แชร์ประสบการณ์เป็นมะเร็ง(เต้านม)ตั้งแต่ตอนอายุ 24 ปี

สวัสดีค่ะ วันนี้เรามาแชร์ประสบการณ์เป็นมะเร็งตอนอายุ  24 ปี
    ตอนนี้เราเป็นผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่กำลังรับยาเคมีบำบัดอยู่ค่ะ

เริ่มจากเราคลำเจอก้อนเนื้อที่หน้าอกข้างซ้าย พอลองจับอีกข้างแล้วไม่มี กังวลแค่ช่วงแรก ๆ เราเริ่มเจอตั้งแต่ช่วงเดือนสิงหา ปี 59   แต่ก็ชะล่าใจ คิดว่าตัวเองอายุยังน้อย ไม่เป็นไรหรอก อย่างมากก็ก้อนเนื้อไม่ก็ซีสต์ พอช่วงเดือนมีนา ปี 60 เราเริ่มรู้สึกเจ็บ เลยไปตรวจที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง หลังจากทำแมมโมแกรมและอัลตร้าซาวด์ หมอเชื่อว่าเราเป็นมะเร็ง เพราะมีข้อบกชี้จากรูปร่างของก้อนเนื้อและการมีหินปูนเกาะอยู่รอบ ๆ ตัวเรายังไม่คิดว่าตัวเองเป็นโรคมะเร็ง หมอบอกให้เราเจาะชิ้นเนื้อ เราก็ไว้ก่อน ขอไปทำงานก่อน เนื่องจากเราต้องไปทำงานที่ต่างจังหวัดสองอาทิตย์ เพราะเราก็ยังไม่คิดว่าตัวเองเป็นมะเร็งอยู่ดี หลังจากนั้นเราถึงค่อยยอมมาเจาะชิ้นเนื้อตรวจ  ก่อนที่จะเจาะชิ้นเนื้อ คุณหมอก็ได้ทำการอัลตร้าซาวด์อีกรอบ วิธีเจาะคือการนำเข็มแท่งยาว ๆ เจาะไปที่บริเวณก้อนเนื้อตรงหน้าอกของเรา ก่อนเจาะก็ได้มีการฉีดยาชาก่อนค่ะ ตอนเจาะก็ไม่เจ็บนะคะ แต่ยังมีความรู้สึกว่ามีอะไรแทงไปที่เนื้อของเรา


หลังเจาะเสร็จคุณพยาบาลก็มาประคบเย็นให้ค่ะ ตอนที่เจาะหมอก็ยังย้ำอีกว่าเราน่าจะเป็นมะเร็ง แต่ไม่แน่ใจว่าขั้นไหน และไม่แน่ใจว่าลามไปที่ต่อมน้ำเหลืองรึยัง จากนั้นก็รอผล 3 วัน ค่ะ พอชิ้นเนื้อออก ก็ยืนยันมาชัวร์ ๆ ว่าเราเป็นมะเร็งแน่นอน เหลือแค่ว่าขั้นไหน เนื่องจากชิ้นเนื้อเราใหญ่มาก คุณหมอเลยระบุไว้ก่อนว่าเป็นขั้นที่ 3 จากนั้นเราก็ย้ายไปตรวจที่สถาบันมะเร็งค่ะ

ตอนที่ไปตรวจที่สถาบันมะเร็ง เราจะต้องไปตั้งแต่เช้า เพื่อพบคุณหมอก่อน หลังจากนั้นคุณหมอก็จะลิสต์รายการที่เราจะต้องตรวจ บางอย่างอาจจะต้องทำการนัดก่อน เนื่องจากมีคนไข้เยอะมาก เช่น การอัลตร้าซาวด์ช่องท้อง หรือการสแกนกระดูก ส่วนบางอย่างการสามารถรอคิวตรวจได้เลยค่ะ เช่น การตรวจเลือด ปัสสาวะ และการตรวจคลื่นหัวใจ  และเนื่องจากเรามีผลตรวจแมมโมแกรมและอัลตร้าซาวด์เต้านมมาจากโรงพยาบาลเอกชน ตรงนี้ก็ช่วยย่นระยะเวลาในการรอตรวจไปได้อีกค่ะ

