(เรื่องย่อ) จากคดีฆ่าหั่นศพที่ยังไม่คลี่คลาย เหยื่อหญิงสาวที่ไม่รู้ว่าเป็นใคร นอกจากป้ายยี่ห้อเปรมิกาบนชุดนักเรียนที่เธอใส่ตอนตาย กับรีสอร์ตที่เกิดเหตุซึ่งถูกรีโนเวทขึ้นมาใหม่ และแขกกลุ่มแรกที่มีทั้งเซเลป นักดนตรี คู่สามีภรรยา และทีมช่างภาพ ที่ต้องมาเจอกับวิญญาณเปรมิกาที่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้น จากการมีคนไปเสียบไฟตู้คาราโอเกะที่กักขังวิญญาณเธอไว้ เมื่อวิญญาณผีสาวต้องการจะหาตัวฆาตกรที่ฆ่าเธอ โดยรู้เพียงอย่างเดียวว่ามันเป็นนักร้องเสียงเพี้ยน การทดสอบความสามารถในการร้องเพลงของแขกทั้งหลายจึงเริ่มขึ้น โดยคนที่ร้องเพี้ยน หรือได้คะแนนไม่ถึง 80 รางวัลที่ได้คือความตาย
หนังผีสยองขวัญ ปนตลก และความเพี้ยน ที่มีแนวทางเป็นของตัวเอง โดยไม่ต้องอาศัยตรรกะ หรือคำอธิบายใดๆ ทำให้หนังเรื่องนี้ถูกจัดกลุ่มเป็นหนังคัลท์ ซึ่งเป็นหนังที่คนทั่วไปพร้อมที่จะเกลียด ในขณะที่คนอีกกลุ่มหนึ่งก็พร้อมที่จะชื่นชมอย่างชัดเจน โดยหลายคนเอาไปเปรียบเทียบกับบุปผาราตรี ซึ่งเป็นหนังผีออกแนวโฉ่งฉ่าง ไล่ล่า แต่ตัวเองกลับนึกถึงหนังคัลท์ไทยๆแบบสวยลากไส้ ที่ได้รับเสียงตอบรับต่ำกว่าคุณภาพจริงๆของหนัง และผู้คนมองข้ามไปอย่างน่าเสียดาย และเมื่อดูถึง end credit และเห็นชื่อผู้ควบคุมงานสร้าง วิศิษฐ์ ศาสนเที่ยง ก็ไม่แปลกใจเลย เพราะงานสมัยแรกๆของเขาอย่างฟ้าทะลายโจร หรือ หมานครก็เป็นหนังคัลท์เหมือนกัน และส่วนตัวของเจ้าของกระทู้ ก็มักถูกใจหนังเหล่านี้ทุกๆเรื่อง รวมถึงเปรมิกาป่าราบเรื่องนี้ด้วย
โดน 1: พล็อตหนังทีแหวกแนว เพี้ยน หลุดโลก ไม่เหมือนใคร แต่พอดูจนจบแล้ว กลับดูสมเหตุผลกับแนวหนัง และมีอะไรๆมากกว่าที่เห็นในตัวอย่าง โดยเฉพาะปูมหลังและปมของตัวละครหลายๆตัว ที่พอเผยออกมาแล้วสามารถสร้างอารมณ์ร่วมให้คนดูเป็นอย่างดี จนถึงขั้นสะเทือนใจกับบางตัวละคร
โดน2: การใช้ตู้คาราโอเกะเป็นเครื่องมือในการสื่อสารของหนัง ซึ่งเป็นทั้งสัญลักษณ์ของความบันเทิงราคาถูก และการแสดงตัวตนของผู้ร้อง และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพลงที่ถูกเลือกมาใส่ในหนังซึ่งเป็นเพลงดังเมื่อประมาณ 20 – 30 ปีที่แล้ว เป็นตัวแทนของยุคสมัย ให้เกิดอารมณ์โหยหาอดีต เหมาะเจาะกับตัวละครแต่ละตัว และยังมีการลุ้นว่าจะเป็นเพลงอะไร จะตลอดรอดฝั่งหรือไม่ และชวนนึกถึงเวลาไปคาราโอเกะจริงๆ ซึ่งมักต้องมีคนร้องเพี้ยน ร้องเทพ บ้าพลัง คนที่ไม่ร้องแต่เต้น หรือคนที่ร้องผิดเนื้ออยู่ในกลุ่มเสมอ (เพลงประตูใจ กับนกเขาคูรัก คาดว่ามีคนร้องผิดแบบในหนังเพียบ)
