[หนังโรงเรื่องที่ 212] Along with the Gods - มันคือตำราวิชาพุทธศาสนาเวอร์ชั่นดราก้อนบอล ; (Yong-hwa Kim, 2017)
by ตั๋วหนังมันแพง
คะแนนความชอบ : A++++ (จากสเกล D-A)
*ไม่มีการสปอยล์เนื้อเรื่องสำคัญ
เรื่องย่อ: "คิมจาฮง" (Tae-hyun Cha) นักผจญเพลิงนายหนึ่งได้ช่วยชีวิตเด็กผู้หญิงคนหนึ่งจากเหตุไฟไหม้โดยแลกกับการที่ตัวตาย เมื่อรู้สึกตัวอีกทีเขาก็ได้พบกับยมทูตสามตนอย่าง "เฮวอนเมก" (Ji-hun Ju), "ด๊กชุน" (Hyang-gi Kim) และ "คังริม" (Jung-woo Ha) เพื่อที่จะได้รับแจ้งว่านับจากนี้ไป 49 วันเขาจะต้องไปผ่านศาลแห่งยมโลกทั้ง 7 ศาลเพื่อเข้ารับการไต่สวนบาปไล่จากบาปเบาไปจนถึงบาปหนัก หากเขาพิสูจน์ตนได้ครบทุกศาลเขาก็จะได้ไปเกิดใหม่
.
.
เป็นหนังอีกเรื่องที่สนุกเกินคาด คือถ้าดูแค่เนื้อแท้ของมันจริงๆ ก็จะเห็นได้ชัดเลยว่า "มันคือหนังธรรมะสอนใจ" สไตล์แบบที่ไทยๆ เราชอบทำนั่นแหละ เน้นอ้างบาปบุญคุณโทษกับคำพูดซึ้งๆ มาเพื่อพยายามสอนคนดูอย่างเราอย่างกับเป็นคาบวิชาจริยธรรมยังไงยังงั้น แล้วอะไรคือความแตกต่างที่โดดเด่น?
"ลีลาในการเล่าเรื่อง" ไงล่ะ ที่มีทั้งลูกล่อลูกชน รวมไปถึงอารมณ์ขันแบบเกาหลีปนกับฉากแอคชั่นที่แทรกเข้ามาเป็นระยะๆ ให้คนดูไม่หลับกัน ทำให้หนังเรื่องนี้อาจกลายเป็นผลงานขึ้นหิ้งของหนังแนวนี้ก็เป็นได้
.
สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจมากก็คือวิธีในการเดินเรื่อง คือต้องอธิบายก่อนว่าที่เล่าไปข้างต้นว่าพระเอกจะต้องไปเข้ารับการไต่สวนให้ครบ 7 ศาลนั้น มันคือการไต่สวนในลักษณะ "อำนาจตุลาการ" เหมือนของจริงบนโลกเลย
กล่าวคือในแต่ละศาลก็จะมีเทพแต่ละองค์เป็นผู้พิพากษา (Judge) และมีเทพสององค์เป็นอัยการ (Prosecutor) ซึ่งมีหน้าที่จะต้องขุดคุ้ยบาปและความชั่วต่างๆ ในอดีตของ "จำเลย" (Defendant) ซึ่งก็คือพระเอกของเราเนี่ยขึ้นมาเปิดโปงให้ผู้พิพากษาดู ซึ่งหากอัยการทั้งคู่สามารถนำเสนอหลักฐานให้พิสูจน์ได้ว่าจำเลยผิดจริง อัยการก็จะได้รับ "แต้มบุญ" เพื่อเอาไปเลื่อนขั้นปูนบำเหน็จให้ตัวเองอยู่สุขสบายขึ้นได้
และในขณะเดียวกันยมทูตทั้งสามที่เดินทางมากับพระเอก ก็จะมีหน้าที่เป็นทนายความ (Attorney) ซึ่งมีหน้าที่หาข้อหักล้างมาแก้ต่างคำฟ้องบาปที่ฝ่ายอัยการยกขึ้นมาให้ตกไป ซึ่งมีเดิมพันคือหากเหล่ายมทูตช่วยเหลือคนได้จำนวนหนึ่ง พวกเขาก็จะได้ไปเกิดใหม่แบบเลือกที่เกิดได้เช่นกัน
.
ซึ่งพอมันเป็นระบบศาลแล้ว การนำเสนอรูปแบบบุญ-บาป, ความดี-ความชั่ว มันเลยออกมาน่าสนใจในลักษณะ "สีเทาๆ" คือต่างคนก็จะนิยามการกระทำนั้นๆ ต่างกันออกไปเป็นลักษณะปัจเจก ไม่ใช่ลักษณะขาว-ดำเชยๆ แบบที่ละครไทยชอบทำ
ลักษณะสีเทาๆ ที่ว่าก็คือ เช่น หากมีคนสองคนกำลังจมน้ำคนละฝั่ง แล้วคุณเลือกช่วยได้คนเดียว ถ้าคุณเลือกช่วยคนซ้ายแล้วคนขวาตายไป จะถือว่าคุณทำบาปหรือทำบุญ? แล้วคุณใช้อะไรมาหยั่งน้ำหนักว่าชีวิตใครมีค่ามากกว่ากัน? เป็นต้น
.
