลุ้นรางวัลใหญ่
Richard Jenkins และ Octavia Spencer ที่ก็ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลนักแสดงประกอบ ก็ทำได้ดีทั้งสองคน
ในชีวิตการดูภาพยนตร์ ข้าพเจ้ามักจะนึกถึงหนังที่เราประทับใจ ที่หากไม่ใช่เรื่องของเนื้อหาที่โดนใจ เหตุผลอย่างอื่น คือ ความงดงาม ลงตัว และ The Shape of Water ก็เป็นหนังอีกเรื่อง ที่สามารถไปถึงจุดนั้น
ฉากที่เป็นที่มาของชื่อเรื่อง The Shape of Water นั้น เล่นเอาข้าพเจ้าปลื้มมากจนนํ้าตาซึม (ไม่บอกนะครับ - ไปดูเอาเอง
ยอดมาก เอาไปเลย 5 ดาว
[CR] The Shape of Water - หมดจด งดงาม ♥
ไม่ได้ดูหนังรัก แล้วรู้สึกดีระดับนี้มานานพอสมควร หากปีนี้ The Shape of Water และ Guillermo del Toro จะฟาดรางวัลสำคัญๆไปในงานออสการ์ก็คงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจแต่อย่างใด
The Shape of Water เป็นเทพนิยายสมัยใหม่ ที่ใช้ฉากหลังในยุค 1960's ห้วงเวลาแห่งสงครามเย็น ระหว่างอเมริกากับรัสเซีย บทหนังถูกเขียนขึ้นใหม่ทั้งหมด โดยมีเรื่องราวการแย่งชิงความเป็นใหญ่ในโลกของสองมหาอำนาจเป็นฉากหลัง แน่นอนว่ามันทำให้คนดูเข้าใจพล็อตได้ไม่ยาก
แต่ด้วยความที่มันไม่ใช่หนังการเมืองระหว่างประเทศ ประเด็นหลักที่ The Shape of Water นำเสนอ คือ เรื่องราวความรักที่เกิดขึ้นระหว่างมนุษย์ และ พรายทะเล แห่งลุ่มนํ้าอเมซอน
ความดีงามทั้งหลายทั้งปวงอยู่ที่บทภาพยนตร์ ที่ใช้ทั้งภาษาภาพยนตร์ และบทสนทนา ที่เลือกใช้ถ้อยคำได้งดงามราววรรณกรรม เกือบๆ 10 นาทีในฉากเปิดเรื่อง ทำให้คนดูได้รู้จักกับตัวละครของ Elisa Esposito (นำแสดงโดย Sally Hawkins) สาวใบ้ที่ทำงานเป็นพนักงานทำความสะอาดในห้อง lab เฉพาะกิจแห่งหนึ่งในเมือง Baltimore ที่อาศัยอยู่ร่วมชายคาเดียวกับ Giles (Richard Jenkins) นักวาดภาพประกอบไส้แห้งที่ชีวิตกำลังลำบาก เพราะการมาถึงของอุตสาหกรรมภาพถ่าย
Elisa มี Zelda (Octavia Spencer) เพื่อนร่วมงานรุ่นพี่ ที่รักและเอ็นดูเธออย่างเสมอต้นเสมอปลาย
สำหรับข้าพเจ้า - ฉากเปิดเรื่องยาวเกือบสิบนาทีของ The Shape of Water ได้ถูกเนรมิตขึ้นอย่างงดงาม ในแบบที่จะเป็นที่จดจำไปอีกนาน ตอนที่ดูอยู่ - จำได้ว่า คิดไปถึงฉากเปิดเรื่องที่คลาสสิคที่สุดเรื่องหนึ่งในชีวิตการดูหนังอย่าง Up (2009) แม้ว่าจะไม่ใช่หนังแนวเดียวกันก็ตาม
เนื้อหาของ The Shape of Water เริ่มต้นจากการมาถึงของพรายทะเลในแคปซูลเหล็กสีเขียวขนาดใหญ่ - หลังจากนั้น บทหนังก็ได้ถ่ายทอดเรื่องราวของ ความเมตตากรุณา ความโดดเดี่ยว สัมผัสและความรู้สึกต่างๆ ที่ค่อยๆพัฒนาเป็นความรัก ออกมาได้อย่างหมดจด ท่ามกลางเรื่องราวตื่นเต้นของการหลบหนี ไล่ล่า ชิงไหวชิงพริบที่เป็น sub plot
