สวัสดีครับ เพื่อนสมาชิกทุกท่าน กระทู้นี้เป็นกระทู้เกี่ยวกับการเงินกระทู้แรกของผม ซึ่งผมอยากจะบอกเล่าประสบการณ์การวางแผนลาออกของผม ซึ่งก็ไม่ได้เป็นแผนการที่แยบยล หรือต้องใช้ความสามารถพิเศษใดๆ เพียงแต่เก็บออมและลงทุนบ้างบางส่วน ถือซะว่าเป็นการเล่าสู่กันฟัง อาจจะมีการบ่นๆเพ้อเจ้อในบางช่วงบางตอนก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
ย่อหน้าแรกๆผมขออนุญาตเล่าหรือบ่นๆ แนวความคิดและทัศนคติการเป็นมนุษย์เงินเดือนในมุมมองของผมซักเล็กน้อยนะครับ
แน่นอนครับว่าผมเป็นมนุษย์เงินเดือน ทำงานมา 7 ปี แผนทางรอดของผมคือทำงาน 10 ปี แล้วเลิกทำงานซะ แต่ไม่ได้กะจะลาออกมาทำธุรกิจนะครับ เพียงแต่คิดว่าจะออกมาทำอะไรที่อยากทำ อาจจะเป็นงานอิสระที่ได้เงินบ้าง หรืองานที่ต้องใช้เวลาโดยที่ตอนทำงานประจำนั้นเราไม่มีเวลาพอที่จะทำ และงานเพื่อสังคม แต่ก่อนจะออกนั้นต้องรอดก่อนครับ รอดทั้งตัวเองและครอบครัว นั่นคือมีเงินกินเงินใช้แบบไม่ขัดสนในแต่ละเดือนโดยไม่ต้องเพิ่งงานประจำเป็นพอ และถ้าแผนยังไม่สำเร็จ นั้นคือยังไม่รอดผมจะไม่ลาออกเป็นอันขาดครับ ฮ่ะฮ่ะ ให้นึกถึงคำพูดของพี่ก้องในลัดดาแลนด์ไว้
ตอนนี้ผมอายุ 31 ปี แต่งงานแล้วมีภรรยาหนึ่งคนถ้วน โดยที่แผนการ "รอดแล้วลาออก" นี้ต้องรวมเธอเข้าไปด้วย ถ้าไม่รวมเข้าไปด้วยจะเป็นอันตรายอย่างยิ่งครับ ^ ^
ในความคิดของผมการเป็นมนุษย์เงินเดือนนั้นไม่ได้แย่นะครับ ทุกอย่างมันมีข้อดีข้อเสีย มนุษย์เงินเดือนเป็นวิธีการดำรงชีพที่ใช้ทักษะความสามารถที่เรามีแรกกับเงินในแต่ละเดือน ซึ่งอาจจะมีบางคนมองว่าเป็นการทำงานเพื่อคนอื่น ทำงานให้เจ้านายรวย อันนี้แล้วแต่ความคิดเห็นของแต่ละท่านนะครับ แต่ในความคิดผมมันอาจจะไม่จริงซักเท่าไหร่ เจ้านายรวยนี่ผมไม่เถียงนะครับ เค้ารวยอยู่แล้วฮ่ะฮ่ะ ถ้าเจ้านายไม่รวยความซวยจะมาเยือนลูกน้องอย่างเรานะครับ
คือผมคิดแบบนี้นะครับ เงินเดือนที่เราได้มาขึ้นอยู่กับความสามารถของเราในทุกๆด้านไม่ว่าจะเป็นการทำงาน การปฏิสัมพันธ์กับคนในที่ทำงานรวมทั้งกับหัวหน้างานและเจ้านายของเรา สมมติถ้าเงินเดือนน้อยเราก็ไปบอกเจ้านายหรือบอกคนที่มีอำนาจได้ครับว่า "เงินเดือนผมน่ะมันน้อยไปมั้ยฮะ" คือเราควรจะเจรจาให้เป็นครับ ทุกอย่างในโลกล้วนเจรจาได้ สำเร็จหรือไม่สำเร็จมันอีกเรื่องนึง ซึ่งผมก็เคยทั้งสำเร็จและไม่สำเร็จในการขอขึ้นเงินเดือน ไม่น่าจะมีใครโดนไล่ออกเพราะไปขอขึ้นเงินเดือนนะครับเท่าที่ผมรู้มาน่ะครับ หรือถ้ามีอันนี้ต้องขอเพื่อนๆช่วยมาพูดคุยเล่าประสบการณ์กันนิดนึงนะครับ ผมจะได้ไม่ไปเจรจาบ่อยมากเกินไป ^ ^
