ทำไมคนที่เราชอบถึงไม่ชอบเรา ทำไมคนที่เราไม่ชอบถึงมโนกันจัง?

เรื่องที่จะเล่าอาจจะยาวสักหน่อยแต่มันคือประสบการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบคือเหตุและผลอยากให้ช่วยเราวิเคราะห์หน่อยว่าเราทำผิดที่ตรงไหนทำไมมันถึงเป็นแบบนี้และควรทำอะไรต่อไป

ปีนี้อายุ21ค่ะเป็นลูกครึ่งไทย/ออสเตรเลีย เพิ่งเรียนจบปริญญาตรีจากไต้หวัน(เราเข้าเรียนก่อนวัยค่ะ).  บ้านมีฐานะถือว่าดีพอสมควร หน้าตาก็จัดว่าสวย(ในแบบที่ไม่ได้หลงตัวเองนะคะ) หุ่นดีค่ะส่วนที่ควรมีก็มีส่วนที่ควรจะไม่มีก็ไม่มี. ส่วนสูงราวๆ175   คือตั้งแต่เด็กจนตอนนี้ทุกคนบอกว่าชีวิตเราเฟอร์เฟ็คมากและเราก็เชื่อแบบนั้นจนถึงเมื่อไม่นานมานี้

ทันทีที่เรียนจบเราก็เข้าทำงานกับลูกค้าที่เราเคยแปลเอกสารจีน/อังกฤษให้ตอนที่ยังเรียนไม่จบ.
เจ้านายคนนี้เป็นผู้ชายตำแหน่งเจ้าของบริษัทในประเทศจีนอายุ37ถึงจะบอกว่าเป็นเจ้านายแต่เราสนิทกันมาตั้งแต่แรกๆที่รู้จักกันแล้วเรารู้จักกันมา2-3ปีทำให้เป็นเพื่อนสนิทกันมากกว่า. สนิทถึงขั้นว่ากอดคอกินเหล้านอนด้วยกันได้(อย่าคิดไปไกลไม่ได้มีอะไรกัน)

เราย้ายไปจีนแผ่นดินใหญ่และเข้าทำงานในตำแหน่งผู้ช่วยท่านประธาน. หลายคนคิดว่าเราใช้เส้นสายเข้ามาแต่สุดท้ายด้วยความสามารถที่ร่ำเรียนมาก็พิสูจน์แล้วว่าเราทำงานได้ดี

หลังจากเข้าทำงานได้แค่1อาทิตย์ก็ได้รับความเคารพจากเพื่อนร่วมงานทุกคนเพราะเราสามารถจัดการปัญหาเรื่องการสต็อกสั่งซื้ออะไหล่ใช้ในการผลิตซึ้งขาดแคลนและเป็นปัญหาคารังคาซังมานานได้.      และเจ้านายเองก็ให้ความสำคัญกับเราเป็นพิเศษเราเป็นคนเดียวในบริษัทที่ไม่ต้องเรียกเขาว่าท่านประธานแต่เรียกชื่อเขาโดยตรงได้เลย(คนจีนไม่ค่อยถือเรื่องอายุ).และเจ้านายก็มักพาไปออกงานต่างๆไม่ว่าจะงานเลี้ยง  ไปดูงาน หรือกระทั้งออกข่าว  
ถือว่าในบริษัทเราอยู่ภายใต้คนๆเดียวแต่อยู่เหนือคนทุกคน


ช่วงที่ย้ายมาประจวบเหมาะกับที่เจ้านายกำลังจะเปิดโปรเจคใหม่เกี่ยวกับโครงข่ายไร้สาย(รายละเอียดลงมากไม่ได้ถือเป็นความลับในขณะนี้)
ก็มีเพื่อนๆของเจ้านายและลูกพี่ลูกน้องจากเมืองบ้านเกินเขาเดินทางมาเข้าร่วมช่วยงาน.  บางคนก็มาเพื่อร่วมหุ้นบางคนก็ถูกตามตัวมาจากบริษัทอื่นเพื่อทำงานที่นี่.   เท่ากับเราต้องรับผิดชอบงานทั้ง2บริษัท.

