กระทู้เดิม
https://ppantip.com/topic/36860363
แต่เพิ่มเติมเนื้อหาให้ครอบคลุม/ทันสมัย มากขึ้น
ช่วงที่ผ่านมาได้คุยกับเพื่อนที่ลงสนใจลงทุน Crypto Currency (พวก coinต่างๆ) แล้วพบว่ามีความเข้าใจคลาดเคลื่อนอยู่
เพราะ Crypto Currency นั้น มีความหมายคาบเกี่ยวกับ trend ที่กำลังมาแรงอีก 2 อย่างคือ
Blockchain, Cashless Society
ซึ่งหากไม่เข้าใจ ว่าแต่ละอย่างคืออะไร ผมว่าอันตรายมาก ที่จะเอาเงินไปลงในสิ่งที่ตัวเองไม่เข้าใจ
ก็ขอเขียนเท่าที่เห็นมานะครับ
------
เงินคืออะไร?
ก่อนอื่นขอปูพื้นเรื่องเงินก่อน
เงินคือสิ่งที่สังคมกำหนดใช้เป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ
นั่นคือ ที่เงินมีค่าก็เพราะเราเอาไปใช้เแลกเป็นสินค้า/บริการ ได้นั่นเอง
นอกจากนี้ สิ่งที่หนุนค่าเงินอีกอย่างคือ ทองคำ/เงินตราต่างประเทศ
ซึ่งสามารถเอาไปแลกเปลี่ยนได้ อย่างน้อยก็ที่ธนาคารกลางของประเทศนั้นๆ
สามารถทำให้ผู้ถือเงินมั่นใจได้ว่าสิ่งที่ตัวเองถือไม่ใช่เพียงแค่กระดาษเปื้อนหมึก
ref:
https://www.wikipedia.org/wiki/เงิน
Cashless Society
เทรนด์ที่กำลังมาขณะนี้อันนึงคือ สังคมไร้เงินสด
ซึ่งเป็นการเปลี่ยนรูปแบบเงินกระดาษให้เป็นเงินดิจิตอลในระบบคอมพิวเตอร์
เพื่อให้การจับจ่ายได้สะดวก รวดเร็วและปลอดภัย(จากการฉกชิงวิ่งราว)มากขึ้น
โดยสกุลเงินในระบบยังคงเป็นสกุลเดียวกับเงินกระดาษอยู่
ผลพลอยได้คือ
ภาครัฐสามารถจัดเก็บภาษีได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยขึ้น
จะหลบภาษีแบบแต่ก่อนไม่ได้ละ เพราะรัฐมีข้อมูลการไหลของเงินทั้งหมด
https://finance.rabbit.co.th/blog/cashless-society
Blockchain
Blockchain เป็นเทคโนโลยีที่กำลังมาแรงอีกตัว
มันคือ วิธีการเก็บข้อมูลแบบกระจายศูนย์
โดยจะเก็บข้อมูลเป็นก้อนๆ (block) และอ้างอิงต่อเนื่องเป็นสายโซ่(chain)ต่อๆกันไปเรื่อยๆ
(มันเลยได้ชื่อว่า blockchain)
ระบบนี้เหมาะกับข้อมูลที่มีคุณลักษณะ
-ยอมทุกคนในระบบเห็นได้เหมือนกันหมด
(แต่ใครเข้าถึงระบบได้ก็อีกเรื่อง ซึ่งจำกัดคนเข้าถึงก็จะเป็น private blockchain)
-ไม่สามารถแก้ไขย้อนหลังได้
ซึ่งข้อมูลใน block นั้นจะเป็นอะไรก็ได้ เช่น กรมธรรม์ประกันภัย ข้อมูลสุขภาพ ฯลฯ รวมทั้งรายการการเงิน
ดูเหมือนว่าภาคธนาคารต่างๆก็กำลังทำ blockchain เพื่อใช้เป็นระบบเก็บ transaction ระหว่างธนาคาร อยู่เช่นกัน
https://techsauce.co/technology/blockchain/understand-blockchain-in-5-minutes/
ส่วน Crypto Currency คือ (สิ่งที่อ้างว่าเป็น)เงินดิจิตอลสกุลนึง
ซึ่งจัดเก็บด้วย blockchain
โอ้ว.. ทั้ง Cashless Society, Blockchain กำลังมา
Crypto Currency คาบเกี่ยวทั้ง 2 อย่างเลย
ถ้าอย่างนั้นเราควรลงทุนซื้อ Crypto Currency มาครอบครองสินะ?
ช้าก่อนครับ!
- cashless society นั้นเป็นสกุลเงินของประเทศนั้นๆ
พูดให้อ๋อ ก็คือ promptpay นั่นเองที่กำลังมา
มันเกี่ยวอะไรกับ coin ต่างๆ? (ยกเว้นอ้างว่าไม่ต้องพกเงินสดเหมือนกัน)
- blockchain กำลังนำมาใช้ในระบบธนาคารต่างๆ
มันเกี่ยวอะไรกับ coin ที่ต่างคนต่างขุดกันทั่วโลก?