กลับมาที่คำว่าเราทำงานประจำเหมือนทำงานเพื่อคนอื่น อันนี้งงๆแฮะ งานประจำเงินเดือนเค้าให้เรานะฮะ มันก็เป็นของเราสิ เราได้เงินเราก็รวยขึ้นเรื่อยๆนะครับ เรารวยเองไม่ได้ทำให้คนอื่นรวย บริษัทรวยได้จากผลประกอบการของเค้า เราก็รวยจากเงินเดือนของเรา อันนี้คือผลต่างตอบแทนไม่ใช้ทำงานเพื่อคนอื่น ถ้าทำงานเพื่อนคนอื่นนี้ต้องแนวพี่ตูนวิ่งเพื่อสังคม แนวนั้นผมถึงจะยอมรับว่าทำเพื่อคนอื่นจริงๆ สรุปว่าในความคิดผมผมทำงานประจำเพื่อนตนเองและครอบครัวครับ ไม่ได้ทำเพื่อคนอื่น ก่อนที่เราจะเป็นคนทำงานไม่ประจำ
"เรามาทำงานประจำให้ทำเงินกันก่อนนะครับ"
ที่สำคัญเลยคือเราต้องมีเงินเดือนเหลือทุกเดือนครับเราถึงจะรวย ยอมรับนะครับว่าคนเราเกิดมาต่างกันมีภาระต่างกัน บางคนอาจจะบอกว่าออมน่ะหรอ ไม่ไหวหรอก ภาระมากมายจะเอาที่ไหนมาออม ซึ่งบางคนเค้ามีภาระมากมายติดตัวมาจริงๆ อันนี้คือต้องสู้มากกว่าคนอื่นครับ แต่สู้เถอะครับ ซักวันจะชนะแน่นอน ในมุมมองของผมภาระมันน่าจะแบ่งออกเป็น 2 แบบหลักๆน่ะครับคือ “ภาระที่เราจำเป็นต้องแบก” กับ “ภาระที่เราสร้างขึ้นมาเอง”
แบบแรกอาจจะเป็นบุพการีที่เราต้องเลี้ยงดูหรือที่น่าเห็นใจที่สุดเลยก็คือภาระจากการเจ็บป่วยค่ารักษาพยาบาลบุพการีของเรา ค่าเลี้ยงดูบุพการีกับคนไทยนั้นเป็นสิ่งที่คู่กันมาอย่างยาวนานและก็เป็นเรื่องที่น่ารักมากๆนะครับ แต่บางคนที่มีปัญหาเท่าที่ผมเคยรู้จักมาคือ “ขอเท่าไหร่ก็ให้เท่านั้น” ซึ่งเป็นปัญหามากๆ เพราะบางคนคิดว่าเราคือผู้นำครอบครัวเราจึงต้องทำทุกอย่างเราจะถอยไม่ได้ขอเท่าไหร่ก็ต้องให้ได้หมด ไม่ว่าทำอย่างไรก็ตาม จริงๆผมคิดว่าคนเราถอยได้นะ แต่อย่าท้อ ไม่ใช่ท้อได้แต่อย่าถอย เพราะถ้าท้อแล้วฝืนมีแต่จะถอยหลังลงคลอง เพราะฉะนั้นถ้าถอยได้ถอยก่อนครับ ซุปเปอร์แมนก็ยังมีจุดอ่อนมีมุมที่อ่อนแอนะครับ ฉะนั้นผมคิดว่าเราไม่ต้องแข็งแกร่งที่สุดในปฐพีก็ได้ ให้ได้เท่าที่เราไหวแล้วเค้าอยู่ได้น่าจะพอเป็นทางออกครับ
ส่วนภาระแบบที่สอง ซึ่งผมจะเน้นไปที่ภาระหนี้สินของมนุษย์เงินเดือน อันนี้เกิดจากเราสร้างเองล้วนๆครับ เพราะไม่มีใครบังคับเรากู้เงิน ไม่มีใครจับมือเราไปเซ็นสัญญาเงินกู้ได้ ถ้าเราไม่ยอมเอง ฉะนั้นเราจะบ่นไม่ได้ว่าภาระเหล่านี้มันทำให้เราไม่รวย เพราะมันเกิดขึ้นจากการวางแผนของเราล้วนๆ ไม่มีใครมาเกี่ยวข้องเลย อาจจะเกี่ยวไปถึงภาระการเลี้ยงดูลูก อันนี้ก็เราสร้างขึ้นเองครับ ถ้าเราไม่พร้อมก็ไม่มีใครบังคับให้เรามีลูกได้เช่นกัน จริงๆถ้าถือว่าลูกป็นภาระภรรยาหรือสามีเป็นภาระ ก็น่าสงสารเค้านะครับ อย่าไปคิดแบบนั้นเลย ฉะนั้นผมคิดว่าเราควรจะวางแผนให้ดีก่อนจะมีภาระใดๆครับ จำไว้ว่าเราต้องรอดแล้วเราจะลาออกให้ดูเป็นขวัญตา
มาถึงแผนการหลักๆของผมนะครับ ผมคิดเป็นสมการง่ายๆครับ
"รายจ่ายในการดำรงชีวิตใน 1 เดือน < หรือ = รายได้จากทรัพย์สินต่อเดือน"
