- ใบไม้ ใบสุดท้าย-
ถ้าเปรียบชีวิตของคนเราเหมือนต้นไม้ต้นใหญ่
แผ่กิ่งก้านสาขา แตกแขนง
ปกคลุมอาณาบริเวณกว้างไกลไพศาล
แพร่ขยายพันธุ์ ด้วยความเกื้อกูลของเหล่าสัตว์น้อยใหญ่
เป็นที่พำนักพักอาศัยของเหล่าผู้ร่วมเดินทางในโลกใบนี้
เริ่มต้นจากเมล็ดเม็ดน้อยที่คล้อยสู่ดิน
แตกหน่อผลิเปลือกสิ้นทอดกาย
ห่มแผ่นพื้นอาบแสงแดดอบลมสยาย
แต่งเติมด้วยฝนปรายรอเวลา
หน่อเล็กพยายามผุดจากพื้นล่าง
รวบรวมกำลังแผ่กิ่งสาขา
กระทั่งผุดขึ้นพ้นแผ่นผืนพสุธา
ยืนหยัดกายาเหนือแผ่นดิน
กาลเวลาหมุนผ่าน
เปลี่ยนวันเป็นเดือน
จากเดือนกลายเป็นปี
ต้นไม้ต้นเล็กก็เริ่มเติบใหญ่ขึ้น
หลายครั้งต้องเผชิญคิมหันตฤดูที่ร้อนแรงแผดเผา
หรือแม้แต่ลมฝนพายุที่พัดโถมโหมซัดในวัสสานะฤดู
หรือความเหน็บหนาวแห่งเหมันตฤดู
ต้นไม้ต้นนี้ก็ยังยืดหยัดผ่านสามพฤกษฤดูมาได้อย่างสง่างาม
เหมันต์เอย
ท้องฟ้าสลัวมัวด้วยหมอกเมฆ
ดังปลุกเสกด้วยมนตราพาฉงน
ลมรำเพยพัดผ่านสุดท้านทน
หนาวยะเยือกเกลือกกล่นทั่วทั้งกาย
น้ำค้างหยาดหยดกลายเป็นเพชร
ละอองเกล็ดโปรยปลิวละลิ่วสลาย
ทั่วทุกถิ่นหิมะคลุมระทมกาย
ความเย็นบาดแทบล้มสลายไป
คิมหันต์เอย
สุริยาสาดแสงแรงกล้า
ทั่วหล้าส่องสางสว่างไสว
แสงสุรีย์แผดเผาทุกอย่างไป
ระทมไหม้ดังพระเพลิงนิมิตมา
ราตรีโอบล้อมมิหยุดหย่อน
รุ่มร้อนทั่วกายให้อ่อนล้า
ทุกถิ่นทั่วแดนแสนทรมาน์
แทบสลายมิทนกล้าสู้สุรีย์
วัสสานะเอย
เมฆหมอกออกเค้าแต่ไกลๆ
ฟ้าระทมหมองไปและเปลี่ยนสี
ดำทะมึนน่ากลัวเริ่มครานี้
อสุนีสาดแสงสำแดงฤทธา
คำรามกึกก้องระทึกร้อง
น้ำฝนท่วมท่องทุกถิ่นฟ้า
พระพายแพ่งพัดไม่เมตตา
แทบสิ้นดิ้นฤดีข้าเพราะโอนเอน
ถึงวันที่แผ่กิ่งก้านสาขาได้อย่างสุดความสามารถ
เติบโตได้อย่างเต็มที่ ลำต้นเติบใหญ่เต็มกำลัง
แข็งแรง มั่นคง ไม่มีสิ่งใดหรือฤดูใด ๆ มาทำให้ไหวคลอนได้
ใบเขียวขจี ผลิออกรับแสงอรุณในยามเช้าและรับน้ำค้างในยามราตรี อากาศที่ถ่ายเทผ่านเส้นใยต่าง ๆ ในระบบวงจรทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ รากแก้ว รากฝอยทำหน้าที่ลำเลียงสารพันอาหารเพื่อบำรุงกิ่งก้านให้สะพรั่งสวยสดตามวัยและเวลา
ช่วงนี้คือช่วงที่สมบูรณ์ที่สุดของต้นไม้ต้นนี้
ช่วงที่พร้อมเผชิญกับทุกอย่างที่ผ่านมาและผ่านไปอย่างไม่คร้ามเกรง
คือ ช่วงที่งดงามที่สุด...
