ได้รับหมายเรียกเงินคืนจากกรมบัญชีกลาง ขอคำปรึกษาครับ

อาจจะยาวซักหน่อยนะครับ จะพยายามเล่าให้กระชับและเข้าใจง่ายที่สุด

พ่อผมเป็นอดีตข้าราชการตำรวจ ออกจากราชการตั้งแต่ ส.ค. ปี 2550 รับโทษจำคุกตั้งแต่ปี 2554 ปัจจุบันยังอยู่ในเรือนจำ

ช่วงเดือน ต.ค. 2557 น้องชายคนเล็กผมประสบอุบัติเหตุ รถยนต์ตัดหน้า คู่กรณีเป็นฝ่ายผิด  รักษาตัวในโรงพยาบาลรัฐ ขาหัก กรามแตก ฟันหักหลายซี่ ต้องผ่าตัดใหญ่ รักษาตัวอยู่โรงพยาบาลนานกว่าครึ่งเดือน จนก่อนถึงกำหนดกลับบ้าน 2-3วัน จนท.โรงพยาบาลจึงให้ไปเคลียกับฝ่ายการเงิน โดยเบื้องต้นแจ้งว่าน้องมีสิทธิใช้สิทธิรักษาพยาบาลบุตรข้าราชการ ผมและแม่จึงแย้งไปว่าพ่อออกจากราชการตั้งแต่ปี 50 ไม่มีสิทธิอย่างแน่นอน ต้องการใช้สิทธิเบิก พรบ. ประกันภัยของคู่กรณี และสิทธิบัตรทอง จนท.แจ้งว่าไม่สามารถทำได้ เนื่องจากสิทธิบุตรข้าราชการบล็อกไว้อยู่ ให้ไปหาเอกสารยืนยันคำสั่งพ้นจากราชการจากต้นสังกัดมายืนยัน เพื่อให้จนท.ดำเนินการปลดล็อกสิทธิให้ใช้สิทธิบัตรทองให้ก่อน เนื่องจากประกันยังเบิกไม่ได้เพราะตอนนั้นเรื่องคดียังไม่จบดี คู่กรณีรับสารภาพว่าผิดแล้วก็จริง แต่ยังไม่ได้มีการลงบันทึกประจำวันพร้อมกันกับทางประกันภัยว่าจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายค่ารักษาทั้งหมด ให้ใช้สิทธิเบิก พรบ. และบัตรทองไปก่อน ก็โอเคตามนั้น
วันต่อมาผมจึงเดินทางไปที่อดีตต้นสังกัดพ่อ เป็นกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัด และได้สำเนาเอกสารคำสั่งไปให้จนท.โรงพยาบาลเรียบร้อย ปลดล็อกสิทธิได้ก่อนกำหนดออกจากโรงพยาบาล1วัน และใช้สิทธิบัตรทองจ่าย30บาทเรียบร้อย และจ่าย30บาททุกครั้งที่หมอนัดรักษาต่อเนื่องกว่า 1ปี โดยทางคดีเจรจาต่อรองค่าสินใหมทดแทนและส่วนต่างค่ารักษาพยาบาลที่อยู่นอกเหนือสิทธิบัตรทองที่ผมสำรองจ่ายไปก่อน เช่นค่ากายภาพบำบัด และเรื่องฟัน กับคู่กรณีและบ.ประกันภัยจบตั้งแต่ พ.ค. 58 ก็คิดว่าจบแล้ว ไม่มีอะไร

เมื่อวันจันทร์ที่ 29 ม.ค. 61 ที่ผ่านมา มี จนท. ตำรวจมาหาที่บ้านพร้อมหมายขอเรียกเงินคืนจากกรมบัญชีกลาง โดยเป็นหนังสือด่วนที่สุดถึงพ่อผม ให้คืนเงินภายในวันนี้ วันที่ 1 ก.พ. 61 และวันนี้ผมจึงได้เดินทางเข้าพบจนท.ตำรวจ และไปพบจนท.โรงพยาบาล เนื้อหามีอยู่ว่า

