To ชาว Pantip และหลายๆ คน ที่ได้อ่านกระทู้นี้.
เรื่องที่เราเจอ อาจจะเป็นเรื่องเหลือเชื่อ หรืออาจจะคิดว่าเราหลอน คิดไปเอง แต่เราอยากเตือนและให้เป็นอุทาหรณ์ ว่าเรื่องพวกนี้มันเกิดขึ้นได้ เนื่องจากเรามีสติสัมปชัญญะ และรู้ตัวเองดีว่าเราเป็นอะไร ก็คือ เราเป็นคนธรรมดา คนนึง เรียนจบปริญญาตรี มหาลัยรัฐ ชื่อเสียงไม่ได้โด่งดังเท่าไหร่ และเป็นพนักงานบริษัทธรรมดาคนนึง ที่ทำงานสายงานด้านคอมพิวเตอร์ ที่ไม่ได้อยู่บริษัทที่ใหญ่โต และมั่นคง ถือว่าเปลี่ยนงานบ่อยด้วยซ้ำ แต่มีความฝัน ว่าอยากมีอะไรเป็นของตัวเอง มีความมั่นคง พัฒนาตัวเอง มีหน้าที่การงานที่เติบโต เพื่อที่จะได้อยู่บริษัทที่ดี และเติบใหญ่กว่าเดิม
สมัยเรียนจบใหม่ๆ เราเปลี่ยนงานบ่อยมาก อาจจะเนื่องมาจากเราเป็นคนที่คิดมากคนนึง พอรู้สึกไม่ดี ไม่ใช่ งานไม่ชอบ ก็ไม่อยากทำ หรือแม้กระทั่งเรื่องคน มีบ้างที่เราจะพูดเปรียบเทียบ หรือพูดถึงที่ๆ ดีกว่า ที่เราเคยอยู่ แต่ยังโชคดีที่เราได้กลับไปทำที่ๆ เราเคยฝึกงาน ตั้งแต่สมัยเรียน ที่เค้ายังให้โอกาสเราไปทำงาน แต่เราก็ยังคิดว่าที่เค้าไม่ใช่ เพราะเราต้องการอะไรที่มากกว่านี้ เนื่องจากพื้นฐานครอบครัวเราไม่ได้มีอะไรมาตั้งแต่ต้น แต่เราก็มีความสัมพันธ์ที่ดีค่อกันมาตลอด จนกระทั่ง....
เราทำงานไปสักพัก เราเริ่มอยากมีอะไรสักอย่างเป็นของตัวเอง ซึ่งถือว่าเป็นของใหญ่ชิ้นนึงเลย นั้นก็คือ” รถยนต์” แล้วเราก็ได้มาเป็นของตัวเอง ป้ายแดง มือหนึ่ง แล้วเราก็รู้ตัวเองเสมอ ว่าเรามีภาระเพิ่มขึ้นมา เราต้องตั้งใจพัฒนา ทั้งทำงานพิเศษ เสาร์ อาทิตย์ และทำงานหนัก ทำงานนอกเวลา เราก็ทำ เพราะบริษัทที่เราอยู่ตอนนั้นถือว่า เราสบายใจในระดับนึง และเราได้ทำงานที่ชอบ และได้พัฒนาตัวเองด้วย
จนกระทั่ง ผ่านไปเกือบปีกว่าๆ เพื่อนร่วมงานรุ่นน้อง ที่ทำมาด้วยกัน เริ่มทยอยออกไปหาที่ๆ ใหม่ ที่ดีกว่า เหลือเราที่คิดว่ามี ภาระ คือ รถยนต์ อยู่ เลยอยู่ต่อ และต้องหางานให้ได้ก่อนถึงจะออกได้ จะอยู่ๆ อยากออก ก็ออกเลยแบบเดิมไม่ได้แล้ว
แต่แล้ว เจ้านาย ก็ได้แจ้งแบบกระทันหันว่า จะย้ายบริษัทไปทำที่ชลบุรี แถวแหลมฉบัง โดยยกกันไปทั้งทีม และแบ่งหน้าที่ พร้อมทั้งให้เรียกเงินเดือนตามที่ต้องการ ซึ่งสำหรับเราถือว่าเยอะในระดับนึง ที่ในตอนนั้นเราจะหาได้
