ผู้หยั่งรู้ดวงดาว ๒๖ ม.ค.๖๑

บันทึกของคนเดินเท้า

ผู้หยั่งรู้ดวงดาว

เทพารักษ์

วิชาโหราศาสตร์นี้ ได้มีอยู่คู่กับบ้านเมืองมานานหนักหนาแล้ว นับถอยหลังไปเมื่อประมาณ พ.ศ.๒๑๘๖ แผ่นดินสมเด็จพระเจ้าปราสาททองแห่งกรุงศรีอยุธยา เป็นปีมะแม พระโหรา ท่านหนึ่งมีความสามารถที่จะทำนายทายทักได้อย่างแม่นยำ

วันหนึ่งสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทอดพระเนตรเห็นหนูตัวหนึ่ง ตกลงมาจากเพดานพระที่นั่งไพชยนมหาปราสาท จึงทรงเอาขันทองครอบไว้ แล้วให้พระโหรามาทาย พระโหรา คำนวณแล้วทูลว่าสัตว์สี่เท้า ทรงพระกรุณาตรัสว่ากี่ตัว พระโหราทูลว่าสี่ตัว เมื่อเปิดขันที่ครอบอยู่ ก็มีลูกหนูคลานอยู่สามตัว กับแม่ตัวหนึ่งรวมเป็นสี่ตัว ตามคำทำนายของพระโหรา

จึงทรงสรรเสริญว่า ดูแม่นกว่าตาเห็นเสียอีก

ต่อมาได้พยากรณ์ว่าจะเกิดเพลิงไหม้ในมหาราชวังภายในสามวันนี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงตรัสให้ขนของในพระราชวัง ออกมาไว้ที่วัดชัยวัฒนาราม และในพระราชวังนั้นก็ได้เกณฑ์ไพร่สม พร้อมด้วยพร้าขอตะกร้อน้ำ คอยระวังเหตุการณ์ อีกทั้งห้ามมิให้หุงข้าวในเขตพระราชวัง แล้วให้เรือตำรวจคอยบอกเหตุทุกทุ่มโมง

คอยอยู่สามวันจนถึงเวลาเย็น สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จลงประทับ ณ เรือกิ่งเพื่อจะเสด็จกลับพระราชวัง พระโหราก็ทูลว่าขอให้ย่ำฆ้องค่ำก่อน จึงจะสิ้นพระเคราะห์ สมเด็จพระเจ้า อยู่หัวก็ให้ลอยเรืออยู่จนเกือบค่ำ เกิดเมฆตั้งพยับคลุ้มขึ้น แล้วฝนก็ลงเม็ดปรอยๆ ทรงพระกรุณาตรัสแก่พระโหราว่า ฝนตกลงมาแล้วเห็นจะสิ้นเหตุละกระมัง

แต่พระโหราก็ทูลว่าขอให้งดไว้ก่อน พอสิ้นคำสายฟ้าก็ฟาดเปรี้ยงลงมาต้องยอดพระมหาปราสาท เป็นเพลิงติดพลุ่งโพลงขึ้น และไม่สามารถจะดับได้ เพราะดีบุกที่ดาดหลังคานั้น ละลายไหลรดลงมาดั่งห่าฝน เพลิงได้ไหม้ลามไปถึงห้องคลังเรือนหลัง ถึงร้อยเรือนจึงดับได้

น่าเสียดายที่ในพงศาวดารไม่ได้บันทึกชื่อของพระโหราธิบดีท่านนี้ไว้ให้ปรากฎ

ย้อนหลังไปอีกนาน ประมาณ พ.ศ.๗๖๑ ในเมืองจีนยุคสามก๊ก มีหมอดูคนหนึ่งเป็นชาวเพงง้วนก๋วน มีความสามารถทำนายทายทักเก่งมาก เจ้าเมืองเคยลองความรู้โดยเอาตราประจำตำแหน่งออกเสียจากหีบ แล้วเอาขนไก่ใส่ไว้แทน ให้ทายว่าสิ่งใดอยู่ในหีบ หมอดูก็ว่ามีขนไก่แดงเท่านั้น ขนไก่ดำเท่านั้น ขนไก่ขาวเท่านั้น

