อินเดียประมาณนี้ ...
มีหลายคนถามถึงทริปที่ไปเที่ยวอินเดีย เลยขอเขียนรีวิวเล็กๆ เผื่อมีคนสนใจตามไปเที่ยวนะคะ
เริ่มต้นจาก Air Asia เปิดเส้นทางการบินใหม่ BKK - JAIPUR แล้วเพื่อนไลน์มาถามว่า ไปมั้ย?? ชัยปุระ!! แล้วก็ส่งรูปมาให้ดูนั่นคือรูป Hawa Mahal ซึ่งก็ไม่เคยได้ยินชื่อเมืองนี้มาก่อน แต่พอเห็นรูปปุ๊บ ก็ตกลงทันที บอกเพื่อนว่าจองตั๋วเลย ว่างเเค่ช่วง 2-5 ธันวาคมนะ เพราะวันลาหมดแล้ว!!
โชคดีที่เวลาบินของ Aia Asia คือบินดึกทั้งขาไปและขากลับ ทำให้เรามีเวลาเที่ยวเต็มๆวัน สรุปคือบิน 21.20 วันที่ 1 ธ.ค. 2560 กลับดึกคืนวันที่ 5 ธ.ค. 2560 นั่นคือมีเวลาเที่ยว 4 วันเต็มๆ ซึ่งคิดว่าเป็นเวลาที่จะเก็บสถานที่เที่ยวเเบบครบพอดี สามารถเที่ยวแบบชิลๆได้ ชิลแค่ไหนก็ลองนึกดูว่าออกเที่ยวเกือบ 11 โมงของทุกวันอ่ะ นี่ถ้าไปกะทัวร์คงตกรถ นอนรอกรุ๊ปทัวร์อยู่ที่โรงแรม 555+
แพลนทริปนี้คือเที่ยวในชัยปุระ 3 วัน และนั่งรถไปไป อัครา เพื่อไปทัชมาฮาล 1 วัน โดยเก็บมาทั้งหมด 15สถานที่ในชัยปุระ และ 3สถานที่ในอัครา
การเตรียมตัวของเราก่อนไปอินเดีย!!
- วีซ่า
อินเดียต้องทำวีซ่านะจ๊ะ แต่ไม่ยาก มีให้เลือก 2 แบบคือ ยื่นผ่าน online และไปยื่นเองที่สถานทูต โดยค่าใช้จ่ายในการยื่นผ่าน online มีค่าธรรมเนียม 51.25 USD แต่ถ้ายื่นเองค่าธรรมเนียม ประมาณสี่พันกว่าบาทซึ่งแพงมาก เราจึงยื่นแบบ online และพอถึงอินเดีย เดินไปเข้าช่อง e-TOURISTVISA (การยื่นออนไลน์ต้องดูว่าเราบินไปลงสนามบินไหนในอินเดีย บางสนามบินไม่สามารถทำวีซ่าออนไลน์ได้นะจ๊ะ)
- ฉีดวัคซีน
ใช่ค่ะ!!! เราไปเที่ยวไม่ได้ไปออกค่ายอาสา แต่เนื่องจากอ่านมาเยอะและได้ยินกิตติศัพท์มาเยอะเราเลยคิดว่าน่าจะต้องฉีดวัคซีนป้องกันไว้ดีกว่า แนะนำให้ไปปรึกษาหมอที่คลินิกเวชศาสตร์ท่องเที่ยวและการเดินทาง(คลินิกนักท่องเที่ยว) รพ.เวชศาสตร์เขตร้อน (อยู่แถวรพ.พระมงกุฎ) มีทั้งในเวลาและนอกเวลา จองคิวผ่านเว็บ คลินิกนอกเวลามีเฉพาะวันจันทร์ และวันอังคาร ส่วนหมอที่นี่เหมือนจะผ่านการไปอินเดียมาทุกคนสามารถแนะนำวัคซีนที่ควรฉีดและแนะนำที่เที่ยวให้ได้ด้วย