เราที่อยู่ที่ชลบุรีได้สักพัก บริษัทที่ทำเป็นบริษัทเล็กๆ เพิ่งเปิด เริ่มทำกันตั้งแต่เริ่มต้น ด้วยเงินเดือนที่เราถือว่าเยอะสำหรับเรา เราก็พยายามทำหน้าที่ของเราให้ดี ถึงแม้ว่างานจะไม่เป็นระบบ แบ่งหน้าที่ไม่ชัดเจน แต่ทุกคนที่ไปด้วยกันก็ตั้งใจทำ แม้จะทำจนล่วงเวลาดึกดื่นแค่ไหน
สักพัก เราอยากลองกู้บ้าน จึงได้ลองผ่อนดาวน์บ้านกับโครงการนึง ซึ่งตอนนั้นเราเคยคิดอยากหางานใหม่ แต่ก็อยากให้เรื่องกู้บ้านผ่านพ้นไปก่อน แต่แล้วเราก็กู้ได้ ก็เป็นความรู้สึกที่ทั้ง ภูมิใจ และเครียด ปะปนไปด้วยกัน เนื่องจากเราจะต้องคิดถึงอนาคตว่าหน้าที่การงาน ต่อไปจะเป็นยังไง เพราะถือว่าเราได้บ้าน 30 ปี มาอีกหลังนึง ฮ่าๆๆ
พอกู้บ้านเสร็จ... เราก็ได้เปลี่ยนงานกลับมาอยู่ที่บ้าน (ที่เดิมก่อนย้ายไปชลบุรี) ซึ่งได้อยู่กับพ่อแม่ และคิดว่าจะย้ายไปอยู่บ้านใหม่ด้วยกัน แต่ในช่วงนั้น เรารู้สึกเหมือนเป็น โรคเครียด เพราะเรากินข้าวไม่ได้เลย แถมยังรู้สึกกังวล หดหู่ใจ มีอาการไม่มั่นใจในตัวเองมาก เราพยายามศึกษาอาการเรา โดยดูจากเน็ต หาวิธี ออกกกำลังกาย จนกระทั่ง...
เราได้งานใหม่ที่นึง เงินเดือนถือว่าโอเค แต่บริษัทจะเข้มงวดนิดนึง อาจจะเพราะมีแต่ผู้หญิง ฮ่าๆ แต่ที่นี่แปลกๆ อย่างนึง (ขอไม่พูดถึงนะคะ) แต่เราไม่ได้สนใจ เพราะเรากะไปทำงาน เพื่อที่จะปลดหนี้ ที่เรามีอย่างเดียว (เราเชื่อ ว่าพนักงานเงินเดือน คนอื่น ต้องมีคนที่คิดเหมือนเรา) เราก็พยายามปรับตัว เพื่อให้เข้ากับเค้าได้ อย่างน้อยก็จะได้ทำงานร่วมกันได้ ถึงจะเป็นคนละตำแหน่งก็ตามเถอะ
แต่แล้ว เราก็ทำได้แค่ 4 เดือน เราก็ลาออกคะ ช่วงนั้นก็ว่างงาน ก็เลยหาอะไรทำ ออกกำลังกายบ้าง ไปวิ่งมาราธอน ทำอะไรที่ตัวเองอยากทำ เพราะคิดว่าตัวเองเป็นโรคเครียด อาจจะถึงกับโรคซึมเศร้า ซึ่งเราเคยไปหาหมอมาแล้ว เป็นโรคซึมเศร้าจริงๆคะ
สักพัก.. เราก็ได้งานใหม่ เป็นบริษัทที่ใหญ่ที่นึง ที่เราเคยทำ สวัสดิการดี แต่มันมีเรื่องแปลกๆ (อีกแล้ว) คือเราเป็นพนักงานใหม่ ที่ไม่รู้จักใครเลย ย้ำนะคะ!! ไม่รู้จักใครเลย ที่ไปแนะนำตัวให้แต่ละแผนกรู้จัก พอเราทำงานได้ 2-3 วัน ก็เริ่มมีคนพูดถึงเรื่องบางเรื่อง ซึ่งเรายอมรับว่า งานเราเป็นงานที่ต้องใช้ความคิด และสมาธิ บางทีเราก็ไม่ตั้งใจฟัง แต่เหมือนเพื่อนร่วมงาน อยากให้เรารับรู้ ซึ่งบางคนเราพอเดาออกว่าใคร (ขอท้าวความก่อนนะคะ ช่วงว่างงาน เราไปวิ่งที่สวนสาธารณะ เราก็รู้สึกเหมือนมีคนพยายามพูดถึงเรื่องเรา เรื่องคนใกล้ตัวเรา เหมือนที่เพื่อนร่วมงานที่ใหม่เราทำ) ซึ่งโดยส่วนตัวเราเป็นคนที่ไม่สนใจใครอยู่แล้วคะ จะเป็นคนเอ๋อๆ สะด้วยซ้ำ ถ้ามีคนพูดกระทบกระทั่ง หรืออะไร แต่นี่เหมือนเค้าพยายามให้เรารับรู้ เรื่องเพื่อน ตั้งแต่ ประถม มัธยม มหาลัย แม้กระทั่งคนใกล้ตัว เพื่อนร่วมงานที่เก่า แทบทุกที่ ที่บางคนแทบไม่เคยได้คุย หรือไม่ได้สำคัญในชีวิตเลย ซึ่งมีแต่เรื่อง”อุบาท”อะคะ แต่เราก็ทำตัวปกติ ธรรมดานะคะ ทำเหมือนไม่มีไรเกิดขึ้น จะว่าเราโง่ก็ได้นะ ฮ่าๆ แต่เราก็ปรับตัวเข้ากับเค้า นั่งกินข้าวด้วยกัน มีนัดกันไปเที่ยว พูดหยอกล้อกัน แต่เรารู้สึกถึงความไม่ปกติอยู่แล้วคะ เพราะเราเคยเจอที่อื่นข้างนอก นอกจากในบริษัทด้วยคะ ซึ่งใจนึงก็ตลก อีกใจก็เครียด จนถึงขั้นรำคาญเลยคะ!! แล้วบางทีเหมือนไม่พอใจอะไร ก็มาพูดใส่เรา (เราถึงกับเรียกไปต่อยก็ไม่ไป ฮ่าๆ โหมดรุนแรงเริ่มมาแล้ว) ซึ่งเราก็ได้แต่อโหสิ กลับมาบ้านก็มีเสียงบึ้นรถ ทั้งที่ซอยเราไม่เคยมีมาก่อน แถมมีเสียงพูดเอะอะโวยวาย เราทนทำได้ 10 เดือน เราขอบายเลยคะ ฝ่ายบุคคลขึ้นเงินเดือนให้ก็ไม่เอา เสียสุขภาพจิตมาก แถมตอนนี้ซอยบ้านเริ่มเงียบขึ้นมากคะ
คือ เราอยากจะบอกว่า เรื่องที่เกิดขึ้นมันมีผลกระทบกับเรามาก เนื่องจากฐานะทางบ้านเราก็ไม่ได้ดีตั้งแต่แรก อาจจะใช่ ที่ชาตินี้เราเกิดมา อาจจะดีกว่าหลายคนมาก ก็เลยต้องให้เราเจอเรื่องสกปรกแบบนี้บ้าง เราแค่อยากจะมีอะไรเป็นของตัวเอง มีรถ มีบ้าน แต่ตอนนี้ ความภูมิใจ คืออะไร เรายังหาไม่เจอเลยคะ เราไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน หรือไปรบกวน หรือไปขอยืมเงินใคร ทำไมคน “ที่นี่” เค้าถึงรับไม่ได้คะ เรายอมรับ ว่าเรามีรถ มีบ้าน ก็คือ เราเหมือนมีหนี้ ซึ่งพ่อกับแม่เรา แก่แล้ว เราเลยต้องพยามยาม ทำอะไรด้วยตัวเอง เราไม่สามารถพึ่งพาท่านได้เสมอไปคะ เราอยากบอกว่าสิ่งที่ทำมันเป็นวิธีที่สกปรกมาก ทำไมมีอะไร ไม่มาคุยกับเราต่อหน้า ทำไมต้องให้เราเจอสิ่งสกปรก หรือใช้วิธีสกปรก กับเราด้วยคะ ถึงเรากินยาตายให้ เรื่องนี้ก็ไม่จบหรอกคะ และตอนนี้พวกเค้าก็คงสมหวังกับสิ่งที่ทำให้เห็นได้จริงแล้ว....
From ทอมตัวเล็กๆ คนนึง ที่มักได้ยินเสมอ “ปีนขึ้นไปได้ไง ตัวเล็กนิดเดียว”
My Diary (What goes around, comes around.)
