ประสบการณ์ช้ำๆจากการให้หมอดูฮวงจุ้ยมาดูบ้านให้

ออกตัว- เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เพื่อนผมฝากมาโพสต์ (หลายคนอาจบ่นก็เพื่อนทั้งปีแหละ ผมเองยังคิดเลย555) ขอเข้าเรื่องเลยนะครับผม

   สวัสดีครับ ก่อนอื่นผมต้องขอออกตัวก่อนว่าผมไม่ใช่คนงมงายเชื่อเรื่องดวงสักเท่าไรนัก แต่ผมก็ไม่ได้ลบหลู่ศาสตร์พวกนี้ ถ้าเช่นนั้นแล้วทำไมผมถึงต้องซื้อบ้านโดยให้ หมอดูฮวงจุ้ย มาดูให้ สาเหตุก็เพราะว่าผมมีญาติทำอาชีพเป็น หมอดูฮวงจุ้ย หรือที่คนจีนเรียกว่า “ซินแส” ซึ่งไม่ได้มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันมากนัก ( จากนี้ผมขอเรียกเขาว่า “ซินแส” ละกันนะครับ ) เมื่อหลายปีก่อนเขาเคยมาเยี่ยมที่บ้านผม แล้วก็ทักคุณพ่อผมให้ทำการย้ายตำแหน่งการจัดวางสิ่งของต่างๆในบ้านเพื่อเสริมดวง รวมถึงการย้ายชั้นวางของ ตู้โชว์โมเดลของผม ฯลฯ สำหรับผู้ที่มีของสะสมหรือมีตู้โชว์โมเดลคงจะเข้าใจว่าการย้ายตำแหน่งตู้โชว์นั้นมันไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะตู้ขนาดใหญ่ที่ไม่มีล้อเลื่อนแถมมีสิ่งของต่างๆวางอยู่เต็มตู้ไปหมด กว่าจะเอาของออกเพื่อย้ายตู้ แล้วจัดใหม่นี่ต้องใช้เวลาเป็นวันๆ ประกอบกับผมเองก็ไม่ได้มีความเชื่อว่าการเปลี่ยนตำแหน่งจัดวางสิ่งของ ว่ามันจะช่วยให้อะไรๆมันดีขึ้น เรื่องนี้จึงเป็นชนวนเหตุให้ผมต้องมีปากเสียงกับคุณพ่อที่เขาเชื่อตามคำที่ ซินแส บอก  ตั้งแต่นั้นมาผมจึงมีความคิดว่าถ้าผมสร้างบ้านใหม่ผมจะให้เขามาดูฮวงจุ้ยให้ตั้งแต่เริ่มสร้างเลย จะได้ไม่ต้องมามีปัญหาย้ายของนู่นนี่ทีหลัง แล้วผมก็จะได้ไม่ต้องมามีปากเสียงกับคุณพ่อ ด้วยเรื่องที่ดูเหมือนจะไม่เป็นเรื่องนี้

     ด้วยเหตุนี้เมื่อช่วงปลายปีที่แล้ว ผมกับคุณพ่อจึงพา ซินแส ไปดูพื้นที่ปลูกบ้านในหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่ต่างจังหวัด ซึ่งผมได้วางเงินมัดจำจองเอาไว้แล้วรวมถึงพาไปดูหมู่บ้านในโครงการอื่นๆเพื่อเปรียบเทียบ โดยผมเป็นคนออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นที่พัก,ค่าอาหาร,ค่าดูฮวงจุ้ย ( ค่าครู ) พอไปดูสถานที่ปลูกบ้านที่ผมจองไว้ เขาบอกว่าลักษณะรูปทรงของแปลงไม่ดี ให้ย้ายไปจองแปลงอื่นดีกว่า ( ขออธิบายเสริมนิดนึงครับว่าหมู่บ้านนี้สร้างเกือบเสร็จหมดแล้ว แต่ยังเหลืออีก 2 ล็อคที่เป็นแปลงเปล่า และบ้านที่ผมซื้อนั้นเป็นบ้านไซส์ใหญ่สุดของโครงการที่มีเพียง 4-5 หลัง ซึ่งแปลงเปล่าที่เหลือมีเพียงแปลงเดียวที่สามารถสร้างบ้านไซส์ที่ผมต้องการได้ ) ผมจึงหนักใจว่าถ้าผมย้ายไปจองแปลงอื่น ผมก็จะไม่ได้บ้านตามขนาดที่ต้องการ แต่พอคุยกับ ผจก. ที่ดูแลโครงการแล้ว เขาบอกว่าถ้าจะสร้างบ้านไซส์ที่ผมต้องการกับแปลงอื่นก็สามารถสร้างได้ แต่พื้นที่บริเวณรอบบ้านแทบจะไม่เหลือ ผมจึงขอย้ายแปลงไป เป็นแปลงที่ ซินแส ดูให้ซึ่งเขาบอกว่าดีแต่มีขนาดพื้นที่เล็กกว่า