ส่วนตัวเราตอนแรกจะไปฉีดไทฟอยท์ หมอบอกไม่ต้องฉีดเพราะกลับมารักษายังทัน เลยได้ฉีดไวรัสตับอักเสบเอ และไข้หวัดใหญ่ไปแทน (จริงๆไม่ฉีดก็ได้แต่ไหนๆก็ไปถึง รพ.แล้วและค่าวัคซีนถูกด้วยเลยฉีดไว้ซะเลย) ส่วนเพื่อนที่ไปด้วย ฉีดพิษสุนัขบ้าด้วยซึ่งต้องฉีดก่อนไปประมาณ 4 สัปดาห์
- อาหาร
เนื่องจากคิดว่าน่าจะหาอะไรที่ทานได้ยาก เลยเตรียมอาหารสำเร็จรูปจากไทยไปด้วย ซึ่งไปถึงก็ได้กินทุกอย่างที่เตรียมไป เพราะลองชิมอาหารที่นู่นคือไม่ถูกปากเรา อินเดียไม่กินหมู ไม่กินเนื้อ ไม่เห็นมีปลา วัตถุดิบในการทำอาหารของเค้า คือ ไก่ ไข่ และผัก แถมเราเป็นพวกมโนสูงเวลาจะกินชอบจินตนาการ วิธีการทำ พาลให้กินไม่ค่อยลง เพราะฉะนั้นอาหารที่เตรียมไปเราจัดการซะเกือบหมด ส่วนใหญ่ก็จะเป็น มาม่า(รสหมูสับเอาเข้าไปได้นะ) โจ๊ก นม ช็อคโกแลต ซีเรียลบาร์ น้ำพริก ขนม
- อุปกรณ์ยังชีพ
ทิชชู่แห้งและเปียก หน้ากากอนามัย ยาดม คือสิ่งจำเป็นจริงๆนะ เอาไปเถอะได้ใช้แน่นอน รอบหน้าถ้าไปอีกเราจะเอา Earplugs ไปด้วย เอาไว้ปิดหูเวลานั่งรถ 5555+
- Costume
เป็นสิ่งที่เราเตรียมหนักมากเวลาไปเที่ยว ช่วงที่ไปต้นเดือนธันวาอากาศกำลังเย็นสบาย ดังนั้นจึงเตรียมไปแบบไม่หนามาก มีวันแรกที่เที่ยวใส่ขาสั้น คือสั้นแบบเหนือเข่า (แต่ยังดีที่มีเสื้อคลุมยาวช่วยไว้) หันมองทางไหนไม่มีใครใส่ขาสั้นเลย เราจึงกลายเป็นตัวแปลกประหลาดไป เดินข้างถนนนี่โดนคนท้องถิ่นมองตลอดทาง แต่ก็ไม่แคร์นะจ๊ะ เพราะใส่ออกมาแล้วขี้เกียจกลับไปเปลี่ยน 5555+ ส่วนของวันอื่นก็จะเป็นชุดยาวทั้งนั้น ยังดูไม่แตกต่างมาก แนะนำถ้าไปอินเดีย ใส่แนวโบฮีเมียนหรือเดรสยาวลายนิดหน่อยถ่ายรูปออกมาจะสวยเลยค่ะ รองเท้าควรเป็นผ้าใบนะ เพราะฝุ่นเยอะมากถ้าใส่แตะนี่เท้าจะมีแต่ฝุ่นแน่นอน
- แลกเงินรูปี
เราเตรียมไปประมาณคนละ 5,000 บาทก็ตกราวๆ 10,000 รูปี ไปอินเดียนี่คิดค่าเงินง่ายดี เอาเงินรูปีหาร2 ก็จะเป็นเงินบาท ซึ่งคิดว่าที่แลกไปนี่น่าจะพอสำหรับเราเพราะไม่ได้กะจะช้อปปิ้ง
หลังจากเตรียมตัวกันอย่างหนักหน่วง ก็ถึงเวลาเที่ยวแล้ววววววว....