เริ่มแปลกๆแล้วใช่มั๊ยครับ?
พูดง่ายๆคือ
"การอ้างว่า Cashless Society, Blockchain กำลังมา
ให้เราลงทุนไปหา Crypto Currency มาครอบครอง" นั้น
เป็นการผิดฝาผิดตัวซะจนดูเหมือนเป็นการหลอกลวงด้วยซ้ำ!!
ที่มาของ Crypto Currency
มันเริ่มมาจาก ซาโตชิ คนสร้าง BitCoin ต้องการแสดงแนวคิดใช้ blockchain เพื่อเก็บข้อมูลการเงิน
จึงติ๊ต่างเงินสกุลซาโตชิ (ต่อมาเรียกว่า Bitcoin)
โดยกำหนดให้ server ที่ทำรายการจากการถอดรหัสเพื่อสร้าง block ใหม่สำเร็จ
จะได้รางวัลเป็น Bitcoin เหรียญใหม่ แล้วเก็บเข้าในระบบ (จึงเรียกกันเล่นๆว่า "ขุด")
มีการกำหนดให้มีค่า halving ที่เป็นเงื่อนไขการรางวัลให้คนขุด
ซึ่งจะน้อยลงเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไปตามที่กำหนดไว้
และเมื่อถึงจุดที่กำหนดคือ 21ล้านเหรียญ
ระบบจะไม่มีเหรียญใหม่เป็นรางวัลให้คนขุดอีก
สิ่งที่สำคัญที่ควรเฉลียวใจ ก็คือ
ขณะที่การใช้ blockchain ที่ถูกต้อง จะมีลักษณะคือ
-ภาคธนาคารพยายามจะใส่ตัวเลขที่เป็น"เงินจริงๆ"เข้าไปใน private blockchain
-บ.ประกัน ใส่ข้อมูลกรมธรรม์
-รพ. ใส่ข้อมูลคนไข้
-รัฐ ใช้เก็บทะเบียนราษฎร
เรียกว่า มี "ของจริงๆ" หนุนหลังในทุกข้อมูลใน blockchain
แต่ public crypto เพิ่มจำนวนเงินด้วยเงื่อนไขเป็นค่าทำรายการ(ขุด)
เรียกว่ามันมาจากอากาศเลย
แล้วพยายามจะอ้างให้ทุกคนเชื่อมั่นในมัน เดี๋ยวมันจะมีค่าขึ้นมาเอง
ห๊ะ!! ไม่เชื่อเหรอ ฮึ่ย!!พวกคนหัวเก่า ไม่ยอมเปิดใจรับสิ่งใหม่ (อ้าว!!)
พูดง่ายๆคือ
story ของ crypto currency ต้องซับซ้อน
อ้าง+เน้นย้ำ "ความรู้เชิงเทคนิค" เกี่ยวกับโครงสร้าง/แนวคิด blockchain ที่ซับซ้อนและแฮกไม่ได้เข้าไว้
เพื่อเบี่ยงความสนใจจากข้อเท็จจริงที่เป็น "ความรู้ทางเศรษฐศาสตร์" ที่ว่า ข้อมูลในนั้นมันคืออากาศ
เป็นการเล่นกลทางจิตวิทยา
อ้างความปลอดภัยของตู้เซฟ(ระบบ blockchain)
แล้วตีคลุมว่าสิ่งที่อยู่ในนั้น(ข้อมูลที่เก็บ) เป็นเงินเป็นทองเป็นเพชร
แต่..จริงๆแล้ว มันคืออากาศ!!!
story ของ crypto currency ต้องมีค่า
เพราะการขุดมันซับซ้อน ต้องอาศัยพลังคอมพิวเตอร์และค่าไฟเป็นจำนวนมาก
ต้นทุนของมันแพง มันจึงมีค่า!!
(...โอเค... ต่อให้คุณขุดมาแพง แต่ทำไมผมต้องซื้อมันมาครอบครอง?
ในเมื่อมันเอาไปแลกสินค้าอะไรไม่ได้เลย
ร้านที่รับแลกก็กดเรตเผื่อผันผวน จนกำเงินสดๆไปซื้อตรงๆยังดีซะกว่า
ไม่รวมถึงเวลาการโอนที่รอนาน
ถ้าเอามาใช้จ่ายจริงๆ กินข้าวจานนึงก็รอไปสิทั้งคนซื้อคนขาย
แถมมีค่าธรรมเนียมที่โหดกว่าที่อ้าง
ขณะที่ใช้ cashless society อย่าง promptpay ไม่กี่วิ จบ)
story ของ crypto currency ต้องเป็นอิสระจากรัฐ เป็นระบบกระจายศูนย์
เงินของรัฐมันห่วย, เงิน fiat มันไม่น่าเชื่อถือ
crypto currency นี่แหละเจ๋ง
เพราะถ้าทุกคนยอมรับ มันจะมีค่าของมันเองได้ โดยไม่ต้องให้ ใคร/รัฐ มารับรอง
แล้วทุกคนจะเป็นอิสระจากการควบคุมของรัฐ!!!"