ครับสั้นๆแค่นี้ ถ้าทำให้สมการ 2 ฝั่งเท่ากันหรือขวามากกว่าซ้ายได้ผมจะลาออกให้ดู ซึ่งแน่นอนว่าตอนนี้ยังไม่ได้ 555 แต่ใกล้แล้วครับสำเร็จอยู่ที่ 70% ตามปีที่ทำงานเลยครับ ผมเคยวางแผนไว้คร่าวๆแล้วตอนเริ่มทำงาน แต่ตอนนั้นคำนวนรายจ่ายในการดำรงชีวิตต่ำไปนิด โดยคิดว่าจะใช้ดอกเบี้ยธนาคารอย่างเดียวในการประทังชีพ ซึ่ง ณ ปัจจุบันปี 2018 นี่หมดสิทธิ์แล้วครับ จึงต้องมาปรับแผนใหม่เอารายได้จากทรัพย์สินประเภทอื่นๆมาช่วยดอกเบี้ยเงินออมผู้น่าสงสารของเรา
_________________________________________________________________________
อย่างแรกเลยคำนวนออกมาครับว่ารายจ่าย fix cost ของเราเท่าไหร่ อย่าลืมนับรวมเมียและลูกเราเข้าไปด้วยนะครับฮ่ะฮ่ะ แล้วก็หายรายได้จากทรัพย์สินให้มากกว่าเป็นอันว่าสำเร็จง่ายๆแบบนี้เลยครับ ในกรณีของผมนั้นมีแต่ภรรยาโดยไม่คิดว่าจะมีลูก และเธอก็ทำงานประจำเช่นกันเป็นการช่วยกันให้แผนสำเร็จได้ตามเวลาที่เราวางไว้ ถือว่าเป็นโชคดีของผมครับ
ทรัพย์สินมีมากมายหลายประเภทครับ แต่สำหรับผมขึ้นชื่อว่าเป็นทรัพย์สินมันต้องทำงานให้เราครับ แม้แต่เงินฝากออมทรัพย์ที่ได้ดอกเบี้ยอันน้อยนิดก็เป็นทรัพย์สิน และต่อไปนี้จะเป็นวิธีการสร้างทรัพย์สินตลอดอายุการทำงานของผมครับ
1.)
เขียนรายจ่ายในแต่ละเดือนออกมา บวกไว้นิดหน่อยสำหรับ มื้อพิเศษกับคนพิเศษ หรืออะไรพิเศษๆอย่างอื่น อันนี้คือด้านซ้ายของสมการด้านบนน่ะครับ บัญชีรายรับรายจ่ายแบบรายวันทำไว้ก็ได้ในช่วงแรกๆเพื่อดูเหมือน Statement ของธนาคาร เพื่อมาให้เราคำนวณรายจ่ายต่อเดือนได้ง่ายขึ้นในครั้งต่อๆไป ถึงตอนนี้ผมก็ยังจดแบบรายวันอยู่ครับ จดให้เป็นเหมือนการจดไดอะรี่ คือใส่ความรู้สึกหรือสิ่งๆสำคัญๆในวันนั้นๆที่เราเจอมาลงไปด้วยจะได้ไม่น่าเบื่อ
2.)
ข้อหนึ่งห้ามมากกว่า 70% รายได้ต่อเดือน ถ้ามีคู่ชีวิตแล้วผมคิดว่าสามารถนับรวมกันได้นะครับ ยังไงก็ห้ามมากกว่านะครับผมคิดว่าถ้าเราได้เงินเดือนแค่นี้นั่นคือเรามีปัญญาใช้ชีวิตแค่เท่านี้ครับ ถ้าจะใช้มากกว่านี้ก็ไปหาเงินเพิ่มเอาครับ เงินอยู่รอบๆตัวเราถ้าไม่ขี้เกียจหาเพิ่มได้ตลอดครับ
บัตรเครดิตมีไว้ใช้เป็นจะเกิดประโยชน์ครับ คือใช้เฉพาะที่เรามีปัญญาจ่ายปลายเดือน วิธีคือจ่ายบัตรเครดิตเท่าไหร่ก็เก็บสลิปใส่กระป๋องไว้ แล้วเอาเงินมาใส่ตามจำนวน ฉะนั้นบัตรเครดิตก็เอาไว้แลกของกับ cash back อย่างเดียว ดอกเบี้ยขั้นต่ำธนาคารน่ะหรอ หุหุไม่ได้กินผมหร๊อก ปล.มีเงินเกินล้านแรกแล้วถึงตัดสินใจทำบัตรเครดิตใบแรกครับ
ทริคของผมนิดนึงครับ ตอนแรกผมมีแผนระยะสั้นคือมีเงินล้านก่อนอายุ 25 เพราะผมคิดว่าถ้ามีล้านนึงเมื่อไหร่เราจะงกขึ้นครับ 555 แล้วล้านต่อไปก็จะมาเอง
3.)
ออม 30% หรือมากกว่าในบางครั้ง ออมไว้นิ่งๆให้อุ่นใจครับ โดยผมเลือกเครื่องมือหลักคือการฝากประจำรายเดือนแบบเท่าๆกันทุกเดือนซึ่งเมื่อสามปีที่แล้วจะได้ดอกเบี้ยแบบชนะเงินเฟ้อมานิดนึง (3%) และไม่ต้องเสียภาษีด้วย สะใจตรงนี้แหละ
4.)
