บันทึกการเดินทาง #เขาช้างเผือก
"ลูกหาบ" อีกหนึ่งอาชีพที่จำเป็นสำหรับนักท่องเที่ยว และผู้หลงไหลในการปีนเขา ซึ่งสามารถพบเห็นได้ตามแหล่งท่องเที่ยวที่สามารถเดินเท้าขึ้นไปสัมผัสธรรมชาติบนยอดภู และเป็นอาชีพที่สร้างรายได้ให้คนในชุมชน แต่จะมีงานให้ทำเฉพาะหน้าท่องเที่ยวเท่านั้น เช่นเขาช้างเผือก เปิดให้ขึ้นเขาได้ในช่วงเดือนพ.ย. และจะปิดให้ขึ้นชมเขาในช่วงเดือน ม.ค.-เดือน ก.พ. หรือตามที่อุธยานกำหนด
จากการปีนเขาช้างเผือกในครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกที่มีโอกาสได้เห็นอีกหนึ่งอาชีพที่มีความน่าสนใจ ซึ่งปกติอาชีพนี้ส่วนมากเราอาจจะเคยพบลูกหาบผู้ชาย หลากหลายช่วงอายุ เพราะถือว่าเป็นงานที่หนัก และต้องใช้ความทดทนสูง
ระยะทางกว่า 8 กิโลเมตร ในการปีนเขาช้างเผือกในครั้งนี้ ตลอดเส้นทางผมได้พบเจอกับสิ่งแปลกใหม่ มุมมองที่ไม่เคยได้พบเห็น ถือเป็นเสน่ห์ที่ทำให้ผมหลงไหลในการท่องเที่ยว ในขณะที่หยุดพัก ดื่มน้ำและหลบแดด สายตาก็ไปสะดุดกับผู้หญิงสูงวัยท่านหนึ่ง ที่ทำอาชีพลูกหาบ หลังจากที่ได้ทักทายและสอบถามกับป้าท่านนี้ ทำให้ผมตกใจหนักขึ้นไปอีกเมื่อรู้ว่าป้าอายุ 50 กว่าแล้ว และน้ำหนักของที่แบกบนหลังต้องไม่ต่ำกว่า 30 กิโลกรัม ซึ่งเป็นน้ำหนักขั้นต่ำของลูกหาบที่เขาช้างเผือกนี้ เมื่อเทียบกับของผมแค่15กิโลกรัม บอกเลยว่าหลังแทบหัก เพราะระยะทางชันและหวาดเสียวมาก ถ้าพลาดแม้แต่เสี้ยววินาที นั่นหมายถึงชีวิต
เนื่องจากคนในพื้นที่นี้ส่วนใหญ่จะเป็นชาวเขา และภาษาที่สื่อสารกันเป็นภาษากลาง รู้สึกได้เลยว่าป้าน่าจะเขิน หรือไม่สะดวกอะไรสักอย่าง จึงยังมีคำถามที่ยังค้างในใจผมอีกหลายอย่าง แล้วป้าก็เดินจากไป มุ่งหน้าสู่ยอดเขาช้างเผือกตามจุดมุ่งหมายเพื่อส่งของให้กับลูกกลุ่มของป้า ต้องบอกก่อนว่าผมเองไม่ได้เป็นคนดีมากมายอะไร แต่ทุกครั้งที่เห็นคนที่กำลังลำบาก หรือคนแก่จะเกิดความสงสารและคิดไปต่างๆนานาตามประสา (555+)
จุดมุ่งหมายจากทั้งหมดทั้งมวลที่ผมเล่ามาคือ เพื่อเตือนสติตัวเอง และอยากบอกต่อเพื่อเป็นประโยชน์กับคนอื่นๆว่าในทุกๆที่ที่เราไป นอกเหนือจากการท่องเที่ยวเพื่อพักผ่อน เพื่อหนีความวุ่นวาย หรือเพื่อสนองความต้องการของเราเอง เราจะได้ประสบการณ์แปลกใหม่ ทำให้เราได้เรียนรู้ บางครั้งสามารถเปลี่ยนความคิดที่ผิดๆของเราได้เลย หลังจากจบทริปนี้ ทำให้ผมได้มองย้อนกลับไปว่า "ยังมีอีกหลายคนที่ลำบากกว่าเรา ในวันนี้ที่เราคิดว่าแย่ที่สุด อาจจะมีอีกหลายคนที่แย่กว่าเรา
"มองคนที่อยู่ต่ำกว่าเผื่อเป็นกำลังใจไม่ใช่ดูถูก มองคนที่อยู่สูงกว่าเผื่อเป็นแรงบันดาลใจไม่ใช่อิจฉา" ถ้าวันหนึ่งเราสามารถก้าวผ่านจุดที่แย่ที่สุดได้ เมื่อเราคิดย้อนกลับมา จะทำให้เราเป็นคนที่เข้มแข็ง ทุกสถานะการณ์เราสามารถรับมือ และผ่านมันไปได้ ด้วยการเผื่อใจ และการปล่อยวาง เสียใจได้และต้องเข้มแข็งเป็น
"การท่องเที่ยวไม่ได้ไร้สาระเสมอไป อยู่ที่ใครจะมอง"
(ขอบคุณทุกท่านที่เสียสละเวลาอ่านจนจบครับ)
Tum
24/01/2561