เรื่องที่เราเจอ อาจจะเป็นเรื่องเหลือเชื่อ หรืออาจจะคิดว่าเราหลอน คิดไปเอง แต่เราอยากเตือนและให้เป็นอุทาหรณ์ ว่าเรื่องพวกนี้มันเกิดขึ้นได้ เนื่องจากเรามีสติสัมปชัญญะ และรู้ตัวเองดีว่าเราเป็นอะไร ก็คือ เราเป็นคนธรรมดา คนนึง เรียนจบปริญญาตรี มหาลัยรัฐ ชื่อเสียงไม่ได้โด่งดังเท่าไหร่ และเป็นพนักงานบริษัทธรรมดาคนนึง ที่ทำงานสายงานด้านคอมพิวเตอร์ ที่ไม่ได้อยู่บริษัทที่ใหญ่โต และมั่นคง ถือว่าเปลี่ยนงานบ่อยด้วยซ้ำ แต่มีความฝัน ว่าอยากมีอะไรเป็นของตัวเอง มีความมั่นคง พัฒนาตัวเอง มีหน้าที่การงานที่เติบโต เพื่อที่จะได้อยู่บริษัทที่ดี และเติบใหญ่กว่าเดิม
สมัยเรียนจบใหม่ๆ เราเปลี่ยนงานบ่อยมาก อาจจะเนื่องมาจากเราเป็นคนที่คิดมากคนนึง พอรู้สึกไม่ดี ไม่ใช่ งานไม่ชอบ ก็ไม่อยากทำ หรือแม้กระทั่งเรื่องคน มีบ้างที่เราจะพูดเปรียบเทียบ หรือพูดถึงที่ๆ ดีกว่า ที่เราเคยอยู่ แต่ยังโชคดีที่เราได้กลับไปทำที่ๆ เราเคยฝึกงาน ตั้งแต่สมัยเรียน ที่เค้ายังให้โอกาสเราไปทำงาน แต่เราก็ยังคิดว่าที่เค้าไม่ใช่ เพราะเราต้องการอะไรที่มากกว่านี้ เนื่องจากพื้นฐานครอบครัวเราไม่ได้มีอะไรมาตั้งแต่ต้น แต่เราก็มีความสัมพันธ์ที่ดีค่อกันมาตลอด จนกระทั่ง....
เราทำงานไปสักพัก เราเริ่มอยากมีอะไรสักอย่างเป็นของตัวเอง ซึ่งถือว่าเป็นของใหญ่ชิ้นนึงเลย นั้นก็คือ” รถยนต์” แล้วเราก็ได้มาเป็นของตัวเอง ป้ายแดง มือหนึ่ง แล้วเราก็รู้ตัวเองเสมอ ว่าเรามีภาระเพิ่มขึ้นมา เราต้องตั้งใจพัฒนา ทั้งทำงานพิเศษ เสาร์ อาทิตย์ และทำงานหนัก ทำงานนอกเวลา เราก็ทำ เพราะบริษัทที่เราอยู่ตอนนั้นถือว่า เราสบายใจในระดับนึง และเราได้ทำงานที่ชอบ และได้พัฒนาตัวเองด้วย
จนกระทั่ง ผ่านไปเกือบปีกว่าๆ เพื่อนร่วมงานรุ่นน้อง ที่ทำมาด้วยกัน เริ่มทยอยออกไปหาที่ๆ ใหม่ ที่ดีกว่า เหลือเราที่คิดว่ามี ภาระ คือ รถยนต์ อยู่ เลยอยู่ต่อ และต้องหางานให้ได้ก่อนถึงจะออกได้ จะอยู่ๆ อยากออก ก็ออกเลยแบบเดิมไม่ได้แล้ว
แต่แล้ว เจ้านาย ก็ได้แจ้งแบบกระทันหันว่า จะย้ายบริษัทไปทำที่ชลบุรี แถวแหลมฉบัง โดยยกกันไปทั้งทีม และแบ่งหน้าที่ พร้อมทั้งให้เรียกเงินเดือนตามที่ต้องการ ซึ่งสำหรับเราถือว่าเยอะในระดับนึง ที่ในตอนนั้นเราจะหาได้
