The Square (Ruben Östlund, 2017) คะแนน B+
By Form Corleone
"บ้าบอในแวดวงศิลปะ เสียดสีกันไปมา ขบขันบ้างในบางสถานการณ์" The Square หนังจากประเทศสวีเดนชนะรางวัลปาล์มทองคำ จากเทศกาลหนังเมืองคานส์ปีล่าสุด หนังไม่ได้ดูยากจนเกินไป จัดไปในทางดูง่ายและตรงไปตรงมาในสิ่งที่ต้องการสื่อสารอยู่พอสมควร ความตลกร้ายของหนังสร้างความแปลกใหม่และให้แง่มุมต่อแวดวงงานศิลป์ในรูปแบบต่างๆ รวมทั้งเสียดสีคนทำงานศิลปะและพิพิธภัณฑ์จัดแสดงงานศิลปะ พร้อมทั้งเสียดสีผู้เสพงานศิลป์ไปพร้อมกันด้วย ยิ่งไปกว่านั้น วิธีเสียดสีชนชั้นทางสังคมยังเจ็บแสบเอามากๆ 'The Square' จึงจัดเป็นภาพยนตร์เสียดสีตลกร้าย ที่มีวิธีซ้อนการเสียดสีลงไปซ้ำแล้วซ้ำอีกในเหตุการณ์นั้นๆ นอกจากนี้ เรายังได้สัมผัสถึงคนทำงานศิลปะที่ต้องเผชิญปัญหากับเรื่องราวชวนมึน+ปวดขมับในเรื่องไม่เป็นเรื่อง หรือกระทั่งการพยายามถ่ายทอดงานศิลปะเพียงชิ้นเดียวนั้นกลับมีผลกระทบต่อวงกว้างอย่างคาดไม่ถึง แน่นอนว่า มันส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อไปไม่หยุดยั้ง ช่วงขณะที่ดูเราจะมีความรู้สึกตลอดเวลาว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในเรื่องมันไม่น่าจะมีทางเกิดขึ้นจริงในโลกใบนี้ได้ แต่เพราะหนังเองเพียงให้มุมมองและวิธีมองต่องานศิลปะในมุมอื่นดูบ้าง ซึ่งเป็นมุมมองที่ชวนตลกและทำให้เราฉุกคิดต่อสายตาที่กำลังมองงานศิลปะเปลี่ยนไปอยู่เหมือนกัน ความบ้าบอในเรื่องจึงเต็มไปด้วยแนวความคิดเต็มไปหมด ประเด็นที่หนังนำเสนออาจจะมีคนที่คิดแต่ไม่กล้านำเสนอออกมา หรือนำเสนอแต่ไม่ดูไฮเปอร์เท่า 'รูเบน ออสต์ลันด์'
วิธีเล่าเรื่องของ 'The Square' จัดอยู่ในสไตล์ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ พล็อตเรื่องทั้งหมดดูเป็นอะไรที่เล็กน้อยมากๆ แต่ 'รูเบน ออสต์ลันด์' หยิบมันมาขยายเพิ่ม ให้ผลกระทบต่อช่วงระยะเวลาสุดท้ายซึ่งส่งผลต่อความคิด+ตกผลึกถึงสิ่งที่ตัวละครได้กระทำลงไป หนังใช้วิธีขยายเรื่องเล็กให้กว้างและใหญ่ขึ้นเรื่อยๆในแต่ละประเด็น ทั้งหมดจึงทำให้ประเด็นย่อยๆในเรื่องมาตัดผ่านกันไปมาแบบไม่เป็นเส้นขนาน แต่เป็นเส้นโค้งที่ตัดสลับกันซึ่งมันไม่ได้ยากเกินไปในการทำความเข้าใจวิธีเล่าเรื่องแบบนี้ เพียงแต่เพราะหนังมีโครงเรื่องที่หลวมจนสามารถใส่และแต่งเติมอะไรลงไปได้มากมาย ซึ่งแน่นอนว่า 'รูเบน ออสต์ลันด์' ไม่ยั้งมือและไม่ประนีประนอมต่อคนดูอยู่แล้ว เลยทำให้บางจังหวะเราปะติดปะต่อไม่ได้ในทันที นอกจากซับพล็อตเรื่องที่มีเยอะแล้วนั้น มุขตลกที่สอดแทรกมากับการเสียดสียังมีช่วงที่ขำมาก แต่บางช่วงก็ไม่ขำเพราะเราไม่อินในสิ่งที่หนังต้องการจะสื่อในสถานการณ์นั้นๆ ด้วยความตลกขบขันและความตื่นตา+ตกตะลึงในสิ่งที่หนังกำลังนำเสนออยู่ ทั้งหมดจึงทำให้เรารับชมงานนี้ได้เพลินๆตลอดระยะเวลา 2 ชั่วโมง 22 นาที พร้อมงานภาพที่ดูดีมีสไตล์ รวมถึงเหตุการณ์พีคๆของเรื่องที่ตั้งใจเสียดสีชนชั้นทางสังคมที่สะท้อนออกมาได้ดี+ตกตะลึงมาก