ใครมาต้าน คือ พวกไร้วิสัยทัศน์ เป็นแค่พวกทาสโง่ๆในระบบ
เป็นการบิดเบือนระบบความคิด จากที่เห็นชัดๆว่า
"มันไม่มีค่า เพราะไม่มี ใคร/รัฐ รับรอง"
กลายเป็น
"ถ้าทุกคนยอมรับ มันจะมีค่าของมันเองได้ โดยไม่ต้องให้ ใคร/รัฐ มารับรอง"
แล้วพอปั่นหัวคนเยอะได้ที่แล้ว ก็จะมารวมตัวกดดันจะให้รัฐรับรอง (อ้าว)
story ของ crypto currency ต้องยิ่งใหญ่
เป็นอนาคตทางการเงิน เป็นเทคโนโลยีที่จะเปลี่ยนโลก
เป็นเครื่องมือสำคัญที่จะใช้ต่อสู้กับ ภาครัฐและเหล่านายธนาคาร ที่กดขี่และขูดรีด
จึงเรื่องธรรมดาที่จะต้องต่อสู้กับภาครัฐและเหล่านายธนาคาร ที่คิดจ้องคอยสกัดไม่ให้เกิด
เพราะจะกระทบผลประโยชน์ของตัวเอง
(แต่จริงๆที่เค้าต้านก็เพราะตามหลักเศรษฐศาสตร์ มันคืออากาศ
และจะก่อปัญหาในระบบเศรษฐกิจและสังคม ดังที่จะกล่าวต่อไป)
Crypto Currency คืออะไรในระบบเศรษฐกิจ
เรามาดูกันชัดๆดีกว่าว่า Crypto Currency จะสามารถเป็นอะไรได้บ้างในระบบเศรษฐกิจ ตั้งแต่ แย่ที่สุดจนถึงดีที่สุด
-แย่สุด คูปองศูนย์อาหารร้าง
อย่างที่เขียนไว้ตอนแรกว่า สกุลเงินจะมีค่า ก็ต่อเมื่อเอามาแลกสินค้า/บริการ ได้
การที่เราเอาเงินจริงๆไปแลกคูปองศูนย์อาหารร้าง ที่ไม่มีอะไรขายนั้น ไม่ต่างกับการเอาเงินจริงไปแลกกับเศษกระดาษ
แถมไม่มีธนาคารกลางที่รอรับแลกกลับเป็นเงินจริงอีกด้วย
การซื้อขายสิ่งที่ไม่ได้มีคุณค่าจริง ไปๆมาๆ
มันเป็นอะไรได้นอกจากเก็งกำไร?
บางคนคิดว่า อย่างน้อยมันคงไม่โหดเท่า ดอกทิวลิป หรอก
เพราะดอกทิวลิปเน่าได้ แต่คูปองมันไม่เน่า
เรียกว่าไม่ขายไม่ขาดทุน
เออ.. แต่กรณีนี้ถ้าคนไม่ใช้ คนขุดก็ไม่ได้เหรียญใหม่/ค่าธรรมเนียม
จะพาลเลิกกันหมดเอา
มันคือเหมือนปิดเซิฟฯเกม online นะคร๊าบ
เรียกว่าเจ๊งถ้วนหน้า แบบไม่มีเศษกระดาษให้ถือด้วย
-ตั้งไข่ แลกเปลี่ยนสินค้าได้
ถ้า coin นั้นๆ สามารถหาคนทำสินค้า/บริการ ที่ยอมรับ coin ได้ จะด้วยวิธีใดก็แล้วแต่
(เช่น การเสนอว่า coin ที่จะนำมาขายสามารถนำมาแลก สินค้าของบ.ตัวเองได้
coin นั้นก็ดูเหมือนมีค่ามีตัวมีตนขึ้นมาหน่อย
แต่จะมีสินค้า/บริการอื่นๆมายอมรับด้วยทีหลังหรือไม่ก็เป็นเรื่องที่ไม่แน่นอน)
ร้านค้าและคนในระบบ coin นั้นจะเจอเรื่องปวดหัวกับ
บัญชีที่ต้องทำเป็น2สกุลเงิน (เงินปกติ+coin)
อยากรู้ว่าเป็นยังลองไปกัมพูชาดู (เงินเรียล+ดอลล่าร์ โอ.. ชือ-กบาล:"ปวดหัว" ภาษาเขมร)
และ จะซ้ำให้ปวดหัวหนักขึ้นด้วย
ความผันผวนของราคา coin
เพราะการตั้งราคาในระบบที่ผันผวนนั้นลำบากมาก
-
ถ้า coin กำลังขึ้น คนซื้อก็จะไม่ซื้อ เพราะเทียบกับเงินจริงแล้วแพงขึ้น
ก็จะขาดไม่ออก จนกว่าเราจะลดราคา ยอมรับ coin ให้น้อยลงเพื่อว่าเมื่อเทียบเงินจริงแล้วเท่าๆกัน
-
ถ้า coin กำลังตก แล้วรับ coin มาเท่าเดิม .. อ้าว ขาดทุน! ต้องรีบเปลี่ยนราคาเรียก coin ให้มากขึ้น
เรียกว่าเหมือนพยายามจะต้องอยู่รอดในระบบเศรษฐกิจที่ไม่มีธนาคารกลางคอยดูแลเลย
-ดีสุด สกุลเงินหลักของโลก
ด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่
ถ้าคนยอมรับซื้อขายสินค้าบริการกันเยอะ+ราคานิ่งพอควร
มันอาจจะสามารถเทียบเท่ากับเงินสกุลหลักอื่นของโลก(หรือทองคำ...อย่างที่โฆษณากัน)
จนธนาคารกลางของแต่ละประเทศต้องเอามาใช้มาเก็บ ในคลัง/ในตระกร้าเงิน เลยทีเดียว
โอ.. ถ้ามันไปถึงจุดนั้นได้จะยอดมากเลยนะจอร์จ
นั่นสิ ซาร่าห์..ว่าแต่มีตังค์ให้ยืมซักแสนนึงก่อนมั๊ย? จะเอาไปซื้อ coin
นี่ไม่คิดถามสุขภาพกระเป๋าตังค์ชั้นซ๊ากกคำก่อนเหรอ?