ลงทุนอสังหาริมทรัพย์ให้เช่า ให้ได้กระแสเงินสดเป็นบวก และตุนเงินสดไว้ยามฉุกเฉิน ผมเลือกจะสะสมเงินแล้วซื้อเงินสดเลยเนื่องจากเป็นพวกวางแผนแยบยลไม่ค่อยเก่ง เลยเอามันแบบตรงๆนี่แหละซื้อมาแล้วปล่อยเช่าให้ได้ก็จบ
_________________________________________________________________________
แค่ 4 ข้อนี้แหละครับวิธีรอดของผม ไม่มีแผนการแยบยลใดๆทั้งนั้น และทำให้สมการสำเร็จได้ผมก็จะถือว่ามีอิสระภาพทางการเงินอย่างที่ใฝ่ฝันไว้
ถึงแม้ว่าอิสระภาพที่ตั้งไว้มันจะไม่ใช่เงินจำนวนมากแต่จากการทำวิจัยตัวเองมาอย่างยาวนาน จากบันทึกค่าใช้จ่ายแล้วมันทำให้แน่ใจครับว่าผมจะมีความสุขดีกับอิสระภาพทางการเงินนี้
วิธีการที่ว่ามาดูเหมือนจะสั้นๆแต่ที่ทำมาตลอด 7 ปี มันไม่ง่ายเลยจริงๆครับ มันต้องต่อสู้กับตัวเองอย่างหนักเพื่อไม่ให้ผิดแผน เพื่อผลในระยะยาว
ตอนนี้มีคอนโดสองห้อง ให้เช่าอยู่ 1 ห้อง อยู่เอง 1 ห้อง ห้องที่ 3 กำลังก่อสร้าง เมื่อเสร็จครบก็จะปล่อยเช่าทั้ง 3 ห้อง น่าจะพอประทังชีพได้แบบไม่ขัดสน มีบ้านที่ต่างจังหวัดแถวๆ กทม. นี่แหละซื้อไว้โดยใช้เงินของทุกคนในครอบครัวรวมกัน เอาไว้อยู่ด้วยกันตอนผมทำแผนลาออกสำเร็จ
ผมกับภรรยาเป็นคนประเภทที่ไม่ชอบความเสี่ยงเลย ประมาณว่าอะไรที่ไม่ชัวร์อั๊วะไม่อาวววเด็กขั่ก ฉะนั้นก่อนจะทำอะไรเราจะศึกษาอย่างละเอียดมากๆและต้องชัวร์เท่านั้นถึงจะทำ การลงทุนอสังหาแบบผมมันก็เลยอาจจะดูเป็นวิธีแบบโคถึกมากๆ เพราะใช้เงินตัวเองล้วนๆ ลงทุนแบบผิดตำราทุกเล่ม แต่ผมสะดวกและสบายใจแบบนี้จริงๆครับ การลงทุนมันแล้วแต่ใครถนัดแบบไหนไม่ว่ากันเนอะฮ่ะฮ่ะ วิธีแบบผมเพราะมันคำนวณง่ายกว่า และปลอดภัยกว่าในความคิดผมนะ แต่มันก้ต้องแรกมาด้วยวินัยการออมขั้นสูงตลอดหลายปี และก่อนจะซื้อผมเลือกหลายที่มากๆนะครับ เลือกดูเฉพาะย่านที่เราเซียนจริงๆ ก็คือแถวๆที่ทำงานอยู่มา 7 ปี นี่แหละครับ เราต้องรู้พฤติกรรมผู้คนในย่านที่เราจะลงทุน เพื่อการันตีว่าห้องของเราจะไม่ร้างแล้วเราต้องมายืนวังเวงมีเสียงอีกาและไผ่ลู่ลมเหมือนในการ์ตูนอาราเล่ครับ
_________________________________________________________________________
ด้านล่างนี่ผมลองสรุปเป็นบทความสำหรับมนุษย์เงินเดือนเรานะครับ
เรามีอาวุธหนักๆเลยที่เรียกว่า "เงินเดือน" นี่แหละครับ สรรพคุณของมันคือมาเป็นเดือนๆ ไม่ต้องเครียดไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีกิน เหมือนมีฮีลลิ่งแฟคเตอร์แบบวูฟเวอรีน พอใกล้จะหมดสิ้นเดือนก็ฮีลกลับมาได้
ในเมื่อเรามีอาวุธที่ดีแล้วก็จงลับคมมันบ่อยๆ พัฒนาอาวุธให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น มีแหล่งศึกษามากมายครับ ว่าเราจะลับคมเงินเดือนของเราอย่างไรให้คมกริบ ที่ทำให้เราตะลุยฝ่าฟันไปข้างหน้าได้ดีขึ้น ไปสู่อิสระภาพได้เร็วขึ้น