ซึ่งเอาจริงๆ แล้วในหนังเองก็ไม่ได้สรุปการแก้ต่างบาปให้พระเอกออกมาไม่ได้ดีเท่าไรหรอก บางอันออกแนวเถียงข้างๆ คูๆ ด้วยซ้ำ
แต่ก็อย่าลืมว่าเรากำลังพูดถึงระบบของศาล ซึ่งทั้งทนายและอัยการต่างก็พยายามอย่างเต็มที่เพื่อที่จะชักจูง "อารมณ์" ของคนดูอย่างเราและผู้พิพากษาให้โน้มน้าวมาทางฝ่ายตนมากกว่า ดังนั้นลูกเล่นบางอย่างที่ทนายฝ่ายพระเอกงัดออกมาเล่นจึงแทบจะดูเป็นลูกไม้สกปรกด้วยซ้ำ แต่สำหรับผู้เขียนแล้วผมถือว่านี่คือส่วนที่เป็นเสน่ห์ของหนังนะ มันน่าสนใจขึ้นเยอะก็เพราะแบบนี้แหละ
.
ในส่วนของฉากแอคชั่นก็ต้องบอกว่าเจ๋งไม่เบาเลยทีเดียว คือระหว่างการเดินทางไปตามศาลต่างๆ ในยมโลกก็มักจะมีสัมพเวสีมาคอยจู่โจมพระเอกอยู่เรื่อย ซึ่งพลังของเหล่ายมทูตนี่ก็ไม่ใช่กระจอกนะ มีการกระโดดวาร์ป/เหาะ แบบดราก้อนบอล แถมปล่อยพลังเอฟเฟคสวยๆ ได้เหมือนหนังกำลังภายในเลยล่ะ ซึ่งจุดนี้ผู้เขียนถือว่าเป็นสีสันพักสมองที่ดีจากการไต่สวนคดีเครียดๆ ให้เราได้ตื่นตากับมหกรรมเอฟเฟกต์ที่หนังประเคนเข้ามาได้ อาจมีบางส่วนไม่ค่อยเนียนบ้าง แต่พอถัวๆ กันแล้วมันก็โอเคครับ
.
แน่นอนว่าด้วยความเป็นหนังเกาหลี เรื่องความเมโลดรามาน้ำตาแตกโฮก็ต้องขาดไปไม่ได้อยู่แล้ว มีฉากหลายฉากในเรื่องที่ค่อนข้างเค้นน้ำตาคนดูพอสมควร (ไม่ได้ซึ้งจริงขนาดนั้น แต่อาศัยมุมกล้อง+ดนตรีแรงๆ ช่วย) แต่พอพูดถึงแล้วมันก็เป็นองค์ประกอบที่ค่อนข้าง match กับองค์รวมของหนัง ดังนั้นเลยหยวนๆ ให้กันได้ครับ
.
ถ้าถามความรู้สึกจริงๆ แล้ว ผมรู้ว่าหนังเรื่องนี้มันมีคุณค่าไม่แพ้หลักสูตรศาสนาประจำโรงเรียนมัธยมของไทยเราเลย คืออย่างน้อยเด็กๆ ถ้าได้ดูหนังเรื่องนี้คงจะเก็ตแนวคิดบางอย่างเกี่ยวกับบาปบุญคุณโทษที่มีหลายด้านหลายแง่มุมไปได้แน่นอน ที่สำคัญคือมันยังมีความบันเทิงแทรกเข้ามาในเชิงอภินิหารที่ไม่ได้ไปทำให้แกนกลางของเรื่องด่างพร้อยเลยแม้แต่น้อย
ยังไงระหว่างรอหนังใหม่เข้า อย่าลืมพาครอบครัวไปเพลินกับหนังธรรมะดราก้อนบอลเรื่องนี้กันล่ะครับ
ป.ล.1 พระเอกมันหน้าตาดูเป็นคนดีไปหน่อย เลยโกงเอาใจคนดูไปซะหมด
ป.ล.2 ดีไซน์ของเทพประจำแต่ละศาลโคตรจะคูลลลลล เก็บไว้พูดต่อได้อีกโพสต์เลยเนี่ย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้หากชื่นชอบรีวิวรบกวนช่วยไลค์ช่วยแชร์เพื่อให้กำลังใจหรือติดตามผลงานได้ที่เพจ https://www.facebook.com/expensivemovie/ นะครับ
[หนังโรงเรื่องที่ 212] Along with the Gods - มันคือตำราวิชาศาสนาเวอร์ชั่นดราก้อนบอล by ตั๋วหนังมันแพง