เติบใหญ่มั่นคงแผ่กิ่งก้าน
ตระการสาขาอาณาขยาย
ใบไหวสะบัดพร้อมสะท้านไพร
ยืนหยัดทนไหวทุกเหตุการณ์
รากแก้วรากฝอยทำหน้าที่
ขมันขมีเลี้ยงต้นทุกวันผ่าน
ให้ใบเขียวสะบัดโบกคงอยู่นาน
จวบวันล่วงเดือนคล้อยประสพปี
ลำต้นที่เคยแกร่งกลับอ่อนล้า
ด้วยเวลากลายผ่านไม่หลีกหนี
จากเหมันต์ผ่านคิมหันต์วัสสานะมี
จวบหลายขวบสิบปีจึงโรยแรง
ลำต้นที่เคยแกร่งกลับแห้งเหี่ยว
ใบร่วงเกรียวสู่พื้นดินอันเหี่ยวแห้ง
เปลือกลอกกิ่งพรากรากเสื่อมแรง
ผิวระแหงสาขาหักปลิวไปไกล
เสื่อมถอยสิ้นแล้วรากแก้วเอ๋ย
ลมรำเพยเล็กน้อยก็สั่นไหว
โบกสะบัดพัดคล้ายจะสิ้นใจ
ระทึกอกระทกในดวงวิญญาณ์
ถึงวันลาลับดับจากชีพ
อย่าเร่งรีบกลับไปใจห่วงหา
ผลัดใบจนหมดสิ้นกายา
อาบลมห่มฟ้ายืนต้นตาย
เหลือเพียงใบไม้เพียงใบหนึ่ง
เพียงซึ่งอยากรั้งให้อยู่ไหว
พระพายรำเพยผ่านกิ่งแกว่งไกว
ใบสุดท้าย ปลิวล่องไป นิรันดร...
ชีวิตคนเราก็เหมือนต้นไม้ใหญ่ต้นนี้
ผ่านทุกอย่างมาด้วยความทรนง
สุดท้ายแล้ว
แม้จะยังไม่ถึงความต้องการ
ใบไม้ใบสุดท้ายเราก็รั้งไว้ไม่ได้
ปล่อยให้เป็นไปตามยถาแห่งกรรม
ปล่อยให้เป็นไปตามวิถีแห่งกรรม
จะมีผู้ใดผ่านพ้นบ่วงแห่งวัฏสงสารนี้ไปได้
แม้พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ยังเข้าสู่การดับขันธ์..
อย่ายึด เลิกยึด ใจก็สุข
ใจสุข กายสุข ก็พร้อม
—สู่เส้นทางแห่งคำพิพากษา—
เอวัง ขอจบด้วยประการฉะนี้.. เทอญ..
วิธาน (ผู้แต่ง)
— ใบไม้ ใบสุดท้าย —🍂🍃
- ใบไม้ ใบสุดท้าย-
ถ้าเปรียบชีวิตของคนเราเหมือนต้นไม้ต้นใหญ่
แผ่กิ่งก้านสาขา แตกแขนง
ปกคลุมอาณาบริเวณกว้างไกลไพศาล
แพร่ขยายพันธุ์ ด้วยความเกื้อกูลของเหล่าสัตว์น้อยใหญ่
เป็นที่พำนักพักอาศัยของเหล่าผู้ร่วมเดินทางในโลกใบนี้
เริ่มต้นจากเมล็ดเม็ดน้อยที่คล้อยสู่ดิน
แตกหน่อผลิเปลือกสิ้นทอดกาย
ห่มแผ่นพื้นอาบแสงแดดอบลมสยาย
แต่งเติมด้วยฝนปรายรอเวลา
หน่อเล็กพยายามผุดจากพื้นล่าง
รวบรวมกำลังแผ่กิ่งสาขา
กระทั่งผุดขึ้นพ้นแผ่นผืนพสุธา
ยืนหยัดกายาเหนือแผ่นดิน
กาลเวลาหมุนผ่าน
เปลี่ยนวันเป็นเดือน
จากเดือนกลายเป็นปี
ต้นไม้ต้นเล็กก็เริ่มเติบใหญ่ขึ้น
หลายครั้งต้องเผชิญคิมหันตฤดูที่ร้อนแรงแผดเผา
หรือแม้แต่ลมฝนพายุที่พัดโถมโหมซัดในวัสสานะฤดู
หรือความเหน็บหนาวแห่งเหมันตฤดู
ต้นไม้ต้นนี้ก็ยังยืดหยัดผ่านสามพฤกษฤดูมาได้อย่างสง่างาม
เหมันต์เอย
ท้องฟ้าสลัวมัวด้วยหมอกเมฆ
ดังปลุกเสกด้วยมนตราพาฉงน
ลมรำเพยพัดผ่านสุดท้านทน
หนาวยะเยือกเกลือกกล่นทั่วทั้งกาย
น้ำค้างหยาดหยดกลายเป็นเพชร
ละอองเกล็ดโปรยปลิวละลิ่วสลาย
ทั่วทุกถิ่นหิมะคลุมระทมกาย