มุมมองรัฐ
ข้างบนนั้นคือมุมมองภาค micro-economy
แต่ภาค macro-economy นั้นจะต้องมองแบบรัฐ
ซึ่งมุมมองของรัฐต่อ crypto currency นั้นน่าจะเป็นลบเพราะ
1) ธรรมชาติค่าเงินนั้นต้องมี สินค้า/บริการ หนุนหลัง
จะเกิดอะไรขึ้นกับเงินบาท ถ้าคนหันไปใช้ coin กันหมด
...
เงินบาทก็จะไร้ค่ายังไงละ!!
กลายเป็นว่าคนไทยต้องขายบาทออกไปซื้อ coin เพื่อมาซื้อสินค้า/บริการในประเทศ
และไม่มีท่าทีจะแลกกลับเป็นเงินบาทด้วย เพราะเมื่อแพร่หลายแล้วจะสามารถเอาไปซื้อสินค้า/บริการอื่นต่อได้!!!
เทียบกับ บ.ส่งออกจะแลกเงินดอลกลับเป็นบาทมาใช้จ่ายในประเทศ
เพราะสินค้า/วัตถุดิบล้วนเป็นเงินบาท ทำให้เศรษฐกิจในประเทศดีขึ้น
ธนาคารประเทศไทยก็จะมีเงินดอลสำรองเพิ่มขึ้น
สถานะการคลังของประเทศก็แข็งแกร่งขึ้น
2)
รัฐจะเก็บภาษี ไม่ได้
เพราะในระบบการเงินปกติ
- ถ้าซื้อกันหลายทอด รัฐยิ่งได้ภาษี VAT เช่น
นาย A ซื้อนาย B 100 บาท มีภาษี 7 บาท เหลือถึงนาย B 93 บาท
นาย B ซื้อนาย C 93 บาท มีภาษี 6.51 บาท เหลือ 86.49 บาท
ไปเรื่อยๆ
แต่ถ้าเป็น coin
- ถึงจะเสนอให้รัฐไปเก็บภาษีซื้อ-ขาย ตรงที่แลก บาท <-> coin
มันจะได้แค่
นาย A แลก 107 บาท หักภาษี 7 บาท เหลือเป็น coin ที่มีมูลค่า 100
ซึ่ง coin นี้จะวนในระบบไปไม่รู้กี่ทอด โดยรัฐไม่ได้ภาษี VAT จนกระทั่งแลกออก
นาย Z แลก coin ที่มีมูลค่า 100 บาท หักภาษี 7 บาท เหลือออกมา 93 บาท
เท่ากับรัฐจะได้ภาษีแค่ 14 บาท จากการซื้อขายกันไม่รู้กี่รอบ
ยิ่งถ้าแพร่หลายจนมันวนในระบบได้โดยไม่ต้องแลกกลับเป็นเงินบาท
รัฐจะได้ภาษี 7 บาทในปีแรกๆ และปีที่เหลือเป็น 0 ... ตลอดกาล!!!
- แล้วตอนนี้จะมาอ้างให้คิด Capital Gain เฉพาะตอนแลกออกอีก
ถ้าทำตามนั้น จะหมายความว่า
ปีแรกๆ รัฐจะไม่ได้อะไร เพราะถือเป็นการแลกเข้า
และ ปีที่เหลือก็ไม่ได้อะไรด้วย เพราะไม่ต้องแลกกลับเป็นเงินบาทอีก
จะเห็นว่า crypto currency มีข้อเสียใหญ่ในมุมมองของรัฐถึง 2 ข้อ
และการปรับแก้ บังคับให้ส่งบัญชี crypto ด้วยนั้นดูจะวุ่นวายมากกว่า
ยิ่งมีระบบ cashless society ที่ทำงานได้ดีอยู่แล้ว
ก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องมี crypto currency ในระบบเศรษฐกิจของประเทศเลย!!