แผนการรักษาของคุณหมอที่สถาบันมะเร็งคือ ให้ยาเคมีบำบัดจำนวน 4 ครั้ง ก่อนที่จะทำการผ่าตัด เพื่อที่จะให้ชิ้นเนื้อเล็กลง แล้วคว้านออกเพื่อที่จะได้ไม่ต้องทำการตัดเต้าทิ้งทั้งหมด แล้วจึงค่อยให้ยาเคมีบำบัดอีก 4 ครั้ง แต่หลังจากนั้นเราก็มีเหตุให้ต้องเปลี่ยนไปรักษาที่โรงพยาบาลศิริราชแทน
เราไปพบคุณหมอที่ศิริราชประมาณวันที่ 9 มิถุนายน คุณหมอท่านก็ได้ตรวจดูอาการต่าง  ๆ พร้อมทั้งดูเอกสารผลตรวจร่างกายของเราที่ได้มาจากโรงพยาบาลเอกชนและสถาบันมะเร็งค่ะ จากที่ตรวจเบื้องต้นคุณหมอ ท่านบอกว่าเราเป็นระยะที่ 2 ถึง 3 และมีขนาดชิ้นเนื้อที่ค่อนข้างใหญ่มาก (ขนาด 7.5 ซม.) และการที่จะทราบว่าได้ลามไปต่อมน้ำเหลืองหรือไม่นั้น  จะต้องทำการตรวจขณะที่ผ่าตัด
และจากผลตรวจทั้งหมดที่เรามี จะต้องตรวจอีกอย่างเพิ่มเติม นั้นคือการสแกนกระดูก (Bone scan) ซึ่งที่ศิริราชเราต้องโทรไปนัดคิวก่อน แล้วเค้าจะโทรกลับมาแจ้งว่าเราได้คิววันไหน การสแกนกระดูก เราจะต้องทำการฉีดสีทางเส้นเลือดดำก่อน หลังจากนั้นรออีกประมาณสองชั่วโมงถึงจะเข้าเครื่องสแกน ระหว่างนั้นเราจะต้องทานน้ำเยอะ ๆ เพื่อให้สีที่ฉีดกระจายไปทั่วตัว เพื่อให้ง่ายต่อการถ่ายรูปสแกนกระดูก เครื่องที่สแกนก็จะเป็นคล้าย ๆ อุโมงค์เข้าไป เราต้องเปลี่ยนชุด และขึ้นไปนอนนิ่ง ๆ เพื่อทำการสแกนค่ะ


แผนการรักษาของคุณหมอที่ศิริราชคือ ผ่าออกทั้งเต้าและหากว่าต่อมไปยังต่อมน้ำเหลืองก็ต้องเหลาะต่อมน้ำเหลืองออก หลังจากนั้นก็ให้เคมีบำบัด เบื้องต้นคุณหมอคาดการณ์ไว้ที่ 8 ครั้ง รายละเอียดจะต้องไปคุยกับคุณหมอที่เคมีบำบัดอีกครั้งนึง คุณหมอทำการนัดวันผ่าตัดให้เราเป็นวันที่ 19 มิถุนายน ซึ่งเราแอบตกใจนิดหน่อยว่าเหลืออีกแค่ประมาณสิบวันก็จะต้องเข้ารับการผ่าตัดแล้ว หลังจากที่ออกมาจากห้องตรวจก็ต้องมาติดต่อกับพยาบาลหน้าห้องเพื่อทำการเลือกห้องที่จะเข้าพักรักษาตัว เราเลือกเป็นห้องเดี่ยวพิเศษ ซึ่งทางพยาบาลได้แจ้งว่าก่อนถึงวันที่จะแอดมิท จะมีคนโทรมาแจ้งว่าได้อยู่ตึกไหนและห้องพักราคาเท่าไหร่  เราต้องแอดมิทก่อนวันผ่าตัดหนึ่งวัน  ประมาณวันเสาร์ก่อนที่จะถึงวันผ่า ก็มีทางโรงพยาบาลโทรมาแจ้งรายละเอียดราคาและตึกที่ต้องเข้าพักค่ะ