อย่างไรก็ตาม 'The Square' ถือเป็นภาพยนตร์ที่ต้องเปิดใจช่วงขณะรับชมเหมือนสไตล์หนังจากเมืองคานส์หลายๆเรื่อง ที่อาจต้องเข้าใจคอนเซ็ปต์ของตัวหนังมาสักเล็กน้อย หรือดูที่มาที่ไปของหน้าหนังสักหน่อย แต่โดยรวมแล้วภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ไม่ได้ดูยากจนเกินไป ด้วยความที่มันเป็นหนังตลกแนวเสียดสี+เล่นงานแวดวงศิลปะที่ยกตัวเองเป็นสังคมหรูหราไฮโซมีรสนิยม ฉะนั้น คนไม่ชอบดูงานศิลปะก็สามารถเข้าใจได้ ในทำนองเดียวกันคนที่รักงานศิลปะก็เข้าใจสิ่งที่หนังนำเสนอได้(ดีเลย) เพราะท้ายสุดหนังเองมันก็เสียดสีทุกสิ่งอย่างไปพร้อมกัน ในความเสียดสีมีความเสียดสีอีกระดับซ่อนตัวอยู่ อยู่ที่คนดูว่าจะเลือกมองแบบไหน สุดท้าย ภาพยนตร์เรื่องนี้จึงทำหน้าที่ในการถ่ายทอด+นำเสนอเพียงเท่านั้น ส่วนหน้าที่คนดูคือการวิพากษ์วิจารณ์และให้คุณค่าของงานตามแต่ความชอบส่วนบุคคล หลายสิ่งหลายอย่างในเรื่องอาจดูเพ้อเจ้อ บ้าบอคอแตก ไร้สาระ แต่ใครกันจะรับประกันได้ว่า ชีวิตจริงมันจะไม่มีเรื่องบ้าบอเกิดขึ้นได้จริงๆ และบางทีมันอาจจะเลอะเทอะกว่าสิ่งที่หนังนำเสนออยู่ก็เป็นได้...ชีวิตจริงนี้แหละซับซ้อนความงานศิลปะ...
ขอให้มีความสุขกับการรับชมภาพยนตร์ครับ
ตัวอย่างหนัง
ติดตามรีวิวภาพยนตร์ได้ที่
Page:
https://www.facebook.com/MoviesDelightClub/
Blog:
http://moviesdelightclub.blogspot.com/
Review: The Square (Ruben Östlund, 2017) เขียนโดย Form Corleone
By Form Corleone
"บ้าบอในแวดวงศิลปะ เสียดสีกันไปมา ขบขันบ้างในบางสถานการณ์" The Square หนังจากประเทศสวีเดนชนะรางวัลปาล์มทองคำ จากเทศกาลหนังเมืองคานส์ปีล่าสุด หนังไม่ได้ดูยากจนเกินไป จัดไปในทางดูง่ายและตรงไปตรงมาในสิ่งที่ต้องการสื่อสารอยู่พอสมควร ความตลกร้ายของหนังสร้างความแปลกใหม่และให้แง่มุมต่อแวดวงงานศิลป์ในรูปแบบต่างๆ รวมทั้งเสียดสีคนทำงานศิลปะและพิพิธภัณฑ์จัดแสดงงานศิลปะ พร้อมทั้งเสียดสีผู้เสพงานศิลป์ไปพร้อมกันด้วย ยิ่งไปกว่านั้น วิธีเสียดสีชนชั้นทางสังคมยังเจ็บแสบเอามากๆ 'The Square' จึงจัดเป็นภาพยนตร์เสียดสีตลกร้าย ที่มีวิธีซ้อนการเสียดสีลงไปซ้ำแล้วซ้ำอีกในเหตุการณ์นั้นๆ นอกจากนี้ เรายังได้สัมผัสถึงคนทำงานศิลปะที่ต้องเผชิญปัญหากับเรื่องราวชวนมึน+ปวดขมับในเรื่องไม่เป็นเรื่อง หรือกระทั่งการพยายามถ่ายทอดงานศิลปะเพียงชิ้นเดียวนั้นกลับมีผลกระทบต่อวงกว้างอย่างคาดไม่ถึง แน่นอนว่า มันส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อไปไม่หยุดยั้ง ช่วงขณะที่ดูเราจะมีความรู้สึกตลอดเวลาว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในเรื่องมันไม่น่าจะมีทางเกิดขึ้นจริงในโลกใบนี้ได้ แต่เพราะหนังเองเพียงให้มุมมองและวิธีมองต่องานศิลปะในมุมอื่นดูบ้าง ซึ่งเป็นมุมมองที่ชวนตลกและทำให้เราฉุกคิดต่อสายตาที่กำลังมองงานศิลปะเปลี่ยนไปอยู่เหมือนกัน ความบ้าบอในเรื่องจึงเต็มไปด้วยแนวความคิดเต็มไปหมด ประเด็นที่หนังนำเสนออาจจะมีคนที่คิดแต่ไม่กล้านำเสนอออกมา หรือนำเสนอแต่ไม่ดูไฮเปอร์เท่า 'รูเบน ออสต์ลันด์'