เมื่อเปิดหีบออกแล้วนับดู ก็มีจำนวนตรงกับที่ทำนายนั้น เจ้าเมืองนับถือมาก จึงตั้งให้เป็นที่ปรึกษา

ต่อมาโจโฉมหาอุปราชของพระเจ้าเหี้ยนเต้ล้มป่วยลง ได้ยินกิติศัพท์จึงห้คนไปตามตัวมา และให้ดูชะตาของตนว่าดีร้ายหนักเบาอย่างไร หมอดูก็ทำนายว่าที่ป่วยนี้อย่าวิตกเลยหาเป็นไรไม่ เมื่อโจโฉหายป่วยตามคำก็จะตั้งให้เป็นโหรประจำตัว หมอก็ปฏิเสธว่าข้าพเจ้านี้บุญน้อยนัก อันจะอยู่ในเมืองหลวงบังคับผู้คนนั้นไม่ได้

โจโฉก็ให้ดู ชะตาราศีของตนว่าจะมีบุญขึ้นอีกหรือไม่ หมอก็ว่า ท่านมีบุญเป็นถึงพระเจ้าวุยอ๋อง เสมอพระเจ้าเหี้ยนเต้อยู่แล้ว ซึ่งจะให้ดูต่อไปนั้นเห็นจะสิ้นตำรา โจโฉก็ชอบใจเป็นอันมาก และให้พักอยู่ที่ฮูโต๋เมืองหลวง

ครั้นได้ข่าวว่า เล่าปี่จะยกทัพมาตีเมืองฮันต๋ง โจโฉก็สั่งให้จัดเตรียมทหารจะยกไปช่วย โหรผู้นี้ก็ทักท้วงว่าจะยกทัพไปเวลานี้ไม่ได้ เพราะถึงเทศกาลปีใหม่เมืองฮูโต๋จะเกิดเพลิงใหญ่หลวงนัก โจโฉก็ให้โจหองยกทหารห้าหมื่นไปช่วยรักษาเมืองฮันต๋งไว้ให้มั่นคง แล้วให้อองปิดคุมทหารรักษาเมืองฮูโต๋ กับให้แฮหัวตุ้นคุมทหารคอยส่งข่าวสารระหว่างเมืองฮูโต๋กับเมืองเงียบกุ๋น ซึ่งตนได้สร้างปราสาทไว้เป็นที่พำนัก

พอถึงเดือนสามเข้าปีใหม่ เกงจี อุยหลง กิมหัน ขุนนางที่จงรักภักดีต่อ พระเจ้าเหี้ยนเต้ ก็คบคิดกันจะก่อการจลาจลขึ้นในเมืองหลวงโดยชักชวนให้ เกียดเมา เกียดบก บุตรชายของ เกียดเป๋ง หมอหลวงที่ถูกโจโฉฆ่าตายอย่างทารุณ ให้พาพรรคพวกเข้าโจมตีบ้านของอองปิด ผู้รักษาพระนคร โดยนัดหมายจะลงมือกันในวันขึ้นสิบห้าค่ำ

ครั้นถึงกำหนดเวลากลางคืนชาวเมืองจุดโคมรุ่งเรืองทุกตำบล ขุนนางใหญ่น้อยราษฎรชายหญิงทั้งปวง เที่ยวเล่นกระจับปี่สีซอ เป็นการมหรสพแน่นไปทั่วเมือง ผู้ว่าราชการก็ให้แต่งโต๊ะเลี้ยงทหารอยู่ในจวน ฝ่ายผู้ก่อความไม่สงบก็ลงมือทำตามแผน โดยจุดเพลิงขึ้นในที่ต่าง ๆ แล้วรวบรวมทหารชาวเมืองและขุนนาง ที่จงรักภักดีต่อพระเจ้าเหี้ยนเต้เป็นจำนวนมาก เข้าโจมตีจวนผู้รักษาพระนคร อองปิดก็เข้าต่อสู้อย่างเข้มแข็ง จนได้รับบาดเจ็บสาหัส ฝ่ายพระเจ้าเหี้ยนเต้ ก็หลบหลีกหนีเพลิง อยู่ในพระราชวัง เสียงผู้คนทั้งปวงร้องประกาศอื้ออึงทั้งเมืองว่า เราจะกำจัดพวกศัตรูแผ่นดินเสีย จะบำรุงพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้อยู่เย็นเป็นสุข

