สวัสดีครับผมชื่อนักรบ ผมเป็นวิทยากรสอนการตลาดออนไลน์ ที่เน้นด้านเว็บไซต์ WordPress & Google Marketing เป็นหลัก กะทู้นี้เป็นการแชร์วิธิคิด, วิธีการ และผลลัพธ์การขายของออนไลน์ (E-Commerce) แบบ B2B เพื่อให้คนที่สนใจหยิบไปปรับใช้กับธุรกิจออนไลน์ของตัวเอง
“กะทู้นี้เป็นการแชร์ประสบการณ์ส่วนตัว ผู้อ่านควรหยิบเฉพาะสิ่งที่มีประโยชน์ไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเองครับ “
ทำไมเลือกขายออนไลน์แบบ B2B
เหตุผลที่ทำการตลาดออนไลน์ให้กับธุรกิจขายของออนไลน์แบบ B2B แทนที่จะเป็น B2C แทนครับ
1). ต้องการสัมผัสการสร้างยอดขายเกิน 1 ล้านบาท เพื่อจะได้มีประสบการณ์มาสอนได้
2). ต้องการให้ทีมงานคุยกับลูกค้าไม่กี่ราย ก็สร้างยอดขายสูงๆได้ และ B2B ตอบโจทย์นี้มากกว่า B2C
3). ถนัดด้านเว็บไซต์ & Google Marketing ฉะนั้นการทำธุรกิจแบบ B2B จะอาศัยเว็บไซต์และการตลาดในกูเกิลที่ได้ผล ลูกค้าตรงกลุ่มมากกว่าใน Social Media
4). หากมองในประเทศไทยจะมี Lazada ยึดตลาดค้าปลีก (B2C) ไปแล้ว ยังขาด B2B ที่ยังไม่มีใครยึดพื้นที่ครับ ฉะนั้นจึงยังมีโอกาสที่ใหญ่อยู่
ด้วยเหตุผล 4 ข้อด้านบนก็เพียงพอที่จะให้ลุยทำได้แล้วครับ
Step 1 : เริ่มต้นขายของออนไลน์
จะเริ่มต้นขายของออนไลน์ นั้นต้องมีภาพสินค้าสวยๆก่อนเลย ฉะนั้นฉากถ่ายรูปดีๆ และชุดไฟนั้นต้องมี อยากทำธุรกิจแตะหลักล้านก็ต้องลงทุนเกือบหลักแสนอยู่แล้วครับ
1) เตรียมฉากและชุดไฟไว้ถ่ายรูปสินค้า งบไม่เกิน 5000 บาทก็น่าจะเอาอยู่ครับ หาซื้อได้ใน Lazada และตามเวบใน Google ครับ
2) กล้องถ่ายรูป DSLR อยากให้ลงทุนซื้อกล้องดีๆหน่อย ถ่ายออกมาชัดๆ ราคาก็น่าจะอยู่ช่วง 15000 บาท ส่วนกล้องที่ผมใช้ก็ Canon D700 ครับ (ส่วนใครจะใช้กล้องมือถือ ก็แล้วแต่สะดวกครับ แต่ขอให้ภาพที่ออกมาชัด และสีไม่เพี๊ยนครับ) และถ้าจะเรียนถ่ายรูปก็ไปศึกษาจากเพจนี้ได้คัรบ
https://www.facebook.com/snappixinfo
3) หลังจากถ่ายรูปเสร็จ ต้องรีทัชรูปครับ ซึ่งแล้วแต่ความถนัดของคน เลือกใช้โปรแกรมรีทัชหรือตกแต่งรูปได้ตามรายการนี้ครับ
- Adobe Lightroom : โปรแกรมตกแต่งรูปถ่าย และปรับแสงได้ที่ละหลายๆรูป มืออาชีพชอบใช้ครับ ซึ่งผมก็สอนทีมงานให้ใช้โปรแกรมนี้ครับ