ไฟล์ทไปถึงก็เที่ยงคืนกว่าๆ พอถึงสนามบินเราต้องเข้าช่อง e-Tourist Visa เพื่อผ่านขั้นตอนการตรวจเอกสารกับตม.อินเดีย โดย Print เอกสารที่ได้จากการยื่น Visa Online ที่ช่องนี้ และสแกนลายนิ้วมือ เอกสารการขอวีซ่าที่ได้รับการตอบกลับทาง Online สำคัญมากต้อง Print ติดตัวไปด้วย!!! (แนะนำว่าถ้าไฟล์ทเดียวกันมีกรุ๊ปทัวร์ไปด้วย ให้ลงจากเครื่องโดยเร็ว รีบไปต่อคิวให้ได้คิวแรกๆ ไม่งั้นนานแน่นอน เพราะตม.อินเดีย เปิดช่องแค่สองช่อง แถมเครื่องสแกนลายนิ้วมือชอบสแกนไม่ติด เราต่อคิวฝรั่งนางนึง สแกนลายนิ้วมือไม่ได้ซักที เช็ดเครื่องก็แล้ว ล้างมือก็แล้ว คิดว่าน่าจะเป็นเพราะประสิทธิภาพเครื่องที่ทำให้ช้า ก็รอกันยาวๆไป)
ผ่านตม.มาได้ ก็มีแท็กซี่จากทางโรงแรมมารับ ติดต่อไว้ก่อนมาเพราะไฟล์ทถึงดึก ขี้เกียจไปต่อรอง แท็กซี่สนามบิน ค่าแท็กซี่ 400รูปี มีค่าจอดรถในสนามบินอีก 100 รูปี รวมเป็น 500 รูปี เท่าที่อ่านจากที่มีคนรีวิว ถ้าเองเรียกที่สนามบินจะอยู่ประมาณ 200 – 400รูปี แล้วแต่จะต่อรองได้
ส่วนโรงแรมที่เราพักชื่อ Umaid Bhawan-Heritage Hotel เดิมน่าจะเป็นวังเก่า โรงแรมนี้ไม่ได้อยู่ในย่านท่องเที่ยวเท่าไหร่ ก็เงียบสงบดี ส่วนตัวเราชอบนะ ในโรงแรมสวย มีมุมให้ถ่ายรูปเยอะมาก ออกแนววินเทจหน่อยๆ ตอนจองคิดว่าถ้าไม่ได้ไปไหน ก็ยังมีรูปในโรงแรมให้ถ่ายได้
ตื่นเช้ามาวันแรก ก็ทานอาหารเช้ากันที่โรงแรม เรากะว่าอัดให้เต็มที่เพราะกลัวว่าตอนกลางวันหาร้านอาหารยากต้องตุนไว้ก่อน แต่ที่ทานได้มีแต่เมนูไข่ ขนมปังปิ้ง และกล้วยหอม
แพลนวันแรกในชัยปุระ เมืองสีชมพู ที่จะไปมีตามนี้
1.Isarlat Sargasooli ==> 2.Jantar Mantar ==> 3.City Palace ==>4. Hawa Mahal ==>5. Albert Hall Museum ==> 6.Ganesh Temple ==> 7.Birla Mandir ==> 8.Rambagh Palace
ดูเยอะมากกกกก แต่ไปจนครบ ถึงจะออกจาก โรงแรมประมาณ 10.30 ก็ตาม เริ่มการเที่ยววันนี้โดยการหารถ แต่ละที่ที่ไปวันนี้ห่างกันไม่ไกลมาก จึงตัดสินใจว่าเรียกรถ Autorikshaw หรือเรียกง่ายๆ ว่าตุ๊ก ตุ๊ก ราคาที่ต่อรองได้คือประมาณเที่ยวละ 80-150 รูปี แล้วแต่ระยะทางซึ่งก็ไม่แพงมากแต่ก็ open air กันไป ดมกลิ่นกันไป ฟังเสียงแตรกันไป ชิลๆ 5555+
หลังจากตื่นตาตื่นใจกับจราจรของอินเดียได้แป๊บเดียวก็มาถึงสถานที่แรกคือ
1. Isarlat Sargasooli อันนี้ไม่แน่ใจประวัติศาสตร์เท่าไหร่ แต่ดูน่าจะเป็นป้อมปราการเล็กๆ เพราะมีกำแพง และมีหอคอยเดินขึ้นไปด้านบนเราจะเห็นวิวเมืองชัยปุระทั้งเมือง และมองเห็นป้อมปราการที่เราจะไปเที่ยวพรุ่งนี้อยู่ลิบๆ ด้วย