เราที่อยู่ที่ชลบุรีได้สักพัก บริษัทที่ทำเป็นบริษัทเล็กๆ เพิ่งเปิด เริ่มทำกันตั้งแต่เริ่มต้น ด้วยเงินเดือนที่เราถือว่าเยอะสำหรับเรา เราก็พยายามทำหน้าที่ของเราให้ดี ถึงแม้ว่างานจะไม่เป็นระบบ แบ่งหน้าที่ไม่ชัดเจน แต่ทุกคนที่ไปด้วยกันก็ตั้งใจทำ แม้จะทำจนล่วงเวลาดึกดื่นแค่ไหน
สักพัก เราอยากลองกู้บ้าน จึงได้ลองผ่อนดาวน์บ้านกับโครงการนึง ซึ่งตอนนั้นเราเคยคิดอยากหางานใหม่ แต่ก็อยากให้เรื่องกู้บ้านผ่านพ้นไปก่อน แต่แล้วเราก็กู้ได้ ก็เป็นความรู้สึกที่ทั้ง ภูมิใจ และเครียด ปะปนไปด้วยกัน เนื่องจากเราจะต้องคิดถึงอนาคตว่าหน้าที่การงาน ต่อไปจะเป็นยังไง เพราะถือว่าเราได้บ้าน 30 ปี มาอีกหลังนึง ฮ่าๆๆ
พอกู้บ้านเสร็จ... เราก็ได้เปลี่ยนงานกลับมาอยู่ที่บ้าน (ที่เดิมก่อนย้ายไปชลบุรี) ซึ่งได้อยู่กับพ่อแม่ และคิดว่าจะย้ายไปอยู่บ้านใหม่ด้วยกัน แต่ในช่วงนั้น เรารู้สึกเหมือนเป็น โรคเครียด เพราะเรากินข้าวไม่ได้เลย แถมยังรู้สึกกังวล หดหู่ใจ มีอาการไม่มั่นใจในตัวเองมาก เราพยายามศึกษาอาการเรา โดยดูจากเน็ต หาวิธี ออกกกำลังกาย จนกระทั่ง...
เราได้งานใหม่ที่นึง เงินเดือนถือว่าโอเค แต่บริษัทจะเข้มงวดนิดนึง อาจจะเพราะมีแต่ผู้หญิง ฮ่าๆ แต่ที่นี่แปลกๆ อย่างนึง (ขอไม่พูดถึงนะคะ) แต่เราไม่ได้สนใจ เพราะเรากะไปทำงาน เพื่อที่จะปลดหนี้ ที่เรามีอย่างเดียว (เราเชื่อ ว่าพนักงานเงินเดือน คนอื่น ต้องมีคนที่คิดเหมือนเรา) เราก็พยายามปรับตัว เพื่อให้เข้ากับเค้าได้ อย่างน้อยก็จะได้ทำงานร่วมกันได้ ถึงจะเป็นคนละตำแหน่งก็ตามเถอะ
แต่แล้ว เราก็ทำได้แค่ 4 เดือน เราก็ลาออกคะ ช่วงนั้นก็ว่างงาน ก็เลยหาอะไรทำ ออกกำลังกายบ้าง ไปวิ่งมาราธอน ทำอะไรที่ตัวเองอยากทำ เพราะคิดว่าตัวเองเป็นโรคเครียด อาจจะถึงกับโรคซึมเศร้า ซึ่งเราเคยไปหาหมอมาแล้ว เป็นโรคซึมเศร้าจริงๆคะ
สักพัก.. เราก็ได้งานใหม่ เป็นบริษัทที่ใหญ่ที่นึง ที่เราเคยทำ สวัสดิการดี แต่มันมีเรื่องแปลกๆ (อีกแล้ว) คือเราเป็นพนักงานใหม่ ที่ไม่รู้จักใครเลย ย้ำนะคะ!! ไม่รู้จักใครเลย ที่ไปแนะนำตัวให้แต่ละแผนกรู้จัก พอเราทำงานได้ 2-3 วัน ก็เริ่มมีคนพูดถึงเรื่องบางเรื่อง ซึ่งเรายอมรับว่า งานเราเป็นงานที่ต้องใช้ความคิด และสมาธิ บางทีเราก็ไม่ตั้งใจฟัง แต่เหมือนเพื่อนร่วมงาน อยากให้เรารับรู้ ซึ่งบางคนเราพอเดาออกว่าใคร (ขอท้าวความก่อนนะคะ ช่วงว่างงาน