แต่สิ่งที่ควรตระหนักไว้และสำคัญที่สุดคือ "อย่ายื่นอาวุธให้ศัตรูครับ" ในกรณีนี้ศัตรูของเราคือตัวเราเอง ความอยากในตัวเรา ความไม่รู้ในตัวเรา ความใจร้อนในตัวเรา มันจะทำให้อาวุธของเราโดนยึดไป แล้วแปรเปลี่ยนสภาพเป็นอาวุธที่ร้ายกาจที่สุด ที่จะกลับมาทิ่มแทงทำร้ายตัวเราเองหรือแม้กระทั่งคนที่เรารัก "อย่ายื่นอาวุธให้ศัตรูเด็ดขาด" ครับ
โตช้าๆแต่โตทุกวันเหมือนต้นไม้ครับ ใส่ปุ๋ยพรวนดินรดน้ำเอาใจใส่ช่วงแรกๆมากๆหน่อย เมื่อมีรากหยั่งลึกหนักแน่นก็จะเติบโตเองได้มีดอกผลเก็บกินไปตลอดชีวิตอย่างเข้มแข็งยั่งยืนครับ
หวังว่าบทความน่าจะพอมีประโยชน์หรืออย่างน้อยก็เอาไว้อ่านเพลินๆก็ยังดีนะครับ
ถ้าผมทำสำเร็จลุรอดแล้วจะขออนุญาตมาเล่าสู่กันฟังอีกนะครับ : )
ต้องรอด !!! ก่อน แล้วจะลาออกให้ดู
ย่อหน้าแรกๆผมขออนุญาตเล่าหรือบ่นๆ แนวความคิดและทัศนคติการเป็นมนุษย์เงินเดือนในมุมมองของผมซักเล็กน้อยนะครับ
แน่นอนครับว่าผมเป็นมนุษย์เงินเดือน ทำงานมา 7 ปี แผนทางรอดของผมคือทำงาน 10 ปี แล้วเลิกทำงานซะ แต่ไม่ได้กะจะลาออกมาทำธุรกิจนะครับ เพียงแต่คิดว่าจะออกมาทำอะไรที่อยากทำ อาจจะเป็นงานอิสระที่ได้เงินบ้าง หรืองานที่ต้องใช้เวลาโดยที่ตอนทำงานประจำนั้นเราไม่มีเวลาพอที่จะทำ และงานเพื่อสังคม แต่ก่อนจะออกนั้นต้องรอดก่อนครับ รอดทั้งตัวเองและครอบครัว นั่นคือมีเงินกินเงินใช้แบบไม่ขัดสนในแต่ละเดือนโดยไม่ต้องเพิ่งงานประจำเป็นพอ และถ้าแผนยังไม่สำเร็จ นั้นคือยังไม่รอดผมจะไม่ลาออกเป็นอันขาดครับ ฮ่ะฮ่ะ ให้นึกถึงคำพูดของพี่ก้องในลัดดาแลนด์ไว้
ตอนนี้ผมอายุ 31 ปี แต่งงานแล้วมีภรรยาหนึ่งคนถ้วน โดยที่แผนการ "รอดแล้วลาออก" นี้ต้องรวมเธอเข้าไปด้วย ถ้าไม่รวมเข้าไปด้วยจะเป็นอันตรายอย่างยิ่งครับ ^ ^
ในความคิดของผมการเป็นมนุษย์เงินเดือนนั้นไม่ได้แย่นะครับ ทุกอย่างมันมีข้อดีข้อเสีย มนุษย์เงินเดือนเป็นวิธีการดำรงชีพที่ใช้ทักษะความสามารถที่เรามีแรกกับเงินในแต่ละเดือน ซึ่งอาจจะมีบางคนมองว่าเป็นการทำงานเพื่อคนอื่น ทำงานให้เจ้านายรวย อันนี้แล้วแต่ความคิดเห็นของแต่ละท่านนะครับ แต่ในความคิดผมมันอาจจะไม่จริงซักเท่าไหร่ เจ้านายรวยนี่ผมไม่เถียงนะครับ เค้ารวยอยู่แล้วฮ่ะฮ่ะ ถ้าเจ้านายไม่รวยความซวยจะมาเยือนลูกน้องอย่างเรานะครับ
คือผมคิดแบบนี้นะครับ เงินเดือนที่เราได้มาขึ้นอยู่กับความสามารถของเราในทุกๆด้านไม่ว่าจะเป็นการทำงาน การปฏิสัมพันธ์กับคนในที่ทำงานรวมทั้งกับหัวหน้างานและเจ้านายของเรา สมมติถ้าเงินเดือนน้อยเราก็ไปบอกเจ้านายหรือบอกคนที่มีอำนาจได้ครับว่า "เงินเดือนผมน่ะมันน้อยไปมั้ยฮะ" คือเราควรจะเจรจาให้เป็นครับ ทุกอย่างในโลกล้วนเจรจาได้ สำเร็จหรือไม่สำเร็จมันอีกเรื่องนึง ซึ่งผมก็เคยทั้งสำเร็จและไม่สำเร็จในการขอขึ้นเงินเดือน ไม่น่าจะมีใครโดนไล่ออกเพราะไปขอขึ้นเงินเดือนนะครับเท่าที่ผมรู้มาน่ะครับ หรือถ้ามีอันนี้ต้องขอเพื่อนๆช่วยมาพูดคุยเล่าประสบการณ์กันนิดนึงนะครับ ผมจะได้ไม่ไปเจรจาบ่อยมากเกินไป ^ ^