- Photoscape : โปรแกรมตกแต่ง ตัดต่อ จัดกรอบรูป ทำได้หลากหลาย พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ชอบใช้ เพราะมันง่ายที่สุด และฟรีครับ
- Adobe Photoshop : โปรแกรมรีทัชรูป และทำพื้นหลังสีขาว เป็นโปรแกรมสำหรับมืออาชีพอีกโปรแกรมครับ ผมก็ส่งทีมงานไปเรียน Photoshop กับเพจนี้ครับ
https://www.facebook.com/SiriDesignHouse/
4) พอตกแต่งรูปเสร็จก็เอาขึ้นเวบไซต์ครับ
Step 2 : เลือกเว็บไซต์สำหรับธุรกิจขายของออนไลน์แบบ B2B
เว็บไซต์สำหรับขายของออนไลน์มีหลายเว็บนะครับ แต่จะยกตัวอย่างแค่ 3 ตัว ครับ
1)
https://www.lnwshop.com/ : พ่อค่าแม่ค้าใช้เยอะครับ เหมาะกับการขายของออนไลน์ ใช้ง่ายครับ
2)
https://www.wix.com/ : ดีไซน์สวย ใช้ง่าย เริ่มมีคนไทยใช้เยอะขึ้น ซึ่งตัวนี้อาจจะเหมาะกับธุรกิจบริการครับ (แต่ก็คนบอกว่า SEO ไม่คอ่ยดี อันนี้ไม่รู้ปรับปรุงยังครับ)
3)
https://wordpress.org/ : ธีมสวยๆเยอะ แต่ระบบมันจะยากสุดครับ ผมเลือกใช้ตัวนี้เพราะมีธีมให้เลือกใช้เยอะมากๆ ที่
https://themeforest.net/category/wordpress/ecommerce และถ้าจะหาคนทำก็หาที่
https://fastwork.co/wordpress ได้ครับ
หลังจากเลือกเว็บไซต์ได้แล้วก็เอาภาพสินค้าและรายละเอียดมาทยอยใส่เรื่อยๆครับ ครบ 6 เดือน ตอนนี้ก็มีสินค้าทั้งหมด 180 รายการ ทยอยใส่มาเรื่อยๆครับ วันๆหนึงก็ใส่ได้ 5-10 รายการครับ เพราะต้องถ่ายรูปสินค้าและรีทัชให้สวยงามด้วย ก็จะใช้เวลาหน่อยครับ
ข้อแนะนำ
รูปสินค้าต้องสวยและรายละเอียดมากพอในระดับมืออาชีพ ที่พอสู้กับคู่แข่งเดิมใน Google ได้นะครับ เพราะลูกค้าจะเปรียบเทียบหน้าเว็บในกูเกิลก่อนตัดสินใจซื้อด้วยครับ
หลังจากนั้นก็ใส่เบอร์โทร, line@ และ Facebook Fanpage เพิ่มเข้าไปครับ
Step 3 : ลงโฆษณา Google AdWords
เนื่องจากผมเลือกขายของออนไลน์แบบ B2B ครับ ลูกค้าจะมาจาก Google Search เป็นส่วนใหญ่ ก็เลยทำการตลาดโดยการลงโฆษณาใน Google AdWords ก่อนประมาณ 1500 บาท/เดือน พอเช็คแล้วว่าขายของได้แน่ๆ มีกำไรก็จะเพิ่มงบลงโฆษณาเป็น 3000 บาท/เดือนครับ
ถ้าลองสังเกตุจะพบว่าผมใช้เงินลงโฆษณาน้อย เพราะจะเน้นที่ตัวเว็บไซต์, ภาพสินค้าและรายละเอียดสินค้าแทนครับ โดยจะเน้นลงทุนเรื่องชุดไฟถ่ายรูป และกล้องถ่ายรูปแทนครับ ถ้าภาพสินค้าและเว็บไซต์ไม่ดีพอ ต่อให้ลงโฆษณาเยอะแค่ไหน ก็สิ้นเปลืองเงินนะครับ