เราไปวิ่งที่สวนสาธารณะ เราก็รู้สึกเหมือนมีคนพยายามพูดถึงเรื่องเรา เรื่องคนใกล้ตัวเรา เหมือนที่เพื่อนร่วมงานที่ใหม่เราทำ) ซึ่งโดยส่วนตัวเราเป็นคนที่ไม่สนใจใครอยู่แล้วคะ จะเป็นคนเอ๋อๆ สะด้วยซ้ำ ถ้ามีคนพูดกระทบกระทั่ง หรืออะไร แต่นี่เหมือนเค้าพยายามให้เรารับรู้ เรื่องเพื่อน ตั้งแต่ ประถม มัธยม มหาลัย แม้กระทั่งคนใกล้ตัว เพื่อนร่วมงานที่เก่า แทบทุกที่ ที่บางคนแทบไม่เคยได้คุย หรือไม่ได้สำคัญในชีวิตเลย ซึ่งมีแต่เรื่อง”อุบาท”อะคะ แต่เราก็ทำตัวปกติ ธรรมดานะคะ ทำเหมือนไม่มีไรเกิดขึ้น จะว่าเราโง่ก็ได้นะ ฮ่าๆ แต่เราก็ปรับตัวเข้ากับเค้า นั่งกินข้าวด้วยกัน มีนัดกันไปเที่ยว พูดหยอกล้อกัน แต่เรารู้สึกถึงความไม่ปกติอยู่แล้วคะ เพราะเราเคยเจอที่อื่นข้างนอก นอกจากในบริษัทด้วยคะ ซึ่งใจนึงก็ตลก อีกใจก็เครียด จนถึงขั้นรำคาญเลยคะ!! แล้วบางทีเหมือนไม่พอใจอะไร ก็มาพูดใส่เรา (เราถึงกับเรียกไปต่อยก็ไม่ไป ฮ่าๆ โหมดรุนแรงเริ่มมาแล้ว) ซึ่งเราก็ได้แต่อโหสิ กลับมาบ้านก็มีเสียงบึ้นรถ ทั้งที่ซอยเราไม่เคยมีมาก่อน แถมมีเสียงพูดเอะอะโวยวาย เราทนทำได้ 10 เดือน เราขอบายเลยคะ ฝ่ายบุคคลขึ้นเงินเดือนให้ก็ไม่เอา เสียสุขภาพจิตมาก แถมตอนนี้ซอยบ้านเริ่มเงียบขึ้นมากคะ
คือ เราอยากจะบอกว่า เรื่องที่เกิดขึ้นมันมีผลกระทบกับเรามาก เนื่องจากฐานะทางบ้านเราก็ไม่ได้ดีตั้งแต่แรก อาจจะใช่ ที่ชาตินี้เราเกิดมา อาจจะดีกว่าหลายคนมาก ก็เลยต้องให้เราเจอเรื่องสกปรกแบบนี้บ้าง เราแค่อยากจะมีอะไรเป็นของตัวเอง มีรถ มีบ้าน แต่ตอนนี้ ความภูมิใจ คืออะไร เรายังหาไม่เจอเลยคะ เราไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน หรือไปรบกวน หรือไปขอยืมเงินใคร ทำไมคน “ที่นี่” เค้าถึงรับไม่ได้คะ เรายอมรับ ว่าเรามีรถ มีบ้าน ก็คือ เราเหมือนมีหนี้ ซึ่งพ่อกับแม่เรา แก่แล้ว เราเลยต้องพยามยาม ทำอะไรด้วยตัวเอง เราไม่สามารถพึ่งพาท่านได้เสมอไปคะ เราอยากบอกว่าสิ่งที่ทำมันเป็นวิธีที่สกปรกมาก ทำไมมีอะไร ไม่มาคุยกับเราต่อหน้า ทำไมต้องให้เราเจอสิ่งสกปรก หรือใช้วิธีสกปรก กับเราด้วยคะ ถึงเรากินยาตายให้ เรื่องนี้ก็ไม่จบหรอกคะ และตอนนี้พวกเค้าก็คงสมหวังกับสิ่งที่ทำให้เห็นได้จริงแล้ว....
From ทอมตัวเล็กๆ คนนึง ที่มักได้ยินเสมอ “ปีนขึ้นไปได้ไง ตัวเล็กนิดเดียว”