มากกว่านั้นคือบทหนังยังแทรกประเด็นของมิตรภาพ นํ้าใจ การแบ่งชนชั้น เหยียดเพศ เหยียดผิว ฯลฯ เข้าไปโดยใช้กลวิธีต่างๆของภาษาภาพยนตร์ได้อย่างแยบคาย
เวลาร่วมๆ 2 ชม.ของหนังเรื่องนี้ไม่ได้ทำให้คนดูรู้สึกเบื่อหน่ายเลย
สิ่งที่ชอบมากที่สุด (โดยส่วนตัว) คือ งาน production design ที่ออกแบบฉาก เครื่องแต่งกาย props ต่างๆในยุค 1960's ได้เฟี้ยวมาก สารภาพเลยนะครับ ว่าหลายต่อหลายครั้ง สายตาข้าพเจ้าจะไปโฟกัสอยู่กับฉาก และข้าวของประกอบฉากที่ทำออกมาได้เนี้ยบมาก เข้ากับห้วงเวลา1960's อย่างน่าชื่นชม
ดนตรีประกอบ เท่มาก เหนือชั้น เข้ากับยุคสมัย และบรรยากาศตามท้องเรื่อง การเลือกเพลงในยุคเก่าๆ มา blend ให้เข้ากับเรื่องราวในบางฉาก ทำได้ถูกจังหวะ และทำออกมาได้เข้าท่ามาก เนียนดีจริงๆ อธิบายไม่ถูก คงต้องไปดูกันเอง
งานด้านภาพก็สวยงามหมดจดไปแทบทุกฉาก ทุกเฟรม ทั้งโทนสี การจัดแสง การวางองค์ประกอบภาพ ทำได้ประณีต พิถีพิถัน นี่เป็นหนังที่ถ่ายทำได้งดงามจริงๆ
เคยได้อ่านมาบ้างว่า Guillermo del Toro เป็นคนทำหนังที่ให้ความสำคัญกับ story board และเรื่องราวของสีสันในภาพยนตร์
del Toro เลือกใช้โทนสีเขียวนํ้าทะเล ในหนังทั้งเรื่อง ทำให้เรานึกถึงทะเลตลอดเวลา ด้วยความรู้สึกเอาใจช่วยตัวละครทั้งสอง โดยที่ตลอดทั้งเรื่อง แทบจะไม่มีฉากไหนเลย ที่ถ่ายทำให้เราเห็นภาพของทะเลสีเขียวอันกว้างใหญ่ไพศาล
ดูแล้วก็อยากดูซํ้า พร้อมกับตั้งคำถามว่า "คิดได้ไงเนี่ย?"
นักแสดงทุกคนทำหน้าที่ได้ดี cast กันมาได้เหมาะสมกับบทบาท แม้ว่าบางแคแรคเตอร์จะมีความเป็นการ์ตูนอยู่บ้าง แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่มองข้ามไปได้ ทราบมาว่า ผู้กำกับฯ Guillermo del Toro เจาะจงเลือก Sally Hawkins มารับบท Elisa โดยตรง และเธอก็ทำหน้าที่ได้ดี มีสิทธิ์ลุ้นรางวัลใหญ่
Richard Jenkins และ Octavia Spencer ที่ก็ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลนักแสดงประกอบ ก็ทำได้ดีทั้งสองคน
ในชีวิตการดูภาพยนตร์ ข้าพเจ้ามักจะนึกถึงหนังที่เราประทับใจ ที่หากไม่ใช่เรื่องของเนื้อหาที่โดนใจ เหตุผลอย่างอื่น คือ ความงดงาม ลงตัว และ The Shape of Water ก็เป็นหนังอีกเรื่อง ที่สามารถไปถึงจุดนั้น
ฉากที่เป็นที่มาของชื่อเรื่อง The Shape of Water นั้น เล่นเอาข้าพเจ้าปลื้มมากจนนํ้าตาซึม (ไม่บอกนะครับ - ไปดูเอาเอง
ยอดมาก เอาไปเลย 5 ดาว