เรียนเรื่องการลงโฆษณา Google AdWords ได้จาก Google เลยครับที่
https://www.youtube.com/watch?v=cOTMWqwUXPU&list=PL9piTIvKJnJNvhf_KbIN1q22JH9VESLN8
Step 4 : วัดผลการทำการตลาด
หลังจากลงโฆษณา AdWords ไป 3 เดือนก็จะเริ่มวัดผลครับ
สถิติและผลลัพธ์ การใช้งบลงโฆษณา 3000 บาท/เดือน ก็จะมีคนเข้าเว็บไซต์ประมาณ 400-500 ต่อเดือนครับ แล้วก็จะมีคนสอบถามประมาณ 50 คนต่อเดือน และถ้ามีคนซื้อประมาณ 20-30 ออเดอร์ต่อเดือน ก็สามารถทำยอดขายเกิน 6 หลักได้ครับ
ยอดขายเดือนที่ 1 = 0 บาท เพราะยังทำเวบไม่เสร็จและยังไม่ได้ลงโฆษณา
ยอดขายเดือนที่ 2 ประมาณ 5 หลัก
ยอดขายเดือนที่ 3 ประมาณ 6 หลัก
ยอดขายเดือนที่ 4 ประมาณ 6 หลัก
ผลตอบแทนการลงทุน (ROI) อยู่ในเกณฑ์ดีครับ
ถ้าใครเคยทำธุรกิจแบบ B2B จะรู้ว่าตัวเลขเหล่านี้เป็นไปได้ ขอเพียงมีสินค้าที่ดีพอสู้กับคู่แข่งในออนไลน์ได้ + กับการมีการตลาดออนไลน์โดยใช้ Website & Google Marketing ครับ (ซึ่งนักรบจะไม่เน้น Social Media เท่าไหร่สำหรับธุรกิจ B2B ครับ)
ส่วนเรื่องการทำ SEO นั้น ก็ทยอยทำอยู่ครับ และติดหน้าแรกในอันดับที่ 6 ภายใน 5 เดือนครับ
สรุปองค์ประกอบที่ช่วยทำให้ขายของออนไลน์ได้
1) ระบบเว็บไซต์ ที่ดูเป็นมืออาชีพ เรียบหรู
2) ภาพสินค้าและรายละเอียดสินค้า ที่สู้กับคู่แข่งเดิมได้
3) การลงโฆษณา AdWords และการเลือก Keywords ที่ตรงกลุ่มเป้าหมาย
4) ประหยัดเงินลงทุนได้เยอะ เช่น ทำเว็บได้เองก็ประหยัดไป 2 หมื่น, ถ่ายรูปและรีทัชได้เองก็ประหยัดเงินได้อีกหลายพันบาท
องค์ประกอบที่ใครหลายๆคนยังขายของออนไลน์ไม่ได้นะครับ
1) ให้คำสำคัญกับรูปสินค้าและรายละเอียดสินค้าน้อยเกินไป ลองเปรียบเทียบกับ lazada ก็ได้ครับ พยายามทำภาพและรายละเอียดให้เป็นมาตรฐานเดียวกับเขาครับ ให้พยายามศึกษาการถ่ายรูปและการรีทัชจากแหล่งเรียนรู้ด้านบนที่ผมแชร์ไว้ครับ
2) ระบบเว็บไซต์ที่เลือกใช้ อาจจะไม่เหมาะกับธุรกิจแบบ B2B ครับ ซึ่งธุรกิจนี้มียอดขายสูง ควรเลือกเว็บไซต์ที่ดูเรียบหรู ได้มาตรฐานและดูแพง (แต่สินค้าไม่แพงคับ)