อ่อ Isarlat Sargasooli มีค่าเข้าด้วยนะ คนละ 200 รูปี แต่มีให้ซื้อบัตรแบบเหมารวม เข้าได้ประมาณ 9 แห่ง สถานที่ที่เข้าได้ ตามในภาพใช้ได้ภายใน 2 วัน ราคา 1,000 รูปี ซึ่งดูจากสถานที่ที่เข้าได้ก็เป็นที่ที่เราจะไปเกือบทั้งหมด เลยซื้อบัตรแบบเหมากันไป โดยแพลนที่เที่ยวที่ใช้บัตรนี้ได้ให้อยู่ในแพลนเที่ยว 2 วันติดกัน
2. จาก Isarlat Sargasooli เราเดินไป Jantar Mantar เพราะดูใน Google map ไม่ได้ไกลกันมาก เดินประมาณ 15 นาทีถึง Jantar Mantar เป็นสถานที่เกี่ยวกับเรื่องราวของดาราศาสตร์ มีนาฬิกาแดด ดวงดาวตามราศี แต่เราก็ดูไม่ค่อยรู้เรื่อง พื้นที่กว้างสวยดี เข้าไปเดินดูงงๆ และจบด้วยการถ่ายรูป เดินแป๊บ เดียวก็ออกมาแล้ว
3. City palace จะอยู่ตรงข้ามกับ Jantar Mantar เดินข้ามถนนกันมาได้เลย ค่าเข้าต้องแยกต่างหาก ไม่รวมในบัตรเหมา ค่าเข้าชมเลือกได้ 2 แบบ
- ค่าบัตร 530 รูปี สามารถชมด้านในได้บางส่วนและบริเวณรอบๆ
- ค่าบัตร 2,500 รูปี สามารถเข้าชมด้านในของพระราชวัง มีไกด์ส่วนตัว มีให้นั่งจิบชาและของว่างด้านในของพระราชวัง
City Palace เราไปมา 2 รอบ คือวันแรก และวันสุดท้าย ดังนั้นจึงขอลงรูปทั้ง 2 วันทีเดียวเลยจะได้เห็นว่ามีส่วนไหนบ้าง
วันแรกเรางซื้อบัตรแบบ 530 รูปี สิ่งที่ตั้งใจเข้ามาถ่ายใน City Palace คือ ประตูนกยูง และก็มี ประตูอื่นทั้งหมด 4 บาน แต่ละบานก็เป็นตัวแทนแต่ละฤดู ซึ่งก็ไม่ทำให้ผิดหวัง แต่ละประตูมีการลงรายละเอียดอย่างปราณีต สีสัน ลวดลายสวยงาม ตามสไตล์อินเดีย
ด้านในอื่นๆ ก็จะเต็มไปด้วยสีชมพู กดชัตเตอร์รัวๆ กันไป
[CR] Colorful India …. Jaipur (PINK City) - Agra (LOVE City)
มีหลายคนถามถึงทริปที่ไปเที่ยวอินเดีย เลยขอเขียนรีวิวเล็กๆ เผื่อมีคนสนใจตามไปเที่ยวนะคะ
เริ่มต้นจาก Air Asia เปิดเส้นทางการบินใหม่ BKK - JAIPUR แล้วเพื่อนไลน์มาถามว่า ไปมั้ย?? ชัยปุระ!! แล้วก็ส่งรูปมาให้ดูนั่นคือรูป Hawa Mahal ซึ่งก็ไม่เคยได้ยินชื่อเมืองนี้มาก่อน แต่พอเห็นรูปปุ๊บ ก็ตกลงทันที บอกเพื่อนว่าจองตั๋วเลย ว่างเเค่ช่วง 2-5 ธันวาคมนะ เพราะวันลาหมดแล้ว!!
โชคดีที่เวลาบินของ Aia Asia คือบินดึกทั้งขาไปและขากลับ ทำให้เรามีเวลาเที่ยวเต็มๆวัน สรุปคือบิน 21.20 วันที่ 1 ธ.ค. 2560 กลับดึกคืนวันที่ 5 ธ.ค. 2560 นั่นคือมีเวลาเที่ยว 4 วันเต็มๆ ซึ่งคิดว่าเป็นเวลาที่จะเก็บสถานที่เที่ยวเเบบครบพอดี สามารถเที่ยวแบบชิลๆได้ ชิลแค่ไหนก็ลองนึกดูว่าออกเที่ยวเกือบ 11 โมงของทุกวันอ่ะ นี่ถ้าไปกะทัวร์คงตกรถ นอนรอกรุ๊ปทัวร์อยู่ที่โรงแรม 555+
แพลนทริปนี้คือเที่ยวในชัยปุระ 3 วัน และนั่งรถไปไป อัครา เพื่อไปทัชมาฮาล 1 วัน โดยเก็บมาทั้งหมด 15สถานที่ในชัยปุระ และ 3สถานที่ในอัครา
การเตรียมตัวของเราก่อนไปอินเดีย!!