บริษัทที่เป็นโปรเจคใหม่นี้เจ้านายให้อำนาจตัดสินใจอยู่ที่เราอย่าเต็มที่นอกจากเรื่องการเงินที่ต้องส่งขึ้นไปแจ้ง. ตอนนั้นนั้นแหละเราได้รู้จักเพื่อนใหม่ชาวจีน4คน.  คนแรกชื่อจงเหยียนเป็นรับผิดชอบเกี่ยวกับระบบที่กำลังทำกันอยู่การศึกษาค่อนข้างดีจบป.โทแต่ขาดความมั่นใจในตัวเองค่อนข้างชอบคุยแลกเปลี่ยนความรู้กับฉันตอนหลังเลยพ่วงตำแหน่งผู้ช่วยของฉันเข้ามากลายๆ

คนที่สองชื่อสือหงโบเป็นคนกว้างขวางในเมืองนี้เครือข่ายธุรกิจค่อนข้างเยอะ.

คนที่สามต้าหงโบ(ชื่อเหมือนกันค่ะ2คน) เป็นลูกที่ลูกน้องของเจ้านายหน้าตาดีจัดว่าหล่อขาวตี๋แต่คมเข้ม เขาทำธุรกิจเกี่ยวกับบริษัทรถลากขนส่งข้ามประเทศที่มีชื่อเสียงในแถบฉงชิ่งและเสฉวน.  และเรื่องมันก็เกิดจากคนๆนี้แหละ

ตอนแรกๆทุกคนนึกว่าเราเป็นแฟนหรือกิ๊กกับเจ้านายทั้งที่จริงๆมันไม่ใช่. เรามีนิสัยกล้าได้กล้าเสีย มีหลายบุคลิกบางที่ก็เงียบขรึมวางท่าแต่ถ้าอยู่กับคนกันเองจะเฮฮาและห้าวๆทำให้เพื่อนมีแต่ผู้ชายและไม่เคยถูกมองว่าเป็นผู้หญิงเลย.  เวลาไปไหนมาไหนกับเจ้านายก็ไปกัน2ต่อสองเปิดนอนห้องสูทใหญ่แยกนอนคนละห้องเล็ก.  กอดคอดื่มเหล้ากันประจำ. เราเฮฮาเข้ากับเพื่อนเจ้านายได้ทุกคน. และหลายคนพากันจีบเราเยอะมากแต่ก็ถูกเจ้านายกันท่าให้ตลอด.    แต่กับพวกจงเหยียน สือหงโบและต้าหงโบต่างออกไป。  อาจเพราะเป็นเพื่อนสมัยเด็กและญาติของเจ้านาย. เจ้านายเลยวางใจให้ฉันอยู่กับพวกเขาเป็นพิเศษ. เวลาไปไหนหรือมีงานอะไรก็จะให้พวกเขาคอยช่วยเหลือดูแลให้ตลอด. จนกลายเป็นว่าพวกเขาเป็นคล้ายๆเลขาและบอดี้การ์ดของเราไปในตัว.

ต้าหงโบเป็นผู้ชายอายุ32ที่ค่อนข้างไปทางเงียบขรึมแต่ไม่รู้ทำไมถึงชอบหยอดมุกแซวเราอยู่บ่อยๆ  ตอนแรกๆก็ไม่ได้คิดอะไรเพราะเคยชินกับการถูกแซวมาตลอดตั้งแต่วัยแตกสาวแล้ว.  แต่หลังๆเพราะงานเลยต้องได้อยู่ด้วยกันบ่อย.

ช่วงก่อนเจ้านายและจงเหยียนกับสือหงโบต้องไปคุมงานแต่งเติมออฟฟิศใหม่ทำให้ไม่ค่อยได้อยู่ที่บริษัทบ่อยๆ. งานน้อยใหญ่ในบริษัทก็เลยมีเรามาจัดการแทนคราวนี้ต้าหงโบเลยต้องมาช่วยเราวางงานและดูแลเรื่องเอกสาร(ภาษาจีนไต้หวันกับจีนกลางตัวเขียนมันต่างกัน).เรากับต้าหงโบเลยนั่งในออฟฟิศประธานกันทุกวันสองต่อสอง.   จนเมื่อ3-4วันก่อนเพื่อนเจ้านายมาจากฉงชิ่งเมืองบ้านเกิด. พวกเราเลยไปกินข้าวและดื่มเหล้าที่KTVเรียกสาวๆมานั่งกัน.  คนจีนดื่มหนักค่ะ เวลาดื่มคือยกขวดเบียร์ขึ้นดื่มหมด. ดืมทีเป็นลังๆ.  พอดื่มเยอะเข้าต้าหงโบก็จะนั่งห่างๆคอยส่งสายตาดู แต่เราก็ไม่ค่อยได้คิดอะไรมากตอนนั้นเริ่มกรึ่มๆสนใจแค่ว่าเจ้านายไหวมั้ยต้องการให้จุดบุหรี่ให้รึเปล่า