[หนังโรงเรื่องที่ 212] Along with the Gods - มันคือตำราวิชาพุทธศาสนาเวอร์ชั่นดราก้อนบอล ; (Yong-hwa Kim, 2017)
by ตั๋วหนังมันแพง
คะแนนความชอบ : A++++ (จากสเกล D-A)
*ไม่มีการสปอยล์เนื้อเรื่องสำคัญ
เรื่องย่อ: "คิมจาฮง" (Tae-hyun Cha) นักผจญเพลิงนายหนึ่งได้ช่วยชีวิตเด็กผู้หญิงคนหนึ่งจากเหตุไฟไหม้โดยแลกกับการที่ตัวตาย เมื่อรู้สึกตัวอีกทีเขาก็ได้พบกับยมทูตสามตนอย่าง "เฮวอนเมก" (Ji-hun Ju), "ด๊กชุน" (Hyang-gi Kim) และ "คังริม" (Jung-woo Ha) เพื่อที่จะได้รับแจ้งว่านับจากนี้ไป 49 วันเขาจะต้องไปผ่านศาลแห่งยมโลกทั้ง 7 ศาลเพื่อเข้ารับการไต่สวนบาปไล่จากบาปเบาไปจนถึงบาปหนัก หากเขาพิสูจน์ตนได้ครบทุกศาลเขาก็จะได้ไปเกิดใหม่
.
เป็นหนังอีกเรื่องที่สนุกเกินคาด คือถ้าดูแค่เนื้อแท้ของมันจริงๆ ก็จะเห็นได้ชัดเลยว่า "มันคือหนังธรรมะสอนใจ" สไตล์แบบที่ไทยๆ เราชอบทำนั่นแหละ เน้นอ้างบาปบุญคุณโทษกับคำพูดซึ้งๆ มาเพื่อพยายามสอนคนดูอย่างเราอย่างกับเป็นคาบวิชาจริยธรรมยังไงยังงั้น แล้วอะไรคือความแตกต่างที่โดดเด่น?
"ลีลาในการเล่าเรื่อง" ไงล่ะ ที่มีทั้งลูกล่อลูกชน รวมไปถึงอารมณ์ขันแบบเกาหลีปนกับฉากแอคชั่นที่แทรกเข้ามาเป็นระยะๆ ให้คนดูไม่หลับกัน ทำให้หนังเรื่องนี้อาจกลายเป็นผลงานขึ้นหิ้งของหนังแนวนี้ก็เป็นได้
สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจมากก็คือวิธีในการเดินเรื่อง คือต้องอธิบายก่อนว่าที่เล่าไปข้างต้นว่าพระเอกจะต้องไปเข้ารับการไต่สวนให้ครบ 7 ศาลนั้น มันคือการไต่สวนในลักษณะ "อำนาจตุลาการ" เหมือนของจริงบนโลกเลย
กล่าวคือในแต่ละศาลก็จะมีเทพแต่ละองค์เป็นผู้พิพากษา (Judge) และมีเทพสององค์เป็นอัยการ (Prosecutor) ซึ่งมีหน้าที่จะต้องขุดคุ้ยบาปและความชั่วต่างๆ ในอดีตของ "จำเลย" (Defendant) ซึ่งก็คือพระเอกของเราเนี่ยขึ้นมาเปิดโปงให้ผู้พิพากษาดู ซึ่งหากอัยการทั้งคู่สามารถนำเสนอหลักฐานให้พิสูจน์ได้ว่าจำเลยผิดจริง อัยการก็จะได้รับ "แต้มบุญ" เพื่อเอาไปเลื่อนขั้นปูนบำเหน็จให้ตัวเองอยู่สุขสบายขึ้นได้
และในขณะเดียวกันยมทูตทั้งสามที่เดินทางมากับพระเอก ก็จะมีหน้าที่เป็นทนายความ (Attorney) ซึ่งมีหน้าที่หาข้อหักล้างมาแก้ต่างคำฟ้องบาปที่ฝ่ายอัยการยกขึ้นมาให้ตกไป ซึ่งมีเดิมพันคือหากเหล่ายมทูตช่วยเหลือคนได้จำนวนหนึ่ง พวกเขาก็จะได้ไปเกิดใหม่แบบเลือกที่เกิดได้เช่นกัน
ซึ่งพอมันเป็นระบบศาลแล้ว การนำเสนอรูปแบบบุญ-บาป, ความดี-ความชั่ว มันเลยออกมาน่าสนใจในลักษณะ "สีเทาๆ" คือต่างคนก็จะนิยามการกระทำนั้นๆ ต่างกันออกไปเป็นลักษณะปัจเจก ไม่ใช่ลักษณะขาว-ดำเชยๆ แบบที่ละครไทยชอบทำ