โดน3: นักแสดงนำทั้งสามคน ได้แก่จีน่า ดี (นักร้องนักแสดงค่าย MBO ที่เคยผ่านตามากับบทสาวเลสเบี้ยนผู้แอบหลงรักเพื่อนสนิทตัวเองในซีรีส์ รักชั้นนัย) ที่ใช้ความหน้าตาย และน้ำเสียงทื่อๆ สร้างคาแรกเตอร์ผีสาวเปรมิกาอย่างมีเอกลักษณ์ และตอนเฉลยปูมหลังเธอ อารมณ์ก็มาอย่างท่วมท้น เบสท์ ณัฐสิทธิ์ ที่สลัดมาดกวน เกรียน หรือจิตๆ แบบที่คุ้นตา มาเล่นบทหนุ่มละมุน อ่อนโยน โอปป้า ได้อย่างน่าเชื่อถือ จนถึงตอนท้ายที่ทำเอาอ้าปากค้าง และโอ๊ต ปราโมทย์ ที่ใช้ความต่ำตมของตัวเองมาเรียกเสียงฮา แต่พอบทจะจริงจังก็เอาอยู่ แถมยังร้องเพลงเพราะมากกกก นอกจากนี้นักแสดงสมทบคู่หูเน็ตไอดอลเซ็กซี่ เนยกับแยม ก็เป็นอีกสองคนที่โผล่มาขโมยซีนและสร้างสีสันได้ในหลายๆฉาก
โดน4: ฉากคาราโอเกะของตัวละครหลักๆ ที่ยกมาทั้งฉากทั้งเวที และแฟลชแบ็คให้เห็นที่มาที่ไปและปูมหลังตัวละคร ซึ่งส่วนใหญ่ก็เรียกอารมณ์ร่วมจากคนดูได้เป็นอย่างดี ทำให้เข้าใจและเห็นใจตัวละครมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเปรมิกา ที่อาจมีคนจุก เสียน้ำตาให้เธอได้ จะมียกเว้นก็แค่ฉากของเบิร์ด หนุ่มตี๋ปากดีที่มากับเมีย ที่ไม่มีอะไรให้พูดถึงมากเท่าตัวละครอื่น แถมยังดูโดดๆจากภาพรวมของหนังด้วย
โดน 5: สิ่งที่หนังต้องการสื่อคือการใช้คาราโอเกะเพื่อสะท้อนตัวตนของตัวละคร ที่ล้วนแต่มีปมบางอย่าง แต่เวลาที่เขาได้จับไมค์ร้องเพลงก็เหมือนถูกปลดปล่อยจากปมนั้น และกลับมาเป็นตัวของตัวเองที่แท้จริง และนอกจากนี้ หนังยังสะท้อนถึงเหล่าคนที่ไม่มีตัวตนในสังคม จนไม่มีใครให้ความสำคัญ ซึ่งบางคนอาจใช้การแสดงออกหรือสร้างตัวตนเพื่อให้คนอื่นยอมรับ แต่บางคนอาจไม่มีโอกาสนั้น และเป็นคนที่ไม่มีตัวตนในสังคม แม้แต่ชื่อเสียงเรียงนาม แม้จะตายไปแล้วก็ตาม