หลังจากนั้นก็มีการพูดคุยกับทางโครงการเรื่องของการปรับแบบบ้านต่างๆ เช่น เรื่องของตำแหน่งประตู,หน้าต่าง ฯลฯ ซึ่งโดยปกติแล้วโครงการตามหมู่บ้านต่างๆมักจะขายกันตามแบบบ้านที่เขากำหนด แต่เขาก็อะลุ่มอล่วยให้ถ้าเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ แล้ว ซินแส ก็ทักว่าควรจะต้องปรับบ้านทั้งหลังให้เอียงไป 4 องศา หรือไม่ก็จัดวางของภายในบ้านทั้งหมดให้เอียงตามองศาที่กล่าวมา เนื่องจากศาลพระภูมิของหมู่บ้านตั้งเป็นแนวเฉียง รวมถึงตู้หรือโต๊ะทำงานของ ผจก.โครงการ เองก็เช่นกัน จากที่พูดคุยกันอยู่นานสองนานก็ได้ข้อสรุปว่า จะปรับบ้านทั้งหลังให้เอียงตามองศาที่ ซินแส ทัก  ซึ่ง ผจก. โครงการ หรือแม้แต่ ซินแส เองก็มีความกังวลอยู่ว่าเมื่อบ้านสร้างออกมามันจะเอียงแบบเห็นชัดเจนมากมั้ย ? แต่สุดท้ายก็สรุปตามนั้น

     จากนั้นวันถัดมาผมก็พา ซินแส ไปดูหมู่บ้านอื่น แล้วก็มีหมู่บ้านหนึ่งที่เขาบอกว่าอยู่แล้วดี ชัยภูมิดีกว่าแปลงที่ผมจองเอาไว้ เขาจึงแนะนำให้ผมเปลี่ยนใจมาซื้อที่แปลงนี้แทน ( ถ้าเทียบกันแล้วหมู่บ้านอีกแห่งหนึ่งที่ผมพา ซินแส ไปดูนี้จะอยู่ติดถนนใหญ่ ทางเข้าออกหมู่บ้านกว้าง มีระบบรักษาความปลอดภัยดี แต่ถ้าพูดถึงเรื่องไซส์บ้านกับราคาแล้วแพงกว่า แล้วก็ไม่มีแบบบ้านที่ผมต้องการ ) พอได้ยินแบบนี้ผมจึงรู้สึกสงสารทางโครงการที่อุตส่าห์นั่งคุยเรื่องการปรับผังบ้านตามฮวงจุ้ยของ ซินแส เมื่อวานนี้ตั้งหลายชั่วโมง และยังไงผมเองก็อยากได้บ้านแบบที่จองเอาไว้ ผมจึงตัดสินใจที่จะไม่เปลี่ยน ( หลังจากนั้น ซินแสก็มักจะมาพูดกับผมทีหลังว่า เสียดายที่ผมไม่ย้ายแปลงไปจองหมู่บ้านสุดท้ายที่ไปดู ถ้าเป็นเขา เขาจะเลือกที่นั้น )