พอถึงวันที่จะต้องแอดมิท เราก็ต้องไปติดต่อเข้าห้องพัก เราได้พักที่ตึกเฉลิมพระเกียรติชั้น 15 ประจำวอร์ดน่ารักทุกคนเลยค่ะ เราแฮปปี้มาก พยาบาลเข้ามาแนะนำการปฏิบัติตัวหลังผ่าตัด การบริหารแขน (ผู้ที่ผ่าตัดเต้านมทุกคนจะต้องทำการบริหารตั้งแต่หลังผ่าตัดเลย ไม่เช่นนั้นแขนจะยึดจนไม่สามารถใช่งานได้ร้อยเปอร์เซ็น) ไม่มีอาการกลัวการผ่าตัดเลย อาจเพราะมีเวลาเตรียมใจไม่มาก ทั้งยังต้องเตรียมตัวเคลียร์งานทั้งหมดด้วย คืนก่อนวันผ่าตัด เพื่อนเรามาเยี่ยม เรายังสั่งเคเอฟซีมากินกับเพื่อนอยู่เลยค่ะ คืนนั้นพยาบาลเอายานอนหลับมาให้เรากิน แล้วเราก็ต้องทำการงดอาหารและน้ำหลังเที่ยงคืน

วันผ่า ประมาณเจ็ดโมงเช้าก็มีคนมารับที่ห้องเพื่อไปทำการผ่าตัด เราจะถูกเข็นไปนอนที่ห้องรอผ่าตัด ที่ตรงนั้นก็จะมีคนไข้หลาย ๆ เตียงนอนรอการผ่าตัดเช่นเดียวกัน ถึงตอนนี้เราก็ยังไม่กลัวเลยค่ะ มีแต่ความง่วง เราหลับทุกช่วงที่หลับได้ จะมีพยาบาลเดินเข้ามาสอบถามชื่อเป็นพักๆ และการทำการผ่าตัด ก็จะมีการทวนชื่อเราอีกครั้งพร้อมสอบถามว่าเราจะต้องผ่าตัดเต้านมข้างไหน หลังจากนั้นวิสัญญีแพทย์ก็บอกให้เราหายใจเข้าลึก ๆ ประมาณสี่ที หลังจากนั้นเราก็ไม่รู้เรื่องแล้วค่ะ มีรู้ตัวอีกทีตอนที่ได้ยินเสียงเด็กร้องไห้ในห้องพักดูอาการ ถึงตอนนี้เราก็ยังไม่รู้สึกเจ็บเลยค่ะ (ใครที่จะทำการผ่าตัดเต้านมไม่ต้องกลัวเจ็บเลยนะคะสำหรับเราไม่มีช่วงที่เจ็บเลย) จากนั้นก็มีคนมาพาตัวเรากลับไปยังห้องพักฟื้น สิ่งที่ติดตัวเราออกมาจากห้องผ่าตัดก็จะมีสายที่โยงออกมาจากแผลเพื่อระบายน้ำเลือดและน้ำหนองพร้อมทั้งมีขวดสำหรับใส่น้ำเลือดน้ำหนองทั้งหมดสองขวด ซึ่งคุณหมอท่านหนึ่งได้ขู่เราไว้ว่า ถ้าระวังดี ๆ แล้วให้หมอถอดสายให้ก็จะไม่เจ็บตัว แต่ถ้าทำหลุดเองเจ็บตัวแน่นอน เราเลยระวังเป็นอย่างมาก


วันแรก ๆ เรายังต้องให้พยาบาลคอยเช็ดตัวให้ แต่ประมาณวันที่สามเราก็สามารถจัดการตัวเองได้แล้วค่ะ พยาบาลบอกว่าการผ่าตัดเต้านมจะฟื้นตัวเร็วกว่าผู้ที่ผ่าตัดทางหน้าท้องอยู่แล้ว ก่อนออกจากโรงพยาบาลวันนึง คุณหมอก็มาถอดสายระบายน้ำเลือดน้ำหนองออกให้ค่ะ ส่วนเรื่องค่ารักษาพยาบาล ท่านไหนที่มีประกันชีวิตก็สามารถให้ทางโรงพยาบาลเคลมให้ได้เลยค่ะ แล้วเราก็จ่ายแค่ส่วนต่างที่ประกันไม่ครอบคลุม (บัตรประกัน ยื่นให้คุณพยาบาลตั้งแต่วันที่เข้าแอดมิทค่ะ) ค่ารักษาร่วมค่าห้องอยู่ที่ประมาณ 67,000 บาท เราใช้ประกันกลุ่มของบริษัทและประกันชีวิตส่วนตัวยื่น จ่ายค่าส่วนต่างแค่ประมาณ 4,000 กว่าบาท