- วีซ่า
อินเดียต้องทำวีซ่านะจ๊ะ แต่ไม่ยาก มีให้เลือก 2 แบบคือ ยื่นผ่าน online และไปยื่นเองที่สถานทูต โดยค่าใช้จ่ายในการยื่นผ่าน online มีค่าธรรมเนียม 51.25 USD แต่ถ้ายื่นเองค่าธรรมเนียม ประมาณสี่พันกว่าบาทซึ่งแพงมาก เราจึงยื่นแบบ online และพอถึงอินเดีย เดินไปเข้าช่อง e-TOURISTVISA (การยื่นออนไลน์ต้องดูว่าเราบินไปลงสนามบินไหนในอินเดีย บางสนามบินไม่สามารถทำวีซ่าออนไลน์ได้นะจ๊ะ)
- ฉีดวัคซีน
ใช่ค่ะ!!! เราไปเที่ยวไม่ได้ไปออกค่ายอาสา แต่เนื่องจากอ่านมาเยอะและได้ยินกิตติศัพท์มาเยอะเราเลยคิดว่าน่าจะต้องฉีดวัคซีนป้องกันไว้ดีกว่า แนะนำให้ไปปรึกษาหมอที่คลินิกเวชศาสตร์ท่องเที่ยวและการเดินทาง(คลินิกนักท่องเที่ยว) รพ.เวชศาสตร์เขตร้อน (อยู่แถวรพ.พระมงกุฎ) มีทั้งในเวลาและนอกเวลา จองคิวผ่านเว็บ คลินิกนอกเวลามีเฉพาะวันจันทร์ และวันอังคาร ส่วนหมอที่นี่เหมือนจะผ่านการไปอินเดียมาทุกคนสามารถแนะนำวัคซีนที่ควรฉีดและแนะนำที่เที่ยวให้ได้ด้วย
ส่วนตัวเราตอนแรกจะไปฉีดไทฟอยท์ หมอบอกไม่ต้องฉีดเพราะกลับมารักษายังทัน เลยได้ฉีดไวรัสตับอักเสบเอ และไข้หวัดใหญ่ไปแทน (จริงๆไม่ฉีดก็ได้แต่ไหนๆก็ไปถึง รพ.แล้วและค่าวัคซีนถูกด้วยเลยฉีดไว้ซะเลย) ส่วนเพื่อนที่ไปด้วย ฉีดพิษสุนัขบ้าด้วยซึ่งต้องฉีดก่อนไปประมาณ 4 สัปดาห์
- อาหาร
เนื่องจากคิดว่าน่าจะหาอะไรที่ทานได้ยาก เลยเตรียมอาหารสำเร็จรูปจากไทยไปด้วย ซึ่งไปถึงก็ได้กินทุกอย่างที่เตรียมไป เพราะลองชิมอาหารที่นู่นคือไม่ถูกปากเรา อินเดียไม่กินหมู ไม่กินเนื้อ ไม่เห็นมีปลา วัตถุดิบในการทำอาหารของเค้า คือ ไก่ ไข่ และผัก แถมเราเป็นพวกมโนสูงเวลาจะกินชอบจินตนาการ วิธีการทำ พาลให้กินไม่ค่อยลง เพราะฉะนั้นอาหารที่เตรียมไปเราจัดการซะเกือบหมด ส่วนใหญ่ก็จะเป็น มาม่า(รสหมูสับเอาเข้าไปได้นะ) โจ๊ก นม ช็อคโกแลต ซีเรียลบาร์ น้ำพริก ขนม
- อุปกรณ์ยังชีพ
ทิชชู่แห้งและเปียก หน้ากากอนามัย ยาดม คือสิ่งจำเป็นจริงๆนะ เอาไปเถอะได้ใช้แน่นอน รอบหน้าถ้าไปอีกเราจะเอา Earplugs ไปด้วย เอาไว้ปิดหูเวลานั่งรถ 5555+
- Costume