     ต่อมาผมก็ไปเซ็นสัญญากับโครงการที่ผมได้จองเอาไว้ในตอนแรก ตามสเป็คที่คุยกันไว้ แล้วอยู่ดีๆ คุณพ่อ ของผมก็พูดถึงเรื่องสีหลังคาขึ้นมา แล้วได้ไปถามกับ ซินแส ซินแส บอกว่าต้องใช้กระเบื้องสีน้ำตาล แต่ทางโครงการใช้กระเบื้องเป็นสีเทา ผมก็เลยลองคุยกับทางโครงการดูว่าสามารถเปลี่ยนสีกระเบื้องได้หรือไม่  ผจก.โครงการ เขาจึงบอกให้ผมลองไปหาสีโทนที่ต้องการมาให้เขาดูก่อน แต่เขาพูดอยู่ก่อนแล้วว่าไม่อยากจะให้เปลี่ยนแปลงโครงสร้างภายนอกบ้าน อาทิเช่น สีหลังคา เพราะมันจะแตกต่างกับบ้านหลังอื่น แล้วลูกค้ารายอื่นๆก็จะมาขอเปลี่ยนนู่นเปลี่ยนนี่ตามมา แต่ถ้าเราอยากเปลี่ยนก็ค่อยมาเปลี่ยนภายหลังจากที่โอนบ้านมาเป็นชื่อของเราแล้ว และเรื่องสีหลังคาก็ไม่ได้มีการตกลงกันไว้ตั้งแต่แรก แต่ทางโครงการก็จะลองพิจารณาดู จากนั้นผมก็กำหนดสีมาให้เขา แล้ว ผจก.โครงการ ก็เสนอไอเดียมาว่ามีกระเบื้องสีน้ำตาลของอีกโครงการหนึ่ง น่าจะสามารถนำมาใช้แทนสีที่ผมกำหนดได้ จะได้ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนกระเบื้อง

ผมจึงตกลงตามข้อเสนอนั้น แต่แล้ว ผจก.โครงการ เขาก็โทรมาหาผมว่า นายของเขาซึ่งเป็นเจ้าของโครงการไม่อนุมัติเรื่องการเปลี่ยนสีหลังคา ผมจึงได้ส่งไลน์ไปแจ้ง ซินแส ว่าทางโครงการไม่ยอมให้เปลี่ยน ซินแส ก็ตอบกลับมาว่า เขาเคยบอกแล้วว่าให้ตกลงอะไรให้เรียบร้อยก่อนเซ็นสัญญา ผมจึงแย้งเขาไปว่าตอนก่อนเซ็นสัญญาไม่ได้มีการคุยกันเรื่องนี้ คุณพ่อของผมเขาเพิ่งมาทักเรื่องนี้ทีหลัง แล้ว ซินแส ก็ตอบกลับมาทันทีว่าเป็นความผิดเขาหรือ เขาบอกแล้วว่าไม่ให้เอาโครงการนี้แต่ให้ไปเอาอีกโครงการนึง และพูดทิ้งท้ายว่า “เอาที่สบายใจ”

ผมไม่คิดไม่ฝันว่าจะเจอคำตอบแบบนี้ เพราะผมแค่เล่าความจริงและความคืบหน้าให้เขาฟัง แทนที่เขาจะช่วยหาทางแก้ไขหรือหาทางออกให้ กลับพูดปกป้องตัวเอง แถมบอกว่าทำไมไม่เลือกโครงการสุดท้ายที่เขาแนะนำให้เลือก เจอคำพูดที่นอกจากจะไม่ช่วยแล้วถีบหัวส่งแบบนี้ ผมจึงอยากจะมาแชร์เคราะห์กรรม เอ๊ย ประสบการณ์ และระบายให้ทุกท่านฟัง     ที่ผ่านมาผมพยายามจะตอบสนองในสิ่งที่เขาแนะนำมาทุกอย่าง ด้วยความรู้สึกอัดอั้นตันใจลึกๆมานานว่า บ้านนี้มันเป็นบ้านของเรา เราควรจะมีความสุขที่ได้ซื้อ ได้ตกแต่งมันตามความใฝ่ฝันของเรา แต่กลับต้องมาเครียดหรือรู้สึกเป็นทุกข์กับเงื่อนไขที่คนอื่นมากำหนดให้ ซึ่งมันเป็นเรื่องไม่ใช่เรื่อง แค่สีหลังคาไม่ถูกโฉลกตามหลักฮวงจุ้ย นี่ถึงกับต้องย้ายบ้านย้ายโครงการหนีกันเลยหรือ ?

     จากนี้ผมจะทำตามใจของผมสักที โดยไม่หวังพึ่ง ซินแสหมอดู อีกต่อไป ตามคำแนะนำสุดท้ายของเขาที่ฟังดูจะเป็นประโยชน์ที่สุดสำหรับผม นั่นคือ“เอาที่สบายใจละกัน”   เออ !  ูควรทำตามนั้นมานานละ จะได้สบายใจไปนานกว่านี้

เสียเวลา..... เสียอารมณ์..... เสียความรู้สึก..... จบ
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่