ทางกรมบัญชีกลางตรวจสอบพบว่าตั้งแต่ปี 2550-2558 มีการใช้สิทธิเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลผิดปรกติเป็นยอดรวม xxxxx บาท โดยเร่งรัดให้กองบังคับการณ์ฯ เป็นผู้ดำเนินการเรียกเงินคืน โดยหนังสือมาถึงกองบังคับการณ์ฯ วันที่ 1 ธ.ค. 60
ผมจึงแย้งว่าน้องผมรักษาโดยใช้สิทธิบัตรทองและประกันภัยคู่กรณีมาตลอด โดยได้นำเอกสารพ้นจากราชการไปปลดล็อกสิทธิเรียบร้อยตั้งแต่ก่อนน้องจะออกจากโรงพยาบาล
ทางกองบังคับการณ์ฯจึงพาผมไปติดต่อขอข้อมูลเพิ่มเติมจากทางโรงพยาบาล และได้ความว่าทางโรงพยาบาลทำทุกอย่างถูกต้องตามขั้นตอน ตอนรักษาน้องผมนั้นโรงพยาบาลเช็คไปทางกรมบัญชีกลางแล้ว ยืนยันว่ามีสิทธิรักษาจากบุตรข้าราชการ ได้ Code อนุมัติการรักษาอย่างถูกต้อง และค่ารักษาพยาบาลก็เรียกเบิกไปยังกรมบัญชีกลางตั้งแต่เข้ารักษาพยาบาลวันแรกจนถึงวันที่ผมไปขอเอกสารมาปลดล็อกสิทธิใช้บัตรทอง (ใช้สิทธินี้โดยไม่แจ้งญาติเลย ทางผมไม่รู้เรื่องใดๆ ไม่มีเอกสารอะไรให้เซ็น) และอธิบายว่าเหตุเกิดจากทางต้นสังกัดตำรวจไม่ส่งข้อมูลการออกจากราชการให้กรมบัญชีกลางทราบเอง ให้ไปตกลงกันเอง โรงพยาบาลไม่เกี่ยว (มาทราบทีหลังว่าต้นสังกัดเพิ่งส่งเรื่องไปตอนปลายปี2558 หลังมีเอกสารมาจากกรมบัญชีกลางมาให้ต้นสังกัดยืนยันความสัมพันธ์ระหว่างพ่อ แม่ และน้อง เพราะสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้มีหนังสือสอบถามไปกรมบัญชีกลางตามที่ผมขอปลดล็อกสิทธิบัตรทอง เป็นเหตุที่ว่าทำไมช่วง timeline ประวัติการรักษาที่ทวงเงินคืนถึงไล่มาจากปี50ที่พ่อผมพ้นจากราชการและจบที่ปี58 และในช่วงเวลานี้มียอดการรักษาน้องผมเมื่อปี57ครั้งเดียวเท่านั้น)
และหลังจากพูดคุยกัน บอกว่าเคสนี้เป็นเคสลาภไม่ควรได้(ซึ่งผมคิดว่าไม่ไช่เลย ผมไม่เห็นเงิน ไม่รู้เรื่อง) สรุปได้ว่าถ้าไม่ต้องการให้มีการฟ้องร้อง ต้องจ่ายคืนครั้งแรกขั้นต่ำ 20% และที่เหลือผ่อนชำระรายเดือนได้ไม่มีกำหนด(ซึ่งผมไม่รู้ว่ามีระเบียบขั้นตอนการเก็บเงินแบบนี้จริงหรือไม่) ถ้าฟ้องแพ่งก็จะมีค่าใช้จ่ายนู่นนี่นั่นเพิ่มเติม ส่วนทางด้านจนท.ต้นสังกัดก็จะมีการตั้งกรรมการสอบว่าไครบกพร่องต่อหน้าที่ แต่เหตุมันเกิดตั้งแต่ปี50 ผู้รับผิดชอบอาจจะเสียชีวิตไปแล้ว เกษียณราชการ หรือแม้แต่เลื่อนตำแหน่งขึ้นไป ทำให้ลำบากในการดำเนินการ ซึ่งผมมองว่ามันไม่แฟร์ ทั้งๆที่เหตุนี้ทางผมไม่มีความจำเป็นต้องใช้สิทธิอะไรเลย แค่ประกันภัยคู่กรณีก็ครอบคลุมค่ารักษาพยาบาลทั้งหมดอยู่แล้ว กลับต้องมาเสียเงินเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่องที่
1.จนท.ต้นสังกัดไม่ส่งเอกสารพ้นจากราชการให้ทางกรมบัญชีกลางเพื่ออัพเดทข้อมูลตั้งแต่ปี2550 เพิ่งมาส่งเมื่อปี 2558 ช้าไป 8ปี
2.ทางโรงพยาบาลไม่แจ้งข้อมูลการใช้สิทธิหรือข้อมูลการเบิกจ่ายค่ารักษาแก่ญาติเลย
3.เหตุเกิดเมื่อปี 2557 กรมบัญชีกลางมาเรียกคืนปี 2560 3ปีหลังเกิดเหตุ 2ปีหลังจบคดี 10ปีหลังจากหมดสิทธิฯ ไม่สามารถเรียกร้องอะไรจากบริษัทประกันภัยและคู่กรณีได้อีกแล้ว ต้องรับผิดชอบเอง ทั้งๆที่ผู้ล่าช้าไม่ไช่ผม
4.ทุกฝ่ายดูจะลอยตัวเหนือปัญหากันหมด ผลักภาระมาที่ฝ่ายผม ทั้งที่ต้นเหตุมันเริ่มมาจากความล่าช้าในระบบและความสะเพร่าของจนท.เอง ซึ่งผมคิดว่าเคสนี้คงไม่ไช่เคสแรก

ผมเลยขอตัวกลับมาปรีกษากันในครอบครัวก่อน เพราะพ่อเองก็อยู่ในเรือนจำ น้องเองก็ยังเรียนอยู่ ทางบ้านก็ลำบาก ค่าใช้จ่ายก็เดือนจะไม่ชนเดือนอยู่แล้ว
อยากขอคำปรึกษาว่าผมควรจะประณีประนอมตั้งแต่ตอนนี้หรือรอไปขอความเมตตาจากศาลดีครับ พอดีเคยมีประสบการณ์ถูก Bank ฟ้องมาบ้าง แต่คราวนี้ถ้าฟ้องคือตำรวจส่งเรื่องให้อัยการฟ้อง ไม่รู้ขั้นตอนการไกล่เกลี่ยหรืออื่นๆ จะเหมือนกันหรือไม่ จำเลยที่ 1 2 3 จะเป็นไคร หรือผมควรทำยังไงต่อดีครับ ไครมีประสบการณ์ทำนองนี้บ้าง ขอบคุณที่อ่านจนจบครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่