ความเย็นบาดแทบล้มสลายไป
คิมหันต์เอย
สุริยาสาดแสงแรงกล้า
ทั่วหล้าส่องสางสว่างไสว
แสงสุรีย์แผดเผาทุกอย่างไป
ระทมไหม้ดังพระเพลิงนิมิตมา
ราตรีโอบล้อมมิหยุดหย่อน
รุ่มร้อนทั่วกายให้อ่อนล้า
ทุกถิ่นทั่วแดนแสนทรมาน์
แทบสลายมิทนกล้าสู้สุรีย์
วัสสานะเอย
เมฆหมอกออกเค้าแต่ไกลๆ
ฟ้าระทมหมองไปและเปลี่ยนสี
ดำทะมึนน่ากลัวเริ่มครานี้
อสุนีสาดแสงสำแดงฤทธา
คำรามกึกก้องระทึกร้อง
น้ำฝนท่วมท่องทุกถิ่นฟ้า
พระพายแพ่งพัดไม่เมตตา
แทบสิ้นดิ้นฤดีข้าเพราะโอนเอน
ถึงวันที่แผ่กิ่งก้านสาขาได้อย่างสุดความสามารถ
เติบโตได้อย่างเต็มที่ ลำต้นเติบใหญ่เต็มกำลัง
แข็งแรง มั่นคง ไม่มีสิ่งใดหรือฤดูใด ๆ มาทำให้ไหวคลอนได้
ใบเขียวขจี ผลิออกรับแสงอรุณในยามเช้าและรับน้ำค้างในยามราตรี อากาศที่ถ่ายเทผ่านเส้นใยต่าง ๆ ในระบบวงจรทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ รากแก้ว รากฝอยทำหน้าที่ลำเลียงสารพันอาหารเพื่อบำรุงกิ่งก้านให้สะพรั่งสวยสดตามวัยและเวลา
ช่วงนี้คือช่วงที่สมบูรณ์ที่สุดของต้นไม้ต้นนี้
ช่วงที่พร้อมเผชิญกับทุกอย่างที่ผ่านมาและผ่านไปอย่างไม่คร้ามเกรง
คือ ช่วงที่งดงามที่สุด...
เติบใหญ่มั่นคงแผ่กิ่งก้าน
ตระการสาขาอาณาขยาย
ใบไหวสะบัดพร้อมสะท้านไพร
ยืนหยัดทนไหวทุกเหตุการณ์
รากแก้วรากฝอยทำหน้าที่
ขมันขมีเลี้ยงต้นทุกวันผ่าน
ให้ใบเขียวสะบัดโบกคงอยู่นาน
จวบวันล่วงเดือนคล้อยประสพปี
ลำต้นที่เคยแกร่งกลับอ่อนล้า
ด้วยเวลากลายผ่านไม่หลีกหนี
จากเหมันต์ผ่านคิมหันต์วัสสานะมี
จวบหลายขวบสิบปีจึงโรยแรง
ลำต้นที่เคยแกร่งกลับแห้งเหี่ยว
ใบร่วงเกรียวสู่พื้นดินอันเหี่ยวแห้ง
เปลือกลอกกิ่งพรากรากเสื่อมแรง
ผิวระแหงสาขาหักปลิวไปไกล
เสื่อมถอยสิ้นแล้วรากแก้วเอ๋ย
ลมรำเพยเล็กน้อยก็สั่นไหว
โบกสะบัดพัดคล้ายจะสิ้นใจ
ระทึกอกระทกในดวงวิญญาณ์
ถึงวันลาลับดับจากชีพ
อย่าเร่งรีบกลับไปใจห่วงหา
ผลัดใบจนหมดสิ้นกายา
อาบลมห่มฟ้ายืนต้นตาย
เหลือเพียงใบไม้เพียงใบหนึ่ง
เพียงซึ่งอยากรั้งให้อยู่ไหว
พระพายรำเพยผ่านกิ่งแกว่งไกว
ใบสุดท้าย ปลิวล่องไป นิรันดร...
ชีวิตคนเราก็เหมือนต้นไม้ใหญ่ต้นนี้
ผ่านทุกอย่างมาด้วยความทรนง
สุดท้ายแล้ว
แม้จะยังไม่ถึงความต้องการ
ใบไม้ใบสุดท้ายเราก็รั้งไว้ไม่ได้
ปล่อยให้เป็นไปตามยถาแห่งกรรม
ปล่อยให้เป็นไปตามวิถีแห่งกรรม
จะมีผู้ใดผ่านพ้นบ่วงแห่งวัฏสงสารนี้ไปได้
แม้พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ยังเข้าสู่การดับขันธ์..
อย่ายึด เลิกยึด ใจก็สุข
ใจสุข กายสุข ก็พร้อม
—สู่เส้นทางแห่งคำพิพากษา—
เอวัง ขอจบด้วยประการฉะนี้.. เทอญ..
วิธาน (ผู้แต่ง)