3) บางคนจ้างคนลงโฆษณา AdWords แต่เขาเลือก Keywords กว้างไป และไม่ตรงกลุ่มเป้าหมายครับ ฉะนั้นถ้าเป็นไปได้ ช่วงเริ่มต้น ลองเรียนรู้ที่จะทำเองจาก link ที่ให้ไปด้านบนครับ จะได้เลือก Keyword ได้ตรงกลุ่มมากยิ่งขึ้นครับ
สรุปทิ้งท้าย
เท่าที่แชร์ไปก็น่าจะได้ความรู้และแนวทางในการเรียนรู้และพัฒนาต่อกับธุรกิจตัวเองนะครับ ซึ่งถ้าใครทำธุรกิจแบบ B2B อยู่ก็จะได้ความรู้เต็มๆ แต่ถ้าใครทำแบบ B2C อันนี้ก็อาจจะไม่เหมาะนะครับ เพราะ B2C จะเน้น Facebook ด้วยครับ
ปล. จากประสบการณ์ที่ผมแชร์และอ่านกะทู้คนอื่นๆเกี่ยวกับเรื่องนี้ มักจะเจอปัญหา 3 ข้อใหญ่ๆ คือ
1. เรื่องที่เขียนเป็นเรื่องแต่งขึ้น : ถ้าใครเคยทำธุรกิจออนไลน์ ทำการตลาดด้วย Website & Google Marketing จนประสบความสำเร็จระดับหนึงแล้ว น่าจะดูออกว่าเป็นเรื่องแต่งหรือไม่ครับ
2. เรื่องภาษี : ส่วนเรื่องภาษีก็ไม่ต้องห่วงครับ ก็ยื่นปรกติครับ
3. เขียนเพื่อโฆษณาแอบแฝง : ก็เลยโพสบอกตั้งแต่ต้นว่าเป็นวิทยากรครับ เรื่องที่แชร์น่าจะเป็นประโยชน์ครับ
“กะทู้นี้เป็นการแชร์ประสบการณ์ส่วนตัว ผู้อ่านควรหยิบเฉพาะสิ่งที่มีประโยชน์ไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเองครับ “
ลุยทำเยอะๆ นะครับ ไม่มีประสบการณ์ไหนดีไปกว่าประสบการณ์ที่ตัวเองได้เจอ ได้ทำจนค้นพบกับตัวเองครับ
ลุย!!!
ที่มา
https://warrior.in.th/result-zeanrom-google-marketing/
แชร์... วิธีคิด, วิธีการ และผลลัพธ์การขายของออนไลน์ B2B สร้างยอดขายรวมเกิน 1,000,000 ฿ ใน 4 เดือน
ทำไมเลือกขายออนไลน์แบบ B2B
เหตุผลที่ทำการตลาดออนไลน์ให้กับธุรกิจขายของออนไลน์แบบ B2B แทนที่จะเป็น B2C แทนครับ
1). ต้องการสัมผัสการสร้างยอดขายเกิน 1 ล้านบาท เพื่อจะได้มีประสบการณ์มาสอนได้
2). ต้องการให้ทีมงานคุยกับลูกค้าไม่กี่ราย ก็สร้างยอดขายสูงๆได้ และ B2B ตอบโจทย์นี้มากกว่า B2C
3). ถนัดด้านเว็บไซต์ & Google Marketing ฉะนั้นการทำธุรกิจแบบ B2B จะอาศัยเว็บไซต์และการตลาดในกูเกิลที่ได้ผล ลูกค้าตรงกลุ่มมากกว่าใน Social Media
4). หากมองในประเทศไทยจะมี Lazada ยึดตลาดค้าปลีก (B2C) ไปแล้ว ยังขาด B2B ที่ยังไม่มีใครยึดพื้นที่ครับ ฉะนั้นจึงยังมีโอกาสที่ใหญ่อยู่
ด้วยเหตุผล 4 ข้อด้านบนก็เพียงพอที่จะให้ลุยทำได้แล้วครับ