วิธีเล่าเรื่องของ 'The Square' จัดอยู่ในสไตล์ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ พล็อตเรื่องทั้งหมดดูเป็นอะไรที่เล็กน้อยมากๆ แต่ 'รูเบน ออสต์ลันด์' หยิบมันมาขยายเพิ่ม ให้ผลกระทบต่อช่วงระยะเวลาสุดท้ายซึ่งส่งผลต่อความคิด+ตกผลึกถึงสิ่งที่ตัวละครได้กระทำลงไป หนังใช้วิธีขยายเรื่องเล็กให้กว้างและใหญ่ขึ้นเรื่อยๆในแต่ละประเด็น ทั้งหมดจึงทำให้ประเด็นย่อยๆในเรื่องมาตัดผ่านกันไปมาแบบไม่เป็นเส้นขนาน แต่เป็นเส้นโค้งที่ตัดสลับกันซึ่งมันไม่ได้ยากเกินไปในการทำความเข้าใจวิธีเล่าเรื่องแบบนี้ เพียงแต่เพราะหนังมีโครงเรื่องที่หลวมจนสามารถใส่และแต่งเติมอะไรลงไปได้มากมาย ซึ่งแน่นอนว่า 'รูเบน ออสต์ลันด์' ไม่ยั้งมือและไม่ประนีประนอมต่อคนดูอยู่แล้ว เลยทำให้บางจังหวะเราปะติดปะต่อไม่ได้ในทันที นอกจากซับพล็อตเรื่องที่มีเยอะแล้วนั้น มุขตลกที่สอดแทรกมากับการเสียดสียังมีช่วงที่ขำมาก แต่บางช่วงก็ไม่ขำเพราะเราไม่อินในสิ่งที่หนังต้องการจะสื่อในสถานการณ์นั้นๆ ด้วยความตลกขบขันและความตื่นตา+ตกตะลึงในสิ่งที่หนังกำลังนำเสนออยู่ ทั้งหมดจึงทำให้เรารับชมงานนี้ได้เพลินๆตลอดระยะเวลา 2 ชั่วโมง 22 นาที พร้อมงานภาพที่ดูดีมีสไตล์ รวมถึงเหตุการณ์พีคๆของเรื่องที่ตั้งใจเสียดสีชนชั้นทางสังคมที่สะท้อนออกมาได้ดี+ตกตะลึงมาก
อย่างไรก็ตาม 'The Square' ถือเป็นภาพยนตร์ที่ต้องเปิดใจช่วงขณะรับชมเหมือนสไตล์หนังจากเมืองคานส์หลายๆเรื่อง ที่อาจต้องเข้าใจคอนเซ็ปต์ของตัวหนังมาสักเล็กน้อย หรือดูที่มาที่ไปของหน้าหนังสักหน่อย แต่โดยรวมแล้วภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ไม่ได้ดูยากจนเกินไป ด้วยความที่มันเป็นหนังตลกแนวเสียดสี+เล่นงานแวดวงศิลปะที่ยกตัวเองเป็นสังคมหรูหราไฮโซมีรสนิยม ฉะนั้น คนไม่ชอบดูงานศิลปะก็สามารถเข้าใจได้ ในทำนองเดียวกันคนที่รักงานศิลปะก็เข้าใจสิ่งที่หนังนำเสนอได้(ดีเลย) เพราะท้ายสุดหนังเองมันก็เสียดสีทุกสิ่งอย่างไปพร้อมกัน ในความเสียดสีมีความเสียดสีอีกระดับซ่อนตัวอยู่ อยู่ที่คนดูว่าจะเลือกมองแบบไหน สุดท้าย ภาพยนตร์เรื่องนี้จึงทำหน้าที่ในการถ่ายทอด+นำเสนอเพียงเท่านั้น ส่วนหน้าที่คนดูคือการวิพากษ์วิจารณ์และให้คุณค่าของงานตามแต่ความชอบส่วนบุคคล หลายสิ่งหลายอย่างในเรื่องอาจดูเพ้อเจ้อ บ้าบอคอแตก ไร้สาระ แต่ใครกันจะรับประกันได้ว่า ชีวิตจริงมันจะไม่มีเรื่องบ้าบอเกิดขึ้นได้จริงๆ และบางทีมันอาจจะเลอะเทอะกว่าสิ่งที่หนังนำเสนออยู่ก็เป็นได้...ชีวิตจริงนี้แหละซับซ้อนความงานศิลปะ...
ขอให้มีความสุขกับการรับชมภาพยนตร์ครับ
ตัวอย่างหนัง
ติดตามรีวิวภาพยนตร์ได้ที่
Page: https://www.facebook.com/MoviesDelightClub/
Blog: http://moviesdelightclub.blogspot.com/