ลักษณะสีเทาๆ ที่ว่าก็คือ เช่น หากมีคนสองคนกำลังจมน้ำคนละฝั่ง แล้วคุณเลือกช่วยได้คนเดียว ถ้าคุณเลือกช่วยคนซ้ายแล้วคนขวาตายไป จะถือว่าคุณทำบาปหรือทำบุญ? แล้วคุณใช้อะไรมาหยั่งน้ำหนักว่าชีวิตใครมีค่ามากกว่ากัน? เป็นต้น
ซึ่งเอาจริงๆ แล้วในหนังเองก็ไม่ได้สรุปการแก้ต่างบาปให้พระเอกออกมาไม่ได้ดีเท่าไรหรอก บางอันออกแนวเถียงข้างๆ คูๆ ด้วยซ้ำ
แต่ก็อย่าลืมว่าเรากำลังพูดถึงระบบของศาล ซึ่งทั้งทนายและอัยการต่างก็พยายามอย่างเต็มที่เพื่อที่จะชักจูง "อารมณ์" ของคนดูอย่างเราและผู้พิพากษาให้โน้มน้าวมาทางฝ่ายตนมากกว่า ดังนั้นลูกเล่นบางอย่างที่ทนายฝ่ายพระเอกงัดออกมาเล่นจึงแทบจะดูเป็นลูกไม้สกปรกด้วยซ้ำ แต่สำหรับผู้เขียนแล้วผมถือว่านี่คือส่วนที่เป็นเสน่ห์ของหนังนะ มันน่าสนใจขึ้นเยอะก็เพราะแบบนี้แหละ
ในส่วนของฉากแอคชั่นก็ต้องบอกว่าเจ๋งไม่เบาเลยทีเดียว คือระหว่างการเดินทางไปตามศาลต่างๆ ในยมโลกก็มักจะมีสัมพเวสีมาคอยจู่โจมพระเอกอยู่เรื่อย ซึ่งพลังของเหล่ายมทูตนี่ก็ไม่ใช่กระจอกนะ มีการกระโดดวาร์ป/เหาะ แบบดราก้อนบอล แถมปล่อยพลังเอฟเฟคสวยๆ ได้เหมือนหนังกำลังภายในเลยล่ะ ซึ่งจุดนี้ผู้เขียนถือว่าเป็นสีสันพักสมองที่ดีจากการไต่สวนคดีเครียดๆ ให้เราได้ตื่นตากับมหกรรมเอฟเฟกต์ที่หนังประเคนเข้ามาได้ อาจมีบางส่วนไม่ค่อยเนียนบ้าง แต่พอถัวๆ กันแล้วมันก็โอเคครับ
แน่นอนว่าด้วยความเป็นหนังเกาหลี เรื่องความเมโลดรามาน้ำตาแตกโฮก็ต้องขาดไปไม่ได้อยู่แล้ว มีฉากหลายฉากในเรื่องที่ค่อนข้างเค้นน้ำตาคนดูพอสมควร (ไม่ได้ซึ้งจริงขนาดนั้น แต่อาศัยมุมกล้อง+ดนตรีแรงๆ ช่วย) แต่พอพูดถึงแล้วมันก็เป็นองค์ประกอบที่ค่อนข้าง match กับองค์รวมของหนัง ดังนั้นเลยหยวนๆ ให้กันได้ครับ
ถ้าถามความรู้สึกจริงๆ แล้ว ผมรู้ว่าหนังเรื่องนี้มันมีคุณค่าไม่แพ้หลักสูตรศาสนาประจำโรงเรียนมัธยมของไทยเราเลย คืออย่างน้อยเด็กๆ ถ้าได้ดูหนังเรื่องนี้คงจะเก็ตแนวคิดบางอย่างเกี่ยวกับบาปบุญคุณโทษที่มีหลายด้านหลายแง่มุมไปได้แน่นอน ที่สำคัญคือมันยังมีความบันเทิงแทรกเข้ามาในเชิงอภินิหารที่ไม่ได้ไปทำให้แกนกลางของเรื่องด่างพร้อยเลยแม้แต่น้อย
ยังไงระหว่างรอหนังใหม่เข้า อย่าลืมพาครอบครัวไปเพลินกับหนังธรรมะดราก้อนบอลเรื่องนี้กันล่ะครับ
ป.ล.1 พระเอกมันหน้าตาดูเป็นคนดีไปหน่อย เลยโกงเอาใจคนดูไปซะหมด
ป.ล.2 ดีไซน์ของเทพประจำแต่ละศาลโคตรจะคูลลลลล เก็บไว้พูดต่อได้อีกโพสต์เลยเนี่ย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้