กลับมาที่คำว่าเราทำงานประจำเหมือนทำงานเพื่อคนอื่น อันนี้งงๆแฮะ งานประจำเงินเดือนเค้าให้เรานะฮะ มันก็เป็นของเราสิ เราได้เงินเราก็รวยขึ้นเรื่อยๆนะครับ เรารวยเองไม่ได้ทำให้คนอื่นรวย บริษัทรวยได้จากผลประกอบการของเค้า เราก็รวยจากเงินเดือนของเรา อันนี้คือผลต่างตอบแทนไม่ใช้ทำงานเพื่อคนอื่น ถ้าทำงานเพื่อนคนอื่นนี้ต้องแนวพี่ตูนวิ่งเพื่อสังคม แนวนั้นผมถึงจะยอมรับว่าทำเพื่อคนอื่นจริงๆ สรุปว่าในความคิดผมผมทำงานประจำเพื่อนตนเองและครอบครัวครับ ไม่ได้ทำเพื่อคนอื่น ก่อนที่เราจะเป็นคนทำงานไม่ประจำ "เรามาทำงานประจำให้ทำเงินกันก่อนนะครับ"
ที่สำคัญเลยคือเราต้องมีเงินเดือนเหลือทุกเดือนครับเราถึงจะรวย ยอมรับนะครับว่าคนเราเกิดมาต่างกันมีภาระต่างกัน บางคนอาจจะบอกว่าออมน่ะหรอ ไม่ไหวหรอก ภาระมากมายจะเอาที่ไหนมาออม ซึ่งบางคนเค้ามีภาระมากมายติดตัวมาจริงๆ อันนี้คือต้องสู้มากกว่าคนอื่นครับ แต่สู้เถอะครับ ซักวันจะชนะแน่นอน ในมุมมองของผมภาระมันน่าจะแบ่งออกเป็น 2 แบบหลักๆน่ะครับคือ “ภาระที่เราจำเป็นต้องแบก” กับ “ภาระที่เราสร้างขึ้นมาเอง”
แบบแรกอาจจะเป็นบุพการีที่เราต้องเลี้ยงดูหรือที่น่าเห็นใจที่สุดเลยก็คือภาระจากการเจ็บป่วยค่ารักษาพยาบาลบุพการีของเรา ค่าเลี้ยงดูบุพการีกับคนไทยนั้นเป็นสิ่งที่คู่กันมาอย่างยาวนานและก็เป็นเรื่องที่น่ารักมากๆนะครับ แต่บางคนที่มีปัญหาเท่าที่ผมเคยรู้จักมาคือ “ขอเท่าไหร่ก็ให้เท่านั้น” ซึ่งเป็นปัญหามากๆ เพราะบางคนคิดว่าเราคือผู้นำครอบครัวเราจึงต้องทำทุกอย่างเราจะถอยไม่ได้ขอเท่าไหร่ก็ต้องให้ได้หมด ไม่ว่าทำอย่างไรก็ตาม จริงๆผมคิดว่าคนเราถอยได้นะ แต่อย่าท้อ ไม่ใช่ท้อได้แต่อย่าถอย เพราะถ้าท้อแล้วฝืนมีแต่จะถอยหลังลงคลอง เพราะฉะนั้นถ้าถอยได้ถอยก่อนครับ ซุปเปอร์แมนก็ยังมีจุดอ่อนมีมุมที่อ่อนแอนะครับ ฉะนั้นผมคิดว่าเราไม่ต้องแข็งแกร่งที่สุดในปฐพีก็ได้ ให้ได้เท่าที่เราไหวแล้วเค้าอยู่ได้น่าจะพอเป็นทางออกครับ
ส่วนภาระแบบที่สอง ซึ่งผมจะเน้นไปที่ภาระหนี้สินของมนุษย์เงินเดือน อันนี้เกิดจากเราสร้างเองล้วนๆครับ เพราะไม่มีใครบังคับเรากู้เงิน ไม่มีใครจับมือเราไปเซ็นสัญญาเงินกู้ได้ ถ้าเราไม่ยอมเอง ฉะนั้นเราจะบ่นไม่ได้ว่าภาระเหล่านี้มันทำให้เราไม่รวย เพราะมันเกิดขึ้นจากการวางแผนของเราล้วนๆ ไม่มีใครมาเกี่ยวข้องเลย อาจจะเกี่ยวไปถึงภาระการเลี้ยงดูลูก อันนี้ก็เราสร้างขึ้นเองครับ ถ้าเราไม่พร้อมก็ไม่มีใครบังคับให้เรามีลูกได้เช่นกัน จริงๆถ้าถือว่าลูกป็นภาระภรรยาหรือสามีเป็นภาระ ก็น่าสงสารเค้านะครับ อย่าไปคิดแบบนั้นเลย ฉะนั้นผมคิดว่าเราควรจะวางแผนให้ดีก่อนจะมีภาระใดๆครับ จำไว้ว่าเราต้องรอดแล้วเราจะลาออกให้ดูเป็นขวัญตา
"รายจ่ายในการดำรงชีวิตใน 1 เดือน < หรือ = รายได้จากทรัพย์สินต่อเดือน"
ครับสั้นๆแค่นี้ ถ้าทำให้สมการ 2 ฝั่งเท่ากันหรือขวามากกว่าซ้ายได้ผมจะลาออกให้ดู ซึ่งแน่นอนว่าตอนนี้ยังไม่ได้ 555 แต่ใกล้แล้วครับสำเร็จอยู่ที่ 70% ตามปีที่ทำงานเลยครับ ผมเคยวางแผนไว้คร่าวๆแล้วตอนเริ่มทำงาน แต่ตอนนั้นคำนวนรายจ่ายในการดำรงชีวิตต่ำไปนิด โดยคิดว่าจะใช้ดอกเบี้ยธนาคารอย่างเดียวในการประทังชีพ ซึ่ง ณ ปัจจุบันปี 2018 นี่หมดสิทธิ์แล้วครับ จึงต้องมาปรับแผนใหม่เอารายได้จากทรัพย์สินประเภทอื่นๆมาช่วยดอกเบี้ยเงินออมผู้น่าสงสารของเรา