เป็นสิ่งที่เราเตรียมหนักมากเวลาไปเที่ยว ช่วงที่ไปต้นเดือนธันวาอากาศกำลังเย็นสบาย ดังนั้นจึงเตรียมไปแบบไม่หนามาก มีวันแรกที่เที่ยวใส่ขาสั้น คือสั้นแบบเหนือเข่า (แต่ยังดีที่มีเสื้อคลุมยาวช่วยไว้) หันมองทางไหนไม่มีใครใส่ขาสั้นเลย เราจึงกลายเป็นตัวแปลกประหลาดไป เดินข้างถนนนี่โดนคนท้องถิ่นมองตลอดทาง แต่ก็ไม่แคร์นะจ๊ะ เพราะใส่ออกมาแล้วขี้เกียจกลับไปเปลี่ยน 5555+ ส่วนของวันอื่นก็จะเป็นชุดยาวทั้งนั้น ยังดูไม่แตกต่างมาก แนะนำถ้าไปอินเดีย ใส่แนวโบฮีเมียนหรือเดรสยาวลายนิดหน่อยถ่ายรูปออกมาจะสวยเลยค่ะ รองเท้าควรเป็นผ้าใบนะ เพราะฝุ่นเยอะมากถ้าใส่แตะนี่เท้าจะมีแต่ฝุ่นแน่นอน
- แลกเงินรูปี
เราเตรียมไปประมาณคนละ 5,000 บาทก็ตกราวๆ 10,000 รูปี ไปอินเดียนี่คิดค่าเงินง่ายดี เอาเงินรูปีหาร2 ก็จะเป็นเงินบาท ซึ่งคิดว่าที่แลกไปนี่น่าจะพอสำหรับเราเพราะไม่ได้กะจะช้อปปิ้ง
หลังจากเตรียมตัวกันอย่างหนักหน่วง ก็ถึงเวลาเที่ยวแล้ววววววว....
ไฟล์ทไปถึงก็เที่ยงคืนกว่าๆ พอถึงสนามบินเราต้องเข้าช่อง e-Tourist Visa เพื่อผ่านขั้นตอนการตรวจเอกสารกับตม.อินเดีย โดย Print เอกสารที่ได้จากการยื่น Visa Online ที่ช่องนี้ และสแกนลายนิ้วมือ เอกสารการขอวีซ่าที่ได้รับการตอบกลับทาง Online สำคัญมากต้อง Print ติดตัวไปด้วย!!! (แนะนำว่าถ้าไฟล์ทเดียวกันมีกรุ๊ปทัวร์ไปด้วย ให้ลงจากเครื่องโดยเร็ว รีบไปต่อคิวให้ได้คิวแรกๆ ไม่งั้นนานแน่นอน เพราะตม.อินเดีย เปิดช่องแค่สองช่อง แถมเครื่องสแกนลายนิ้วมือชอบสแกนไม่ติด เราต่อคิวฝรั่งนางนึง สแกนลายนิ้วมือไม่ได้ซักที เช็ดเครื่องก็แล้ว ล้างมือก็แล้ว คิดว่าน่าจะเป็นเพราะประสิทธิภาพเครื่องที่ทำให้ช้า ก็รอกันยาวๆไป)
ผ่านตม.มาได้ ก็มีแท็กซี่จากทางโรงแรมมารับ ติดต่อไว้ก่อนมาเพราะไฟล์ทถึงดึก ขี้เกียจไปต่อรอง แท็กซี่สนามบิน ค่าแท็กซี่ 400รูปี มีค่าจอดรถในสนามบินอีก 100 รูปี รวมเป็น 500 รูปี เท่าที่อ่านจากที่มีคนรีวิว ถ้าเองเรียกที่สนามบินจะอยู่ประมาณ 200 – 400รูปี แล้วแต่จะต่อรองได้
ส่วนโรงแรมที่เราพักชื่อ Umaid Bhawan-Heritage Hotel เดิมน่าจะเป็นวังเก่า โรงแรมนี้ไม่ได้อยู่ในย่านท่องเที่ยวเท่าไหร่ ก็เงียบสงบดี ส่วนตัวเราชอบนะ ในโรงแรมสวย มีมุมให้ถ่ายรูปเยอะมาก ออกแนววินเทจหน่อยๆ ตอนจองคิดว่าถ้าไม่ได้ไปไหน ก็ยังมีรูปในโรงแรมให้ถ่ายได้
ตื่นเช้ามาวันแรก ก็ทานอาหารเช้ากันที่โรงแรม เรากะว่าอัดให้เต็มที่เพราะกลัวว่าตอนกลางวันหาร้านอาหารยากต้องตุนไว้ก่อน แต่ที่ทานได้มีแต่เมนูไข่ ขนมปังปิ้ง และกล้วยหอม
แพลนวันแรกในชัยปุระ เมืองสีชมพู ที่จะไปมีตามนี้
1.Isarlat Sargasooli ==> 2.Jantar Mantar ==> 3.City Palace ==>4. Hawa Mahal ==>5. Albert Hall Museum ==> 6.Ganesh Temple ==> 7.Birla Mandir ==> 8.Rambagh Palace