บันทึกการเดินทางพิชิตเขาช้างเผือก "ลูกหาบ" อาชีพที่เปิดมุมมองความคิดใหม่ๆให้กับผม
บันทึกการเดินทาง #เขาช้างเผือก
"ลูกหาบ" อีกหนึ่งอาชีพที่จำเป็นสำหรับนักท่องเที่ยว และผู้หลงไหลในการปีนเขา ซึ่งสามารถพบเห็นได้ตามแหล่งท่องเที่ยวที่สามารถเดินเท้าขึ้นไปสัมผัสธรรมชาติบนยอดภู และเป็นอาชีพที่สร้างรายได้ให้คนในชุมชน แต่จะมีงานให้ทำเฉพาะหน้าท่องเที่ยวเท่านั้น เช่นเขาช้างเผือก เปิดให้ขึ้นเขาได้ในช่วงเดือนพ.ย. และจะปิดให้ขึ้นชมเขาในช่วงเดือน ม.ค.-เดือน ก.พ. หรือตามที่อุธยานกำหนด
จากการปีนเขาช้างเผือกในครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกที่มีโอกาสได้เห็นอีกหนึ่งอาชีพที่มีความน่าสนใจ ซึ่งปกติอาชีพนี้ส่วนมากเราอาจจะเคยพบลูกหาบผู้ชาย หลากหลายช่วงอายุ เพราะถือว่าเป็นงานที่หนัก และต้องใช้ความทดทนสูง
ระยะทางกว่า 8 กิโลเมตร ในการปีนเขาช้างเผือกในครั้งนี้ ตลอดเส้นทางผมได้พบเจอกับสิ่งแปลกใหม่ มุมมองที่ไม่เคยได้พบเห็น ถือเป็นเสน่ห์ที่ทำให้ผมหลงไหลในการท่องเที่ยว ในขณะที่หยุดพัก ดื่มน้ำและหลบแดด สายตาก็ไปสะดุดกับผู้หญิงสูงวัยท่านหนึ่ง ที่ทำอาชีพลูกหาบ หลังจากที่ได้ทักทายและสอบถามกับป้าท่านนี้ ทำให้ผมตกใจหนักขึ้นไปอีกเมื่อรู้ว่าป้าอายุ 50 กว่าแล้ว และน้ำหนักของที่แบกบนหลังต้องไม่ต่ำกว่า 30 กิโลกรัม ซึ่งเป็นน้ำหนักขั้นต่ำของลูกหาบที่เขาช้างเผือกนี้ เมื่อเทียบกับของผมแค่15กิโลกรัม บอกเลยว่าหลังแทบหัก เพราะระยะทางชันและหวาดเสียวมาก ถ้าพลาดแม้แต่เสี้ยววินาที นั่นหมายถึงชีวิต
เนื่องจากคนในพื้นที่นี้ส่วนใหญ่จะเป็นชาวเขา และภาษาที่สื่อสารกันเป็นภาษากลาง รู้สึกได้เลยว่าป้าน่าจะเขิน หรือไม่สะดวกอะไรสักอย่าง จึงยังมีคำถามที่ยังค้างในใจผมอีกหลายอย่าง แล้วป้าก็เดินจากไป มุ่งหน้าสู่ยอดเขาช้างเผือกตามจุดมุ่งหมายเพื่อส่งของให้กับลูกกลุ่มของป้า ต้องบอกก่อนว่าผมเองไม่ได้เป็นคนดีมากมายอะไร แต่ทุกครั้งที่เห็นคนที่กำลังลำบาก หรือคนแก่จะเกิดความสงสารและคิดไปต่างๆนานาตามประสา (555+)
จุดมุ่งหมายจากทั้งหมดทั้งมวลที่ผมเล่ามาคือ เพื่อเตือนสติตัวเอง และอยากบอกต่อเพื่อเป็นประโยชน์กับคนอื่นๆว่าในทุกๆที่ที่เราไป นอกเหนือจากการท่องเที่ยวเพื่อพักผ่อน เพื่อหนีความวุ่นวาย หรือเพื่อสนองความต้องการของเราเอง เราจะได้ประสบการณ์แปลกใหม่ ทำให้เราได้เรียนรู้ บางครั้งสามารถเปลี่ยนความคิดที่ผิดๆของเราได้เลย หลังจากจบทริปนี้ ทำให้ผมได้มองย้อนกลับไปว่า "ยังมีอีกหลายคนที่ลำบากกว่าเรา ในวันนี้ที่เราคิดว่าแย่ที่สุด อาจจะมีอีกหลายคนที่แย่กว่าเรา "มองคนที่อยู่ต่ำกว่าเผื่อเป็นกำลังใจไม่ใช่ดูถูก มองคนที่อยู่สูงกว่าเผื่อเป็นแรงบันดาลใจไม่ใช่อิจฉา" ถ้าวันหนึ่งเราสามารถก้าวผ่านจุดที่แย่ที่สุดได้ เมื่อเราคิดย้อนกลับมา จะทำให้เราเป็นคนที่เข้มแข็ง ทุกสถานะการณ์เราสามารถรับมือ และผ่านมันไปได้ ด้วยการเผื่อใจ และการปล่อยวาง เสียใจได้และต้องเข้มแข็งเป็น
"การท่องเที่ยวไม่ได้ไร้สาระเสมอไป อยู่ที่ใครจะมอง"
(ขอบคุณทุกท่านที่เสียสละเวลาอ่านจนจบครับ)
Tum
24/01/2561