Step 1 : เริ่มต้นขายของออนไลน์
จะเริ่มต้นขายของออนไลน์ นั้นต้องมีภาพสินค้าสวยๆก่อนเลย ฉะนั้นฉากถ่ายรูปดีๆ และชุดไฟนั้นต้องมี อยากทำธุรกิจแตะหลักล้านก็ต้องลงทุนเกือบหลักแสนอยู่แล้วครับ
1) เตรียมฉากและชุดไฟไว้ถ่ายรูปสินค้า งบไม่เกิน 5000 บาทก็น่าจะเอาอยู่ครับ หาซื้อได้ใน Lazada และตามเวบใน Google ครับ
2) กล้องถ่ายรูป DSLR อยากให้ลงทุนซื้อกล้องดีๆหน่อย ถ่ายออกมาชัดๆ ราคาก็น่าจะอยู่ช่วง 15000 บาท ส่วนกล้องที่ผมใช้ก็ Canon D700 ครับ (ส่วนใครจะใช้กล้องมือถือ ก็แล้วแต่สะดวกครับ แต่ขอให้ภาพที่ออกมาชัด และสีไม่เพี๊ยนครับ) และถ้าจะเรียนถ่ายรูปก็ไปศึกษาจากเพจนี้ได้คัรบ https://www.facebook.com/snappixinfo
3) หลังจากถ่ายรูปเสร็จ ต้องรีทัชรูปครับ ซึ่งแล้วแต่ความถนัดของคน เลือกใช้โปรแกรมรีทัชหรือตกแต่งรูปได้ตามรายการนี้ครับ
- Adobe Lightroom : โปรแกรมตกแต่งรูปถ่าย และปรับแสงได้ที่ละหลายๆรูป มืออาชีพชอบใช้ครับ ซึ่งผมก็สอนทีมงานให้ใช้โปรแกรมนี้ครับ
- Photoscape : โปรแกรมตกแต่ง ตัดต่อ จัดกรอบรูป ทำได้หลากหลาย พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ชอบใช้ เพราะมันง่ายที่สุด และฟรีครับ
- Adobe Photoshop : โปรแกรมรีทัชรูป และทำพื้นหลังสีขาว เป็นโปรแกรมสำหรับมืออาชีพอีกโปรแกรมครับ ผมก็ส่งทีมงานไปเรียน Photoshop กับเพจนี้ครับ https://www.facebook.com/SiriDesignHouse/
4) พอตกแต่งรูปเสร็จก็เอาขึ้นเวบไซต์ครับ
Step 2 : เลือกเว็บไซต์สำหรับธุรกิจขายของออนไลน์แบบ B2B
เว็บไซต์สำหรับขายของออนไลน์มีหลายเว็บนะครับ แต่จะยกตัวอย่างแค่ 3 ตัว ครับ
1) https://www.lnwshop.com/ : พ่อค่าแม่ค้าใช้เยอะครับ เหมาะกับการขายของออนไลน์ ใช้ง่ายครับ
2) https://www.wix.com/ : ดีไซน์สวย ใช้ง่าย เริ่มมีคนไทยใช้เยอะขึ้น ซึ่งตัวนี้อาจจะเหมาะกับธุรกิจบริการครับ (แต่ก็คนบอกว่า SEO ไม่คอ่ยดี อันนี้ไม่รู้ปรับปรุงยังครับ)
3) https://wordpress.org/ : ธีมสวยๆเยอะ แต่ระบบมันจะยากสุดครับ ผมเลือกใช้ตัวนี้เพราะมีธีมให้เลือกใช้เยอะมากๆ ที่ https://themeforest.net/category/wordpress/ecommerce และถ้าจะหาคนทำก็หาที่ https://fastwork.co/wordpress ได้ครับ