ไม่โดน 1: โปรดักชั่นหนังที่ออกมา แสดงถึงความเป็นหนังทุนต่ำราคาถูกอย่างชัดเจน (อาจจงใจเพื่อความคัลท์) โดยเฉพาะเทคนิคต่างๆ และงานสร้างในฉากโรงแรม ฉากการตายต่างๆ ยังพอรับได้ว่าต้องการให้ไม่สมจริงเพื่อให้เป็นอารมณ์แบบการ์ตูนมากกว่าความสยดสยอง แต่ฉากอื่นๆ ก็ควรที่จะออกมาเนียนกว่านี้ ไม่ใช่เหมือนมานั่งดูหนังปะติดแบบหยาบๆ (เช่นฉากถ่ายเห็นโรงแรมทั้งหลัง แล้วซูมเอ้าท์ออกมาเห็นเปรมิกานั่งห้อยขาบนต้นไม้ อะไรจะดูเป็นซีจีขนาดนั้น)
ไม่โดน 2: การแบ่งสัดส่วนหนังที่ยังไม่ลงตัว ทำให้ในช่วงแรกๆที่ปูเรื่อง หนังค่อนข้างยืดเยื้อ ตลกฝืดๆ และมีอะไรรกรุงรังเยอะ จนมาถึงครึ่งหลังที่เริ่มร้องเพลง หนังค่อยดูสนุกและมีอะไรขึ้นมา นอกจากนี้หนังยังต้องแบ่งอีกส่วนหนึ่งไปให้กับฉากสืบสวนของตำรวจที่ตัดสลับเข้ามาทั้งเรื่อง ซึ่งถ้าปรับสัดส่วนใหม่ ให้ความสำคัญกับฉากคาราโอเกะมากขึ้น (อาจเพิ่มเพลง หรือมีตัวละครใหม่ๆ หรือให้ตัวละครที่มีอยู่ได้มีโอกาสร้องบ้าง) น่าจะทำให้หนังออกมาดีกว่านี้
ไม่โดน3: นักแสดงสมทบทั้งหลาย นอกจากเนยแยมแล้ว แต่ละคนล้วนแต่เป็นส่วนเกินของหนัง แม้จะพยายามใส่มุขให้แต่ละบท แต่ก็ยังไม่เวิร์ค เพราะบทที่ไม่ได้มีความสำคัญหรือน้ำหนักต่อเนื้อเรื่องแต่อย่างไร อาจพอหัวเราะหึๆได้นิดหน่อย กับตัวละครคู่หูสองคนที่ซื่อบื้อและเฮฮาแบบไม่ดูหน้าสิ่วหน้าขวาน (นึกถึงตัวมินเนี่ยน) ซึ่งตัวละครเหล่านี้ จะตัดทิ้งไปก็ไม่ได้เสียหายอะไรกับหนังเลย
ไม่โดน 4: หน้าหนังไม่ค่อยน่าดูเลย ตั้งแต่ไม่ค่อยมีนักแสดงที่ดึงดูด (โอ๊ต ปราโมทย์น่าจะขายได้มากที่สุดแล้วมั้ง) รวมถึงตัวอย่างหนังที่ตัดออกมาไม่เชิญชวนให้ดูเลย เพราะเต็มไปด้วยคำหยาบ มุขสกปรก ตลกปัญญาอ่อน เหยียดเพศ จนเกือบพลาดหนังเรื่องนี้ไปแล้ว ซึ่งพอถึงหนังจริง ไอ้ที่มีในตัวอย่างก็ยังมีอยู่นั่นแหละ แต่ก็ยังมีฉากดีๆอีกหลายๆฉาก ที่ไม่อยู่ในตัวอย่าง (ซึ่งเป็นข้อดี เพราะได้อารมณ์คาดไม่ถึงตอนดู) แต่จริงๆถ้าตัดตัวอย่างให้ดีกว่านี้ อาจได้คนดูเพิ่มขึ้นกว่านี้ก็ได้
ถ้าสนใจติดตามอ่านรีวิวหนังเรื่องอื่นๆของเจ้าของกระทู้ ติดตามได้ที่เพจ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ https://www.facebook.com/MovieReviewByPong/
[CR] (รีวิวหนัง) เปรมิกา ป่าราบ: ขอให้ฉันได้ร้องเพลงบ้าง..สักเพลง (สปอยด์เล็กน้อย)