ดูเยอะมากกกกก แต่ไปจนครบ ถึงจะออกจาก โรงแรมประมาณ 10.30 ก็ตาม เริ่มการเที่ยววันนี้โดยการหารถ แต่ละที่ที่ไปวันนี้ห่างกันไม่ไกลมาก จึงตัดสินใจว่าเรียกรถ Autorikshaw หรือเรียกง่ายๆ ว่าตุ๊ก ตุ๊ก ราคาที่ต่อรองได้คือประมาณเที่ยวละ 80-150 รูปี แล้วแต่ระยะทางซึ่งก็ไม่แพงมากแต่ก็ open air กันไป ดมกลิ่นกันไป ฟังเสียงแตรกันไป ชิลๆ 5555+
หลังจากตื่นตาตื่นใจกับจราจรของอินเดียได้แป๊บเดียวก็มาถึงสถานที่แรกคือ
1. Isarlat Sargasooli อันนี้ไม่แน่ใจประวัติศาสตร์เท่าไหร่ แต่ดูน่าจะเป็นป้อมปราการเล็กๆ เพราะมีกำแพง และมีหอคอยเดินขึ้นไปด้านบนเราจะเห็นวิวเมืองชัยปุระทั้งเมือง และมองเห็นป้อมปราการที่เราจะไปเที่ยวพรุ่งนี้อยู่ลิบๆ ด้วย
อ่อ Isarlat Sargasooli มีค่าเข้าด้วยนะ คนละ 200 รูปี แต่มีให้ซื้อบัตรแบบเหมารวม เข้าได้ประมาณ 9 แห่ง สถานที่ที่เข้าได้ ตามในภาพใช้ได้ภายใน 2 วัน ราคา 1,000 รูปี ซึ่งดูจากสถานที่ที่เข้าได้ก็เป็นที่ที่เราจะไปเกือบทั้งหมด เลยซื้อบัตรแบบเหมากันไป โดยแพลนที่เที่ยวที่ใช้บัตรนี้ได้ให้อยู่ในแพลนเที่ยว 2 วันติดกัน
2. จาก Isarlat Sargasooli เราเดินไป Jantar Mantar เพราะดูใน Google map ไม่ได้ไกลกันมาก เดินประมาณ 15 นาทีถึง Jantar Mantar เป็นสถานที่เกี่ยวกับเรื่องราวของดาราศาสตร์ มีนาฬิกาแดด ดวงดาวตามราศี แต่เราก็ดูไม่ค่อยรู้เรื่อง พื้นที่กว้างสวยดี เข้าไปเดินดูงงๆ และจบด้วยการถ่ายรูป เดินแป๊บ เดียวก็ออกมาแล้ว
3. City palace จะอยู่ตรงข้ามกับ Jantar Mantar เดินข้ามถนนกันมาได้เลย ค่าเข้าต้องแยกต่างหาก ไม่รวมในบัตรเหมา ค่าเข้าชมเลือกได้ 2 แบบ
- ค่าบัตร 530 รูปี สามารถชมด้านในได้บางส่วนและบริเวณรอบๆ
- ค่าบัตร 2,500 รูปี สามารถเข้าชมด้านในของพระราชวัง มีไกด์ส่วนตัว มีให้นั่งจิบชาและของว่างด้านในของพระราชวัง
City Palace เราไปมา 2 รอบ คือวันแรก และวันสุดท้าย ดังนั้นจึงขอลงรูปทั้ง 2 วันทีเดียวเลยจะได้เห็นว่ามีส่วนไหนบ้าง
วันแรกเรางซื้อบัตรแบบ 530 รูปี สิ่งที่ตั้งใจเข้ามาถ่ายใน City Palace คือ ประตูนกยูง และก็มี ประตูอื่นทั้งหมด 4 บาน แต่ละบานก็เป็นตัวแทนแต่ละฤดู ซึ่งก็ไม่ทำให้ผิดหวัง แต่ละประตูมีการลงรายละเอียดอย่างปราณีต สีสัน ลวดลายสวยงาม ตามสไตล์อินเดีย
ด้านในอื่นๆ ก็จะเต็มไปด้วยสีชมพู กดชัตเตอร์รัวๆ กันไป