หลังจากเลือกเว็บไซต์ได้แล้วก็เอาภาพสินค้าและรายละเอียดมาทยอยใส่เรื่อยๆครับ ครบ 6 เดือน ตอนนี้ก็มีสินค้าทั้งหมด 180 รายการ ทยอยใส่มาเรื่อยๆครับ วันๆหนึงก็ใส่ได้ 5-10 รายการครับ เพราะต้องถ่ายรูปสินค้าและรีทัชให้สวยงามด้วย ก็จะใช้เวลาหน่อยครับ
ข้อแนะนำ
รูปสินค้าต้องสวยและรายละเอียดมากพอในระดับมืออาชีพ ที่พอสู้กับคู่แข่งเดิมใน Google ได้นะครับ เพราะลูกค้าจะเปรียบเทียบหน้าเว็บในกูเกิลก่อนตัดสินใจซื้อด้วยครับ
หลังจากนั้นก็ใส่เบอร์โทร, line@ และ Facebook Fanpage เพิ่มเข้าไปครับ
Step 3 : ลงโฆษณา Google AdWords
เนื่องจากผมเลือกขายของออนไลน์แบบ B2B ครับ ลูกค้าจะมาจาก Google Search เป็นส่วนใหญ่ ก็เลยทำการตลาดโดยการลงโฆษณาใน Google AdWords ก่อนประมาณ 1500 บาท/เดือน พอเช็คแล้วว่าขายของได้แน่ๆ มีกำไรก็จะเพิ่มงบลงโฆษณาเป็น 3000 บาท/เดือนครับ
ถ้าลองสังเกตุจะพบว่าผมใช้เงินลงโฆษณาน้อย เพราะจะเน้นที่ตัวเว็บไซต์, ภาพสินค้าและรายละเอียดสินค้าแทนครับ โดยจะเน้นลงทุนเรื่องชุดไฟถ่ายรูป และกล้องถ่ายรูปแทนครับ ถ้าภาพสินค้าและเว็บไซต์ไม่ดีพอ ต่อให้ลงโฆษณาเยอะแค่ไหน ก็สิ้นเปลืองเงินนะครับ
เรียนเรื่องการลงโฆษณา Google AdWords ได้จาก Google เลยครับที่ https://www.youtube.com/watch?v=cOTMWqwUXPU&list=PL9piTIvKJnJNvhf_KbIN1q22JH9VESLN8
Step 4 : วัดผลการทำการตลาด
หลังจากลงโฆษณา AdWords ไป 3 เดือนก็จะเริ่มวัดผลครับ
สถิติและผลลัพธ์ การใช้งบลงโฆษณา 3000 บาท/เดือน ก็จะมีคนเข้าเว็บไซต์ประมาณ 400-500 ต่อเดือนครับ แล้วก็จะมีคนสอบถามประมาณ 50 คนต่อเดือน และถ้ามีคนซื้อประมาณ 20-30 ออเดอร์ต่อเดือน ก็สามารถทำยอดขายเกิน 6 หลักได้ครับ
ยอดขายเดือนที่ 1 = 0 บาท เพราะยังทำเวบไม่เสร็จและยังไม่ได้ลงโฆษณา
ยอดขายเดือนที่ 2 ประมาณ 5 หลัก
ยอดขายเดือนที่ 3 ประมาณ 6 หลัก
ยอดขายเดือนที่ 4 ประมาณ 6 หลัก
ผลตอบแทนการลงทุน (ROI) อยู่ในเกณฑ์ดีครับ
ถ้าใครเคยทำธุรกิจแบบ B2B จะรู้ว่าตัวเลขเหล่านี้เป็นไปได้ ขอเพียงมีสินค้าที่ดีพอสู้กับคู่แข่งในออนไลน์ได้ + กับการมีการตลาดออนไลน์โดยใช้ Website & Google Marketing ครับ (ซึ่งนักรบจะไม่เน้น Social Media เท่าไหร่สำหรับธุรกิจ B2B ครับ)