หลังจากออกจากโรงพยาบาล สำหรับแผลที่คุณหมอทำการผ่าตัดเรานั้น  ไม่ต้องล้างแผลหรือทำอะไรเลย แต่คุณหมอจะนัดมาเปิดแผลประมาณหนึ่งสัปดาห์หลังการผ่าตัด ตอนที่เราเห็นแผลหลังจากที่เปิดครั้งแรก เราถึงกับช็อคไปเลยค่ะ (แต่ก็ต้องทำใจเพราะทำอะไรไม่ได้แล้ว) หลังการผ่าตัดประมาณสามสัปดาห์เราก็ไปพบแพทย์ที่จะให้เคมีบำบัด ตอนนั้นคุณหมอเคมีบำบัดถามเราเกี่ยวกับเรื่องสิทธิ์ประกันสังคมและสิทธิ์บัตรทอง ซึ่งเรามีสิทธิ์ประกันสังคมอยู่ที่โรงพยาบาลหัวเฉียว คุณหมอแจ้งว่าเราต้องส่งชิ้นเนื้อไปตรวจอีกรอบนึง เพื่อดูว่าชิ้นเนื้อเป็นตัวรับแบบไหน ซึ่งหากเป็น HER2 จะต้องใช้ยาตัวแพง ซึ่งยาตัวนี้สามารถใช้ในสิทธิ์ประกันสังคมและบัตรทองได้ ถ้าตรวจแล้วพบว่าจะต้องใช้ยาตัวแพง ก็ให้ไปใช้สิทธิ์เถอะ เพราะค่ายารวมทั้งหมดราคาเป็นล้าน


และแน่นอนค่ะ คนดวงดีอย่างเราก็แจ็คพ็อตแตก ต้องใช้ยาตัวแพง เราด้วยความที่แต้มบุญเรายังเหลือ คุณหมอเคมีบำบัดที่ศิริราช รู้จักกับคุณหมอที่ให้เคมีบำบัดที่หัวเฉียว คุณหมอจึงได้ทำเอกสารข้อมูลการรักษาของเรา รวมถึงเขียนจดหมายมาให้คุณหมอท่านนั้น รวมถึงแจ้งคุณหมอท่านนั้นให้เราไว้ก่อนด้วย


ตอนที่เราย้ายมาหาหมอที่หัวเฉียว ขั้นแรกเราก็ไปยื่นเรื่องตรวจกับแพทย์ทั่วไปก่อน แล้วเราก็แจ้งว่าเราเป็นผู้ป่วยโรคมะเร็งที่จะมาให้เคมีบำบัดที่นี่ แพทย์ก็จะส่งตัวเรามายังที่คลินิคเฉพาะทางเพื่อพบคุณหมอที่จะให้เคมีบำบัด พอพบคุณหมอท่านก็อ่านเอกสารของเรา พร้อมกับนัดวันให้ยาภายในอาทิตย์นั้นเลยค่ะ

ของจริงมาแล้วค่ะ วันที่จะไปให้ยาวันแรก ก็รู้สึกกังวลหน่อย ๆ แต่คิดว่าไม่เป็นไรหรอก คงชิล ๆ เหมือนไปให้น้ำเกลือซักสองสามชั่วโมง พอถึงวันที่ให้ยา เราก็ต้องไปยื่นเรื่องที่แผนกฉุกเฉิน วัดความดัน วัดไข้และชั่งน้ำหนัก (ถ้าหากมีไข้จะไม่สามารถให้เคมีบำบัดได้) หลังจากนั้นก็ไปยื่นเรื่องจองเตียง แล้วก็จะมีคนพาไปส่งที่ห้องให้ยา ครั้งแรกที่เราไปให้ยา อยู่ที่ห้องให้ยาประกันสังคมซึ่งเป็นห้องรวม ก็จะเจอผู้ป่วยคนอื่น ๆ ก็มีการพูดคุยกันบ้างว่าเป็นมะเร็งอะไรกันบ้าง แลกเปลี่ยนให้กำลังใจกัน