---------------มีต่อที่ความเห็นที่ 1----------------------
(Re-Run)Crypto Currency คืออะไรในระบบเศรษฐกิจ?
แต่เพิ่มเติมเนื้อหาให้ครอบคลุม/ทันสมัย มากขึ้น
ช่วงที่ผ่านมาได้คุยกับเพื่อนที่ลงสนใจลงทุน Crypto Currency (พวก coinต่างๆ) แล้วพบว่ามีความเข้าใจคลาดเคลื่อนอยู่
เพราะ Crypto Currency นั้น มีความหมายคาบเกี่ยวกับ trend ที่กำลังมาแรงอีก 2 อย่างคือ
Blockchain, Cashless Society
ซึ่งหากไม่เข้าใจ ว่าแต่ละอย่างคืออะไร ผมว่าอันตรายมาก ที่จะเอาเงินไปลงในสิ่งที่ตัวเองไม่เข้าใจ
ก็ขอเขียนเท่าที่เห็นมานะครับ
------
เงินคืออะไร?
ก่อนอื่นขอปูพื้นเรื่องเงินก่อน
เงินคือสิ่งที่สังคมกำหนดใช้เป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ
นั่นคือ ที่เงินมีค่าก็เพราะเราเอาไปใช้เแลกเป็นสินค้า/บริการ ได้นั่นเอง
นอกจากนี้ สิ่งที่หนุนค่าเงินอีกอย่างคือ ทองคำ/เงินตราต่างประเทศ
ซึ่งสามารถเอาไปแลกเปลี่ยนได้ อย่างน้อยก็ที่ธนาคารกลางของประเทศนั้นๆ
สามารถทำให้ผู้ถือเงินมั่นใจได้ว่าสิ่งที่ตัวเองถือไม่ใช่เพียงแค่กระดาษเปื้อนหมึก
ref: https://www.wikipedia.org/wiki/เงิน
Cashless Society
เทรนด์ที่กำลังมาขณะนี้อันนึงคือ สังคมไร้เงินสด
ซึ่งเป็นการเปลี่ยนรูปแบบเงินกระดาษให้เป็นเงินดิจิตอลในระบบคอมพิวเตอร์
เพื่อให้การจับจ่ายได้สะดวก รวดเร็วและปลอดภัย(จากการฉกชิงวิ่งราว)มากขึ้น
โดยสกุลเงินในระบบยังคงเป็นสกุลเดียวกับเงินกระดาษอยู่
ผลพลอยได้คือ
ภาครัฐสามารถจัดเก็บภาษีได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยขึ้น
จะหลบภาษีแบบแต่ก่อนไม่ได้ละ เพราะรัฐมีข้อมูลการไหลของเงินทั้งหมด
https://finance.rabbit.co.th/blog/cashless-society
Blockchain
Blockchain เป็นเทคโนโลยีที่กำลังมาแรงอีกตัว
มันคือ วิธีการเก็บข้อมูลแบบกระจายศูนย์
โดยจะเก็บข้อมูลเป็นก้อนๆ (block) และอ้างอิงต่อเนื่องเป็นสายโซ่(chain)ต่อๆกันไปเรื่อยๆ
(มันเลยได้ชื่อว่า blockchain)
ระบบนี้เหมาะกับข้อมูลที่มีคุณลักษณะ
-ยอมทุกคนในระบบเห็นได้เหมือนกันหมด
(แต่ใครเข้าถึงระบบได้ก็อีกเรื่อง ซึ่งจำกัดคนเข้าถึงก็จะเป็น private blockchain)
-ไม่สามารถแก้ไขย้อนหลังได้
ซึ่งข้อมูลใน block นั้นจะเป็นอะไรก็ได้ เช่น กรมธรรม์ประกันภัย ข้อมูลสุขภาพ ฯลฯ รวมทั้งรายการการเงิน
ดูเหมือนว่าภาคธนาคารต่างๆก็กำลังทำ blockchain เพื่อใช้เป็นระบบเก็บ transaction ระหว่างธนาคาร อยู่เช่นกัน
https://techsauce.co/technology/blockchain/understand-blockchain-in-5-minutes/
ส่วน Crypto Currency คือ (สิ่งที่อ้างว่าเป็น)เงินดิจิตอลสกุลนึง
ซึ่งจัดเก็บด้วย blockchain
โอ้ว.. ทั้ง Cashless Society, Blockchain กำลังมา
Crypto Currency คาบเกี่ยวทั้ง 2 อย่างเลย
ถ้าอย่างนั้นเราควรลงทุนซื้อ Crypto Currency มาครอบครองสินะ?
ช้าก่อนครับ!
- cashless society นั้นเป็นสกุลเงินของประเทศนั้นๆ
พูดให้อ๋อ ก็คือ promptpay นั่นเองที่กำลังมา
มันเกี่ยวอะไรกับ coin ต่างๆ? (ยกเว้นอ้างว่าไม่ต้องพกเงินสดเหมือนกัน)
- blockchain กำลังนำมาใช้ในระบบธนาคารต่างๆ
มันเกี่ยวอะไรกับ coin ที่ต่างคนต่างขุดกันทั่วโลก?