ฝ่ายผู้ก่อการไม่สงบเกือบจะยึดเมืองฮูโต๋ได้สำเร็จแล้ว แต่แฮหัวตุ้นได้ยกทหารสามหมื่นเข้ามาระงับเหตุในเมืองหลวง โดยแบ่งออกเป็นสองกอง พวกหนึ่งให้ช่วยกันดับไฟ อีกพวกหนึ่งเข้าปราบปรามผู้ก่อความไม่สงบ เกิดการรบพุ่งฆ่าฟันกันเป็นโกลาหลอลหม่าน ล้มตายลงไปเป็นอันมาก ฝ่ายทหารของแฮหัวตุ้นชำนาญการรบกว่าก็ได้รับชัยชนะ กิมหัน เกียดเมาและเกียดบกถูกฆ่าตาย อุยเหลงกับเกงจี ถูกจับตัวไว้ได้ เมื่อสอบสวนแล้วแฮหัวตุ้นก็ให้ทหาร ไปคุมครอบครัวของฝ่ายก่อการไม่สงบ มาจำขังไว้ทั้งสิ้น แล้วให้ม้าใช้ถือหนังสือไปแจ้งแก่พระเจ้าวุยอ๋องหรือโจโฉที่เมืองเงียบกุ๋น

โจโฉก็สั่งให้ประหารชีวิตผู้ที่จับมาเสียทั้งหมด แต่ให้ส่งตัวขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยในเมืองฮูโต๋ ไปพิจารณาคดีที่เมืองเงียบกุ๋น โจโฉก็ให้เอาธงแดงและธงขาว ปักไว้ในสนามไกลกันประมาณสิบเส้นแล้วประกาศว่า เมื่ออ้ายเหล่าร้ายห้าคนคบคิดกันเผาเมืองนั้น ขุนนางผู้ใดได้ไปช่วยดับเพลิงให้ไปอยู่ข้างธงแดง ผู้ซึ่งมิได้ไปช่วยดับเพลิงนั้นให้ไปอยู่ข้างธงขาว ขุนนางคิดว่าโจโฉจะเอาโทษ พวกที่มิได้ไปช่วยดับเพลิง จึงพากันไปอยู่ทางธงแดงถึงสามในสี่ส่วน แต่ขุนนางที่มีใจสัตย์ซื่อ ไม่ได้มาช่วยดับเพลิงนั้นเข้าไปอยู่ทางธงขาวเพียงส่วนเดียว

โจโฉก็ว่าบรรดาผู้ที่ไปช่วยดับเพลิงนั้น มิได้ไปโดยสุจริตหวังจะไปเข้าด้วยอ้ายพวกขบถ แล้วจะบรรจบกันมาทำร้ายเรา ให้เอาตัวขุนนางซึ่งอยู่ฝ่ายธงแดง ไปฆ่าเสียที่ริมแม่น้ำ เจียงโหประมาณสามร้อยคน ส่วนขุนนางที่ไปอยู่ทางฝ่ายธงขาว ให้ปูนบำเหน็จตามสมควร

แล้วให้จัดทองเงินและสิ่งของ เป็นรางวัลแก่โหรซึ่งทำนายได้แม่นยำนัก แต่ท่านคำนับแล้วถ่อมตนว่า ตัวข้าพเจ้ารักเที่ยวอยู่ในถ้ำในป่าเขา จะเอาเงินทองไปนั้นหาต้องการไม่ ท่านจงเอาไว้แจกทแกล้วทหารเถิด

ท่านโหราจารย์ผู้นี้มีชื่อว่า กวนลอ

##########
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่