พยาบาลที่มาเจาะให้ยา ก็จะเจาะให้ตามคิวที่มาถึง เราได้เจาะเป็นคิวที่สาม ก่อนที่จะให้ยาเคมีบำบัด จะต้องทำการเปิดเส้นก่อน (คือการเจาะให้น้ำเกลือ) และฉีดยาแก้แพ้ สำหรับเรา ตอนฉีดยาแก้แพ้ก็รู้สึกไม่ค่อยดีแล้วค่ะ มันรู้สึกอึดอัด ๆ บอกไม่ถูก หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมงก็ทำการให้ยาเคมีบำบัด ซึ่งสี่ครั้งแรกเราต้องให้ยาสูตรน้ำแดง (Red devil) ตอนที่ยาเข้าไปในตัวยิ่งรู้สึกอึดอัด ถ้าจำไม่ผิดเหมือนจะให้ยาสองตัวพร้อมกัน อีกขวดเป็นน้ำสีขาว พอให้ยาเสร็จ เราก็รู้สึกยังไหวอยู่ แต่มึน ๆ นิดหน่อย กลับมาบ้านเราก็นอนหลับไปประมาณชั่วโมงถึงสองชั่วโมง หลังจากนั้นอาการคลื่นไส้ก็มาแล้วค่ะ อาเจียนออกมาประมาณสี่รอบ ร่างกายเริ่มรู้สึกอ่อนเพลีย รู้สึกกระวนกระวาย นอนก็นอนไม่ค่อยหลับ แต่คุณหมอจะให้ยานอนหลับมาด้วย เรากินยานอนหลับไป แล้วก็ลุกขึ้นมาสวดมนต์ จึงพอได้หลับไปบ้าง ช่วงวันแรก ๆ ที่ให้ยามา จะกลืนอาหารลำบากหน่อย รู้สึกเหมือนมีอะไรติดที่คอกับที่หลอดลม จะเบื่ออาหาร ไม่ค่อยอยากทานอะไร แต่ก็มียาแก้คลื่นไส้มาให้ทานด้วยค่ะ
หลังจากให้ยาประมาณสองอาทิตย์ สิ่งที่เรากังวลอีกเรื่องนึงก็มาแล้วค่ะ นั้นคืออาการผมร่วง (จากที่คุยกับพยาบาล คนไข้ที่ให้ยาสูตรน้ำแดง ส่วนใหญ่ผมร่วงทุกคนค่ะ ร่วงหมดไม่มีเหลือ) ร่วงตอนที่เราสระผม ร่วงมาเป็นกำใหญ่ ๆ ร่วงตลอดเวลา นั่งอยู่หน้าพัดลมผมก็ปลิวไป จนเหลือเหมือนตัวกอลลัม ตอนนั้นเราจิตตกมาก ไม่อยากเจอใคร แม่จะให้ออกไปไถผมก็ไม่ไป สุดท้ายต้องให้แม่โกนผมให้ แต่พอโกนออกหมดจะรู้สึกดีกว่าตอนเป็นกอลลัมนะคะ ดังนั้นแนะนำว่าถ้าผมเริ่มร่วงก็ไถไปเถอะค่ะ อย่ารอให้จิตตกเหมือนเรา


หลังจากนั้นแม่เราก็พอเราไปซื้อวิกผม เราซื้อแบบผมแท้ ร้านอยู่แถวอ่อนนุช ผมสั้นประมาณบ่า ราคา 9,400 บาท มีค่าตัดอีก 1,500 บาท ค่าเซ็ตยาสระและบำรุงอีก 3,700 บาท ตัวเบาเลยค่ะ แต่แม่เราบอกว่าคุ้มอยู่ เพราะเราต้องใส่อีกเป็นปี ซื้อทั้งทีซื้อดี ๆ ไปเลยดีกว่า ข้อดีของวิกผมแท้คือไม่อับ ผมอยู่ทรง ไม่ต้องสระบ่อย (ใส่วิกเฉพาะตอนออกจากบ้านอยู่แล้ว ซึ่งก็ไม่ได้ออกบ่อยเท่าไหร่ค่ะ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่