ส่วนเรื่องการทำ SEO นั้น ก็ทยอยทำอยู่ครับ และติดหน้าแรกในอันดับที่ 6 ภายใน 5 เดือนครับ
สรุปองค์ประกอบที่ช่วยทำให้ขายของออนไลน์ได้
1) ระบบเว็บไซต์ ที่ดูเป็นมืออาชีพ เรียบหรู
2) ภาพสินค้าและรายละเอียดสินค้า ที่สู้กับคู่แข่งเดิมได้
3) การลงโฆษณา AdWords และการเลือก Keywords ที่ตรงกลุ่มเป้าหมาย
4) ประหยัดเงินลงทุนได้เยอะ เช่น ทำเว็บได้เองก็ประหยัดไป 2 หมื่น, ถ่ายรูปและรีทัชได้เองก็ประหยัดเงินได้อีกหลายพันบาท
องค์ประกอบที่ใครหลายๆคนยังขายของออนไลน์ไม่ได้นะครับ
1) ให้คำสำคัญกับรูปสินค้าและรายละเอียดสินค้าน้อยเกินไป ลองเปรียบเทียบกับ lazada ก็ได้ครับ พยายามทำภาพและรายละเอียดให้เป็นมาตรฐานเดียวกับเขาครับ ให้พยายามศึกษาการถ่ายรูปและการรีทัชจากแหล่งเรียนรู้ด้านบนที่ผมแชร์ไว้ครับ
2) ระบบเว็บไซต์ที่เลือกใช้ อาจจะไม่เหมาะกับธุรกิจแบบ B2B ครับ ซึ่งธุรกิจนี้มียอดขายสูง ควรเลือกเว็บไซต์ที่ดูเรียบหรู ได้มาตรฐานและดูแพง (แต่สินค้าไม่แพงคับ)
3) บางคนจ้างคนลงโฆษณา AdWords แต่เขาเลือก Keywords กว้างไป และไม่ตรงกลุ่มเป้าหมายครับ ฉะนั้นถ้าเป็นไปได้ ช่วงเริ่มต้น ลองเรียนรู้ที่จะทำเองจาก link ที่ให้ไปด้านบนครับ จะได้เลือก Keyword ได้ตรงกลุ่มมากยิ่งขึ้นครับ
สรุปทิ้งท้าย
เท่าที่แชร์ไปก็น่าจะได้ความรู้และแนวทางในการเรียนรู้และพัฒนาต่อกับธุรกิจตัวเองนะครับ ซึ่งถ้าใครทำธุรกิจแบบ B2B อยู่ก็จะได้ความรู้เต็มๆ แต่ถ้าใครทำแบบ B2C อันนี้ก็อาจจะไม่เหมาะนะครับ เพราะ B2C จะเน้น Facebook ด้วยครับ
ปล. จากประสบการณ์ที่ผมแชร์และอ่านกะทู้คนอื่นๆเกี่ยวกับเรื่องนี้ มักจะเจอปัญหา 3 ข้อใหญ่ๆ คือ
1. เรื่องที่เขียนเป็นเรื่องแต่งขึ้น : ถ้าใครเคยทำธุรกิจออนไลน์ ทำการตลาดด้วย Website & Google Marketing จนประสบความสำเร็จระดับหนึงแล้ว น่าจะดูออกว่าเป็นเรื่องแต่งหรือไม่ครับ
2. เรื่องภาษี : ส่วนเรื่องภาษีก็ไม่ต้องห่วงครับ ก็ยื่นปรกติครับ
3. เขียนเพื่อโฆษณาแอบแฝง : ก็เลยโพสบอกตั้งแต่ต้นว่าเป็นวิทยากรครับ เรื่องที่แชร์น่าจะเป็นประโยชน์ครับ
ลุยทำเยอะๆ นะครับ ไม่มีประสบการณ์ไหนดีไปกว่าประสบการณ์ที่ตัวเองได้เจอ ได้ทำจนค้นพบกับตัวเองครับ
ลุย!!!
ที่มา https://warrior.in.th/result-zeanrom-google-marketing/