อย่างแรกเลยคำนวนออกมาครับว่ารายจ่าย fix cost ของเราเท่าไหร่ อย่าลืมนับรวมเมียและลูกเราเข้าไปด้วยนะครับฮ่ะฮ่ะ แล้วก็หายรายได้จากทรัพย์สินให้มากกว่าเป็นอันว่าสำเร็จง่ายๆแบบนี้เลยครับ ในกรณีของผมนั้นมีแต่ภรรยาโดยไม่คิดว่าจะมีลูก และเธอก็ทำงานประจำเช่นกันเป็นการช่วยกันให้แผนสำเร็จได้ตามเวลาที่เราวางไว้ ถือว่าเป็นโชคดีของผมครับ
ทรัพย์สินมีมากมายหลายประเภทครับ แต่สำหรับผมขึ้นชื่อว่าเป็นทรัพย์สินมันต้องทำงานให้เราครับ แม้แต่เงินฝากออมทรัพย์ที่ได้ดอกเบี้ยอันน้อยนิดก็เป็นทรัพย์สิน และต่อไปนี้จะเป็นวิธีการสร้างทรัพย์สินตลอดอายุการทำงานของผมครับ
1.) เขียนรายจ่ายในแต่ละเดือนออกมา บวกไว้นิดหน่อยสำหรับ มื้อพิเศษกับคนพิเศษ หรืออะไรพิเศษๆอย่างอื่น อันนี้คือด้านซ้ายของสมการด้านบนน่ะครับ บัญชีรายรับรายจ่ายแบบรายวันทำไว้ก็ได้ในช่วงแรกๆเพื่อดูเหมือน Statement ของธนาคาร เพื่อมาให้เราคำนวณรายจ่ายต่อเดือนได้ง่ายขึ้นในครั้งต่อๆไป ถึงตอนนี้ผมก็ยังจดแบบรายวันอยู่ครับ จดให้เป็นเหมือนการจดไดอะรี่ คือใส่ความรู้สึกหรือสิ่งๆสำคัญๆในวันนั้นๆที่เราเจอมาลงไปด้วยจะได้ไม่น่าเบื่อ
2.) ข้อหนึ่งห้ามมากกว่า 70% รายได้ต่อเดือน ถ้ามีคู่ชีวิตแล้วผมคิดว่าสามารถนับรวมกันได้นะครับ ยังไงก็ห้ามมากกว่านะครับผมคิดว่าถ้าเราได้เงินเดือนแค่นี้นั่นคือเรามีปัญญาใช้ชีวิตแค่เท่านี้ครับ ถ้าจะใช้มากกว่านี้ก็ไปหาเงินเพิ่มเอาครับ เงินอยู่รอบๆตัวเราถ้าไม่ขี้เกียจหาเพิ่มได้ตลอดครับ
บัตรเครดิตมีไว้ใช้เป็นจะเกิดประโยชน์ครับ คือใช้เฉพาะที่เรามีปัญญาจ่ายปลายเดือน วิธีคือจ่ายบัตรเครดิตเท่าไหร่ก็เก็บสลิปใส่กระป๋องไว้ แล้วเอาเงินมาใส่ตามจำนวน ฉะนั้นบัตรเครดิตก็เอาไว้แลกของกับ cash back อย่างเดียว ดอกเบี้ยขั้นต่ำธนาคารน่ะหรอ หุหุไม่ได้กินผมหร๊อก ปล.มีเงินเกินล้านแรกแล้วถึงตัดสินใจทำบัตรเครดิตใบแรกครับ
ทริคของผมนิดนึงครับ ตอนแรกผมมีแผนระยะสั้นคือมีเงินล้านก่อนอายุ 25 เพราะผมคิดว่าถ้ามีล้านนึงเมื่อไหร่เราจะงกขึ้นครับ 555 แล้วล้านต่อไปก็จะมาเอง
3.) ออม 30% หรือมากกว่าในบางครั้ง ออมไว้นิ่งๆให้อุ่นใจครับ โดยผมเลือกเครื่องมือหลักคือการฝากประจำรายเดือนแบบเท่าๆกันทุกเดือนซึ่งเมื่อสามปีที่แล้วจะได้ดอกเบี้ยแบบชนะเงินเฟ้อมานิดนึง (3%) และไม่ต้องเสียภาษีด้วย สะใจตรงนี้แหละ
4.) ลงทุนอสังหาริมทรัพย์ให้เช่า ให้ได้กระแสเงินสดเป็นบวก และตุนเงินสดไว้ยามฉุกเฉิน ผมเลือกจะสะสมเงินแล้วซื้อเงินสดเลยเนื่องจากเป็นพวกวางแผนแยบยลไม่ค่อยเก่ง เลยเอามันแบบตรงๆนี่แหละซื้อมาแล้วปล่อยเช่าให้ได้ก็จบ
แค่ 4 ข้อนี้แหละครับวิธีรอดของผม ไม่มีแผนการแยบยลใดๆทั้งนั้น และทำให้สมการสำเร็จได้ผมก็จะถือว่ามีอิสระภาพทางการเงินอย่างที่ใฝ่ฝันไว้