เริ่มแปลกๆแล้วใช่มั๊ยครับ?
พูดง่ายๆคือ
ให้เราลงทุนไปหา Crypto Currency มาครอบครอง" นั้น
เป็นการผิดฝาผิดตัวซะจนดูเหมือนเป็นการหลอกลวงด้วยซ้ำ!!
ที่มาของ Crypto Currency
มันเริ่มมาจาก ซาโตชิ คนสร้าง BitCoin ต้องการแสดงแนวคิดใช้ blockchain เพื่อเก็บข้อมูลการเงิน
จึงติ๊ต่างเงินสกุลซาโตชิ (ต่อมาเรียกว่า Bitcoin)
โดยกำหนดให้ server ที่ทำรายการจากการถอดรหัสเพื่อสร้าง block ใหม่สำเร็จ
จะได้รางวัลเป็น Bitcoin เหรียญใหม่ แล้วเก็บเข้าในระบบ (จึงเรียกกันเล่นๆว่า "ขุด")
มีการกำหนดให้มีค่า halving ที่เป็นเงื่อนไขการรางวัลให้คนขุด
ซึ่งจะน้อยลงเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไปตามที่กำหนดไว้
และเมื่อถึงจุดที่กำหนดคือ 21ล้านเหรียญ
ระบบจะไม่มีเหรียญใหม่เป็นรางวัลให้คนขุดอีก
สิ่งที่สำคัญที่ควรเฉลียวใจ ก็คือ
ขณะที่การใช้ blockchain ที่ถูกต้อง จะมีลักษณะคือ
-ภาคธนาคารพยายามจะใส่ตัวเลขที่เป็น"เงินจริงๆ"เข้าไปใน private blockchain
-บ.ประกัน ใส่ข้อมูลกรมธรรม์
-รพ. ใส่ข้อมูลคนไข้
-รัฐ ใช้เก็บทะเบียนราษฎร
เรียกว่า มี "ของจริงๆ" หนุนหลังในทุกข้อมูลใน blockchain
แต่ public crypto เพิ่มจำนวนเงินด้วยเงื่อนไขเป็นค่าทำรายการ(ขุด)
เรียกว่ามันมาจากอากาศเลย
แล้วพยายามจะอ้างให้ทุกคนเชื่อมั่นในมัน เดี๋ยวมันจะมีค่าขึ้นมาเอง
ห๊ะ!! ไม่เชื่อเหรอ ฮึ่ย!!พวกคนหัวเก่า ไม่ยอมเปิดใจรับสิ่งใหม่ (อ้าว!!)
พูดง่ายๆคือ
story ของ crypto currency ต้องซับซ้อน
อ้าง+เน้นย้ำ "ความรู้เชิงเทคนิค" เกี่ยวกับโครงสร้าง/แนวคิด blockchain ที่ซับซ้อนและแฮกไม่ได้เข้าไว้
เพื่อเบี่ยงความสนใจจากข้อเท็จจริงที่เป็น "ความรู้ทางเศรษฐศาสตร์" ที่ว่า ข้อมูลในนั้นมันคืออากาศ
เป็นการเล่นกลทางจิตวิทยา
อ้างความปลอดภัยของตู้เซฟ(ระบบ blockchain)
แล้วตีคลุมว่าสิ่งที่อยู่ในนั้น(ข้อมูลที่เก็บ) เป็นเงินเป็นทองเป็นเพชร
แต่..จริงๆแล้ว มันคืออากาศ!!!
story ของ crypto currency ต้องมีค่า
เพราะการขุดมันซับซ้อน ต้องอาศัยพลังคอมพิวเตอร์และค่าไฟเป็นจำนวนมาก
ต้นทุนของมันแพง มันจึงมีค่า!!
(...โอเค... ต่อให้คุณขุดมาแพง แต่ทำไมผมต้องซื้อมันมาครอบครอง?
ในเมื่อมันเอาไปแลกสินค้าอะไรไม่ได้เลย
ร้านที่รับแลกก็กดเรตเผื่อผันผวน จนกำเงินสดๆไปซื้อตรงๆยังดีซะกว่า
ไม่รวมถึงเวลาการโอนที่รอนาน
ถ้าเอามาใช้จ่ายจริงๆ กินข้าวจานนึงก็รอไปสิทั้งคนซื้อคนขาย
แถมมีค่าธรรมเนียมที่โหดกว่าที่อ้าง
ขณะที่ใช้ cashless society อย่าง promptpay ไม่กี่วิ จบ)
story ของ crypto currency ต้องเป็นอิสระจากรัฐ เป็นระบบกระจายศูนย์
เงินของรัฐมันห่วย, เงิน fiat มันไม่น่าเชื่อถือ
crypto currency นี่แหละเจ๋ง
เพราะถ้าทุกคนยอมรับ มันจะมีค่าของมันเองได้ โดยไม่ต้องให้ ใคร/รัฐ มารับรอง
แล้วทุกคนจะเป็นอิสระจากการควบคุมของรัฐ!!!"