ทีนี้พอเพื่อนเจ้านายเริ่มเมาก็เริ่มชวนเราคุย บางคนออกแนวจีบเราอย่างเห็นได้ชัด เราก็ตอบแค่ว่า. เราขายชีวิตเรา10ปีให้เจ้านายไปแล้ว จะทำงานให้บริษัท10ปี ห้ามแต่งงานห้ามมีลูกห้ามมีแฟน หลายคนก็เข้าไปคุยเล่นกับเจ้านายเราว่าให้เจ้านายเราอณุญาติได้มั้ย. ต้าหงโบก็จะตอบว่า.
"ฉันยอมต่อคิวรอสิบปีอยู่ๆจะมาลัดคิวกันได้ไง"

ตอนนั้นไม่ได้สนใจมากก็ร้องเพลงดื่มเหล้าดูแลเจ้านายไปตามประสา. พอตอนกลับเจ้านายเมามากคือเมาจนเดินเซต้องลากมาขึ้นรถเอากระเป๋าวางบนตักเราให้เขานอนหนุนโดยมีต้าหงโบนั่งข้างๆ  เหมือนเขาจะมองเราตลอดเวลาคราวนี้เราก็มีแอบรู้สึกแปลกๆบ้าง
ตอนแรกพวกเพื่อนเจ้านายบอกว่าจะเอาเจ้านายไปส่งบ้านก่อนแล้วไปทานโต้รุ่งกัน. แต่เจ้านายเราไม่ยอมถึงจะเมาแค่ไหนก็ลุกขึ้นมาโวยวายว่าให้ส่งเรากลับที่พักก่อนจนสุดท้ายก็ส่งเรากลับมาก่อน

พอเช้าวันต่อมาเจ้านายก็กำชับถามเราว่าได้แลกวีแชทคนพวกนั้นไว้มั้ย ซึ้งเราตอบว่าไม่ได้แลก เจ้านายก็กำชับมาอีกว่าอย่าแลกเด็จขาดคนพวกนั้นอันตรายจีบสาวเก่งวันนึงเปลี่ยนคู่นอนได้คืนละหลายคน.  ซึ้งวันนั้นเรามีงานต้องไปดูโรงงานพอดี. หลังจากคุยกับเจ้านายเสร็จก็ออกจากบริษัทกลับมาอีกทีก็ถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว. เราเดินไปที่โรงอาหารพนักงานซึ้งเจ้านายและต้าหงโบกำลังนั่งกินข้าวกันอยู่.เราเลยนั่งกินข้าวด้วยกัน.ก็คุยกันหยอกกันตามปรกติจนกระทั่งเราทักเจ้านายว่าจู้จี้บงการชีวิตเราอย่างกับเป็นพ่อคนที่สอง. เจานายเลยบอกว่า.  
   "เธอก็เรียกฉันว่าพ่อละกันอีกหน่อยพอครบสัญญา10ปีแล้วจะแต่งงานฉันและคนทั้งบริษัทจะเป็นเถ้าแก่ฝ่ายเจ้าสาวให้เอง"

พอต้าหงโบได้ยินก็ทักกลับมาว่า
"เธอเรียกเขาว่าพ่อแล้วฉันต้องเรียกเขาว่าอะไร"

ฉันที่นึกหมั่นไส้อยากแกล้งก็เลยตอบกลับไปว่า
"ก็เรียกพ่อตาสิจะรออะไร รีบคุยตกลงเรื่องสินสอดให้เสร็จๆนะ"

คราวนี้หน้าขาวๆนั้นแดงไปถึงหู ลักยิ้มสองข้างบุ้มลงไป. แม่เจ้าโว้ยผู้ชายอะไรน่ารักขนาดนี้แต่ก็ไม่ได้เกิดความคิดอกุศลอะไรทั้งสิ้นแค่ได้ใจที่ได้เอาคืนเลยรีบแหย่เพิ่มไปอีก

"หน้าแดงทำไม. แค่นี้ทำเป็นเขินคิดอะไรกับเรากันแน่"