ถึงแม้ว่าอิสระภาพที่ตั้งไว้มันจะไม่ใช่เงินจำนวนมากแต่จากการทำวิจัยตัวเองมาอย่างยาวนาน จากบันทึกค่าใช้จ่ายแล้วมันทำให้แน่ใจครับว่าผมจะมีความสุขดีกับอิสระภาพทางการเงินนี้
วิธีการที่ว่ามาดูเหมือนจะสั้นๆแต่ที่ทำมาตลอด 7 ปี มันไม่ง่ายเลยจริงๆครับ มันต้องต่อสู้กับตัวเองอย่างหนักเพื่อไม่ให้ผิดแผน เพื่อผลในระยะยาว
ตอนนี้มีคอนโดสองห้อง ให้เช่าอยู่ 1 ห้อง อยู่เอง 1 ห้อง ห้องที่ 3 กำลังก่อสร้าง เมื่อเสร็จครบก็จะปล่อยเช่าทั้ง 3 ห้อง น่าจะพอประทังชีพได้แบบไม่ขัดสน มีบ้านที่ต่างจังหวัดแถวๆ กทม. นี่แหละซื้อไว้โดยใช้เงินของทุกคนในครอบครัวรวมกัน เอาไว้อยู่ด้วยกันตอนผมทำแผนลาออกสำเร็จ
ผมกับภรรยาเป็นคนประเภทที่ไม่ชอบความเสี่ยงเลย ประมาณว่าอะไรที่ไม่ชัวร์อั๊วะไม่อาวววเด็กขั่ก ฉะนั้นก่อนจะทำอะไรเราจะศึกษาอย่างละเอียดมากๆและต้องชัวร์เท่านั้นถึงจะทำ การลงทุนอสังหาแบบผมมันก็เลยอาจจะดูเป็นวิธีแบบโคถึกมากๆ เพราะใช้เงินตัวเองล้วนๆ ลงทุนแบบผิดตำราทุกเล่ม แต่ผมสะดวกและสบายใจแบบนี้จริงๆครับ การลงทุนมันแล้วแต่ใครถนัดแบบไหนไม่ว่ากันเนอะฮ่ะฮ่ะ วิธีแบบผมเพราะมันคำนวณง่ายกว่า และปลอดภัยกว่าในความคิดผมนะ แต่มันก้ต้องแรกมาด้วยวินัยการออมขั้นสูงตลอดหลายปี และก่อนจะซื้อผมเลือกหลายที่มากๆนะครับ เลือกดูเฉพาะย่านที่เราเซียนจริงๆ ก็คือแถวๆที่ทำงานอยู่มา 7 ปี นี่แหละครับ เราต้องรู้พฤติกรรมผู้คนในย่านที่เราจะลงทุน เพื่อการันตีว่าห้องของเราจะไม่ร้างแล้วเราต้องมายืนวังเวงมีเสียงอีกาและไผ่ลู่ลมเหมือนในการ์ตูนอาราเล่ครับ
เรามีอาวุธหนักๆเลยที่เรียกว่า "เงินเดือน" นี่แหละครับ สรรพคุณของมันคือมาเป็นเดือนๆ ไม่ต้องเครียดไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีกิน เหมือนมีฮีลลิ่งแฟคเตอร์แบบวูฟเวอรีน พอใกล้จะหมดสิ้นเดือนก็ฮีลกลับมาได้
ในเมื่อเรามีอาวุธที่ดีแล้วก็จงลับคมมันบ่อยๆ พัฒนาอาวุธให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น มีแหล่งศึกษามากมายครับ ว่าเราจะลับคมเงินเดือนของเราอย่างไรให้คมกริบ ที่ทำให้เราตะลุยฝ่าฟันไปข้างหน้าได้ดีขึ้น ไปสู่อิสระภาพได้เร็วขึ้น
แต่สิ่งที่ควรตระหนักไว้และสำคัญที่สุดคือ "อย่ายื่นอาวุธให้ศัตรูครับ" ในกรณีนี้ศัตรูของเราคือตัวเราเอง ความอยากในตัวเรา ความไม่รู้ในตัวเรา ความใจร้อนในตัวเรา มันจะทำให้อาวุธของเราโดนยึดไป แล้วแปรเปลี่ยนสภาพเป็นอาวุธที่ร้ายกาจที่สุด ที่จะกลับมาทิ่มแทงทำร้ายตัวเราเองหรือแม้กระทั่งคนที่เรารัก "อย่ายื่นอาวุธให้ศัตรูเด็ดขาด" ครับ
โตช้าๆแต่โตทุกวันเหมือนต้นไม้ครับ ใส่ปุ๋ยพรวนดินรดน้ำเอาใจใส่ช่วงแรกๆมากๆหน่อย เมื่อมีรากหยั่งลึกหนักแน่นก็จะเติบโตเองได้มีดอกผลเก็บกินไปตลอดชีวิตอย่างเข้มแข็งยั่งยืนครับ
หวังว่าบทความน่าจะพอมีประโยชน์หรืออย่างน้อยก็เอาไว้อ่านเพลินๆก็ยังดีนะครับ
ถ้าผมทำสำเร็จลุรอดแล้วจะขออนุญาตมาเล่าสู่กันฟังอีกนะครับ : )