ใครมาต้าน คือ พวกไร้วิสัยทัศน์ เป็นแค่พวกทาสโง่ๆในระบบ
เป็นการบิดเบือนระบบความคิด จากที่เห็นชัดๆว่า
"มันไม่มีค่า เพราะไม่มี ใคร/รัฐ รับรอง"
กลายเป็น
"ถ้าทุกคนยอมรับ มันจะมีค่าของมันเองได้ โดยไม่ต้องให้ ใคร/รัฐ มารับรอง"
แล้วพอปั่นหัวคนเยอะได้ที่แล้ว ก็จะมารวมตัวกดดันจะให้รัฐรับรอง (อ้าว)
story ของ crypto currency ต้องยิ่งใหญ่
เป็นอนาคตทางการเงิน เป็นเทคโนโลยีที่จะเปลี่ยนโลก
เป็นเครื่องมือสำคัญที่จะใช้ต่อสู้กับ ภาครัฐและเหล่านายธนาคาร ที่กดขี่และขูดรีด
จึงเรื่องธรรมดาที่จะต้องต่อสู้กับภาครัฐและเหล่านายธนาคาร ที่คิดจ้องคอยสกัดไม่ให้เกิด
เพราะจะกระทบผลประโยชน์ของตัวเอง
(แต่จริงๆที่เค้าต้านก็เพราะตามหลักเศรษฐศาสตร์ มันคืออากาศ
และจะก่อปัญหาในระบบเศรษฐกิจและสังคม ดังที่จะกล่าวต่อไป)
Crypto Currency คืออะไรในระบบเศรษฐกิจ
เรามาดูกันชัดๆดีกว่าว่า Crypto Currency จะสามารถเป็นอะไรได้บ้างในระบบเศรษฐกิจ ตั้งแต่ แย่ที่สุดจนถึงดีที่สุด
-แย่สุด คูปองศูนย์อาหารร้าง
อย่างที่เขียนไว้ตอนแรกว่า สกุลเงินจะมีค่า ก็ต่อเมื่อเอามาแลกสินค้า/บริการ ได้
การที่เราเอาเงินจริงๆไปแลกคูปองศูนย์อาหารร้าง ที่ไม่มีอะไรขายนั้น ไม่ต่างกับการเอาเงินจริงไปแลกกับเศษกระดาษ
แถมไม่มีธนาคารกลางที่รอรับแลกกลับเป็นเงินจริงอีกด้วย
การซื้อขายสิ่งที่ไม่ได้มีคุณค่าจริง ไปๆมาๆ
มันเป็นอะไรได้นอกจากเก็งกำไร?
บางคนคิดว่า อย่างน้อยมันคงไม่โหดเท่า ดอกทิวลิป หรอก
เพราะดอกทิวลิปเน่าได้ แต่คูปองมันไม่เน่า
เรียกว่าไม่ขายไม่ขาดทุน
เออ.. แต่กรณีนี้ถ้าคนไม่ใช้ คนขุดก็ไม่ได้เหรียญใหม่/ค่าธรรมเนียม
จะพาลเลิกกันหมดเอา
มันคือเหมือนปิดเซิฟฯเกม online นะคร๊าบ
เรียกว่าเจ๊งถ้วนหน้า แบบไม่มีเศษกระดาษให้ถือด้วย
-ตั้งไข่ แลกเปลี่ยนสินค้าได้
ถ้า coin นั้นๆ สามารถหาคนทำสินค้า/บริการ ที่ยอมรับ coin ได้ จะด้วยวิธีใดก็แล้วแต่
(เช่น การเสนอว่า coin ที่จะนำมาขายสามารถนำมาแลก สินค้าของบ.ตัวเองได้
coin นั้นก็ดูเหมือนมีค่ามีตัวมีตนขึ้นมาหน่อย
แต่จะมีสินค้า/บริการอื่นๆมายอมรับด้วยทีหลังหรือไม่ก็เป็นเรื่องที่ไม่แน่นอน)
ร้านค้าและคนในระบบ coin นั้นจะเจอเรื่องปวดหัวกับ บัญชีที่ต้องทำเป็น2สกุลเงิน (เงินปกติ+coin)
อยากรู้ว่าเป็นยังลองไปกัมพูชาดู (เงินเรียล+ดอลล่าร์ โอ.. ชือ-กบาล:"ปวดหัว" ภาษาเขมร)
และ จะซ้ำให้ปวดหัวหนักขึ้นด้วย ความผันผวนของราคา coin
เพราะการตั้งราคาในระบบที่ผันผวนนั้นลำบากมาก
-ถ้า coin กำลังขึ้น คนซื้อก็จะไม่ซื้อ เพราะเทียบกับเงินจริงแล้วแพงขึ้น
ก็จะขาดไม่ออก จนกว่าเราจะลดราคา ยอมรับ coin ให้น้อยลงเพื่อว่าเมื่อเทียบเงินจริงแล้วเท่าๆกัน
-ถ้า coin กำลังตก แล้วรับ coin มาเท่าเดิม .. อ้าว ขาดทุน! ต้องรีบเปลี่ยนราคาเรียก coin ให้มากขึ้น
เรียกว่าเหมือนพยายามจะต้องอยู่รอดในระบบเศรษฐกิจที่ไม่มีธนาคารกลางคอยดูแลเลย
-ดีสุด สกุลเงินหลักของโลก
ด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่
ถ้าคนยอมรับซื้อขายสินค้าบริการกันเยอะ+ราคานิ่งพอควร
มันอาจจะสามารถเทียบเท่ากับเงินสกุลหลักอื่นของโลก(หรือทองคำ...อย่างที่โฆษณากัน)
จนธนาคารกลางของแต่ละประเทศต้องเอามาใช้มาเก็บ ในคลัง/ในตระกร้าเงิน เลยทีเดียว
โอ.. ถ้ามันไปถึงจุดนั้นได้จะยอดมากเลยนะจอร์จ
นั่นสิ ซาร่าห์..ว่าแต่มีตังค์ให้ยืมซักแสนนึงก่อนมั๊ย? จะเอาไปซื้อ coin
นี่ไม่คิดถามสุขภาพกระเป๋าตังค์ชั้นซ๊ากกคำก่อนเหรอ?