คราวนี้ทำเอาต้าหงโบสำลักข้าวไปคำใหญ่
หลังจากวันนั้นเป็นต้นมาเราสองคนก็ชอบแซวกันอยู่เรื่อยๆ จนบางทีก็เรียกติดปากว่า ที่รักบ้างหละต่างๆนานา. คนในบริษัทเวลาเห็นต้าหงโบเดินมากับฉันก็จะยิ้มๆ บางคนก็มองแต่ไม่กล้าถาม. รวมถึงเจ้านายก็ด้วย ไม่มีใครถามมาตรงๆว่าเราเป็นอะไรกันแน่แต่เราสองคนรู้ดีว่าไม่มีอะไรกันหรอกเพราะเราบริสุทธิ์ใจล้วนๆ

บางทีเขาก็เหมือนสนใจเราชวนเราคุยชวนกินข้าวเล่าเรื่องครอบครัวให้ฟังและเหมือนออกปากชวนเราไปเที่ยวตรุษจีนที่ฉงชิ่งแต่มันก็ปรกติเพราะทั้งเจ้านายและคนในบริษัทต่างก็พากันชวนเราไปฉงชิ่ง เราไม่ได้เก็บเอารายละเอียดพวกนี้มาใส่ใจเท่าไหร่นัก

มีอยู่วันหนึ่งเราหนาวบ่นว่าหลังเลิกงานจะออกไปซื้อถุงมือแต่ทุกคนมีงานติดพันอยู่ทำให้เราต้องออกไปคนเดียว  กลายเป็นผู้จัดการแผนกขายที่ขับรถสวนมาเจอตอนเรากำลังออกไปเป็นคนเสนอตัวพาไปซื้อ.  ผู้จัดการแผนกขายค่อนข้างหล่ออายุ26พูดจาสุภาพ(แต่จริงๆกับเพื่อนสนิทแล้วไม่ใช่). เขาไม่ได้แสดงออกว่าชอบเราโดยตรงแต่สายตาของเขาสื่อออกมาแบบนั้นมาโดยตลอด. เราถือว่าตัวเองติดหนี้บุญคุญเขาครั้งหนึ่งดังนั้นจึงบอกกับเขาว่าพรุ่งนี้เย็นจะเลี้ยงข้าวเขาเป็นการตอบแทน

*ผู้จัดการแผนกขายชื่อ อวี้ชิง ถือเป็นลูกพี่ลูกน้องสายห่างๆของเจ้านายและคนนี้แหละที่เป็นจุดสำคัญของเรื่องทั้งหมด

พอเช้ามาเจ้านายทักเราเรื่องถุงมือใหม่เราเลยถือโอกาศขอเลิกงานตรงเวลา(ปรกติเลิกพร้อมเจ้านายตลอดซึ้งดึกกว่าคนอื่นมาก)เพื่อไปเลี้ยงข้าวอวี้ชิง. ต้าหงโบนั่งอยู่ด้วยก็พูดประมาณว่า
"ทำไมต้องเลี้ยง ทีสือหงโบกับจงเหยียนทำนู้นทำนี่ให้เธอเธอไม่เห็นเลี้ยงเลย"
พอเห็นเขาพูดแบบนั้นเราเลยรับปากจะเลี้ยงข้าวทุกคนแต่พอเอาเข้าจริงตอนเย็นเรานั่งดื่มชาอยู่ห้องทำงานของเจ้านายและมีต้าหงโบนั่งอยู่ด้วยพอก่อนเลิกงานเราก็ส่งข้อความให้อวี้ชิงเอาสรุปแผนการทำงานรายสัปดาห์มาให้เราที่ห้องทำงานเจ้านายแล้วจะได้ออกไปด้วยกันพออวี้ชิงมาถึงก็ทักทายต้าหงโบพูดคุยกันด้วยภาษาฉงชิ่งซึ้งฉันฟังไม่ออกแล้วจากนั้นอวี้ชิงก็เดินออกไปเราเลยตะโกนไล่หลังว่าให้รอที่หน้าบริษัทแต่พอฉันลงไปเขาก็ไม่อยู่แล้วพอโทรไปเบอร์เขาเขาก็ตอบมาว่าเขาติดงานขอกลับก่อน. ประจวบเหมาะว่าต้าหงโบเดินลงมาพอดีกลายเป็นแผนที่จะไปทานข้าวข้างนอกต้องยุติลงและกลับมาทานข้าวที่โรงอาหารบริษัทตามเดิม
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่