มุมมองรัฐ
ข้างบนนั้นคือมุมมองภาค micro-economy
แต่ภาค macro-economy นั้นจะต้องมองแบบรัฐ
ซึ่งมุมมองของรัฐต่อ crypto currency นั้นน่าจะเป็นลบเพราะ
1) ธรรมชาติค่าเงินนั้นต้องมี สินค้า/บริการ หนุนหลัง
จะเกิดอะไรขึ้นกับเงินบาท ถ้าคนหันไปใช้ coin กันหมด
...เงินบาทก็จะไร้ค่ายังไงละ!!
กลายเป็นว่าคนไทยต้องขายบาทออกไปซื้อ coin เพื่อมาซื้อสินค้า/บริการในประเทศ
และไม่มีท่าทีจะแลกกลับเป็นเงินบาทด้วย เพราะเมื่อแพร่หลายแล้วจะสามารถเอาไปซื้อสินค้า/บริการอื่นต่อได้!!!
เทียบกับ บ.ส่งออกจะแลกเงินดอลกลับเป็นบาทมาใช้จ่ายในประเทศ
เพราะสินค้า/วัตถุดิบล้วนเป็นเงินบาท ทำให้เศรษฐกิจในประเทศดีขึ้น
ธนาคารประเทศไทยก็จะมีเงินดอลสำรองเพิ่มขึ้น
สถานะการคลังของประเทศก็แข็งแกร่งขึ้น
2) รัฐจะเก็บภาษี ไม่ได้
เพราะในระบบการเงินปกติ
- ถ้าซื้อกันหลายทอด รัฐยิ่งได้ภาษี VAT เช่น
นาย A ซื้อนาย B 100 บาท มีภาษี 7 บาท เหลือถึงนาย B 93 บาท
นาย B ซื้อนาย C 93 บาท มีภาษี 6.51 บาท เหลือ 86.49 บาท
ไปเรื่อยๆ
แต่ถ้าเป็น coin
- ถึงจะเสนอให้รัฐไปเก็บภาษีซื้อ-ขาย ตรงที่แลก บาท <-> coin
มันจะได้แค่
นาย A แลก 107 บาท หักภาษี 7 บาท เหลือเป็น coin ที่มีมูลค่า 100
ซึ่ง coin นี้จะวนในระบบไปไม่รู้กี่ทอด โดยรัฐไม่ได้ภาษี VAT จนกระทั่งแลกออก
นาย Z แลก coin ที่มีมูลค่า 100 บาท หักภาษี 7 บาท เหลือออกมา 93 บาท
เท่ากับรัฐจะได้ภาษีแค่ 14 บาท จากการซื้อขายกันไม่รู้กี่รอบ
ยิ่งถ้าแพร่หลายจนมันวนในระบบได้โดยไม่ต้องแลกกลับเป็นเงินบาท
รัฐจะได้ภาษี 7 บาทในปีแรกๆ และปีที่เหลือเป็น 0 ... ตลอดกาล!!!
- แล้วตอนนี้จะมาอ้างให้คิด Capital Gain เฉพาะตอนแลกออกอีก
ถ้าทำตามนั้น จะหมายความว่า
ปีแรกๆ รัฐจะไม่ได้อะไร เพราะถือเป็นการแลกเข้า
และ ปีที่เหลือก็ไม่ได้อะไรด้วย เพราะไม่ต้องแลกกลับเป็นเงินบาทอีก
จะเห็นว่า crypto currency มีข้อเสียใหญ่ในมุมมองของรัฐถึง 2 ข้อ
และการปรับแก้ บังคับให้ส่งบัญชี crypto ด้วยนั้นดูจะวุ่นวายมากกว่า
ยิ่งมีระบบ cashless society ที่ทำงานได้ดีอยู่แล้ว
ก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องมี crypto currency ในระบบเศรษฐกิจของประเทศเลย!!
---------------มีต่อที่ความเห็นที่ 1----------------------