หนังผีสยองขวัญ ปนตลก และความเพี้ยน ที่มีแนวทางเป็นของตัวเอง โดยไม่ต้องอาศัยตรรกะ หรือคำอธิบายใดๆ ทำให้หนังเรื่องนี้ถูกจัดกลุ่มเป็นหนังคัลท์ ซึ่งเป็นหนังที่คนทั่วไปพร้อมที่จะเกลียด ในขณะที่คนอีกกลุ่มหนึ่งก็พร้อมที่จะชื่นชมอย่างชัดเจน โดยหลายคนเอาไปเปรียบเทียบกับบุปผาราตรี ซึ่งเป็นหนังผีออกแนวโฉ่งฉ่าง ไล่ล่า แต่ตัวเองกลับนึกถึงหนังคัลท์ไทยๆแบบสวยลากไส้ ที่ได้รับเสียงตอบรับต่ำกว่าคุณภาพจริงๆของหนัง และผู้คนมองข้ามไปอย่างน่าเสียดาย และเมื่อดูถึง end credit และเห็นชื่อผู้ควบคุมงานสร้าง วิศิษฐ์ ศาสนเที่ยง ก็ไม่แปลกใจเลย เพราะงานสมัยแรกๆของเขาอย่างฟ้าทะลายโจร หรือ หมานครก็เป็นหนังคัลท์เหมือนกัน และส่วนตัวของเจ้าของกระทู้ ก็มักถูกใจหนังเหล่านี้ทุกๆเรื่อง รวมถึงเปรมิกาป่าราบเรื่องนี้ด้วย
โดน 1: พล็อตหนังทีแหวกแนว เพี้ยน หลุดโลก ไม่เหมือนใคร แต่พอดูจนจบแล้ว กลับดูสมเหตุผลกับแนวหนัง และมีอะไรๆมากกว่าที่เห็นในตัวอย่าง โดยเฉพาะปูมหลังและปมของตัวละครหลายๆตัว ที่พอเผยออกมาแล้วสามารถสร้างอารมณ์ร่วมให้คนดูเป็นอย่างดี จนถึงขั้นสะเทือนใจกับบางตัวละคร
โดน2: การใช้ตู้คาราโอเกะเป็นเครื่องมือในการสื่อสารของหนัง ซึ่งเป็นทั้งสัญลักษณ์ของความบันเทิงราคาถูก และการแสดงตัวตนของผู้ร้อง และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพลงที่ถูกเลือกมาใส่ในหนังซึ่งเป็นเพลงดังเมื่อประมาณ 20 – 30 ปีที่แล้ว เป็นตัวแทนของยุคสมัย ให้เกิดอารมณ์โหยหาอดีต เหมาะเจาะกับตัวละครแต่ละตัว และยังมีการลุ้นว่าจะเป็นเพลงอะไร จะตลอดรอดฝั่งหรือไม่ และชวนนึกถึงเวลาไปคาราโอเกะจริงๆ ซึ่งมักต้องมีคนร้องเพี้ยน ร้องเทพ บ้าพลัง คนที่ไม่ร้องแต่เต้น หรือคนที่ร้องผิดเนื้ออยู่ในกลุ่มเสมอ (เพลงประตูใจ กับนกเขาคูรัก คาดว่ามีคนร้องผิดแบบในหนังเพียบ)
โดน3: นักแสดงนำทั้งสามคน ได้แก่จีน่า ดี (นักร้องนักแสดงค่าย MBO ที่เคยผ่านตามากับบทสาวเลสเบี้ยนผู้แอบหลงรักเพื่อนสนิทตัวเองในซีรีส์ รักชั้นนัย) ที่ใช้ความหน้าตาย และน้ำเสียงทื่อๆ สร้างคาแรกเตอร์ผีสาวเปรมิกาอย่างมีเอกลักษณ์ และตอนเฉลยปูมหลังเธอ อารมณ์ก็มาอย่างท่วมท้น เบสท์ ณัฐสิทธิ์ ที่สลัดมาดกวน เกรียน หรือจิตๆ แบบที่คุ้นตา มาเล่นบทหนุ่มละมุน อ่อนโยน โอปป้า ได้อย่างน่าเชื่อถือ จนถึงตอนท้ายที่ทำเอาอ้าปากค้าง และโอ๊ต ปราโมทย์ ที่ใช้ความต่ำตมของตัวเองมาเรียกเสียงฮา แต่พอบทจะจริงจังก็เอาอยู่ แถมยังร้องเพลงเพราะมากกกก นอกจากนี้นักแสดงสมทบคู่หูเน็ตไอดอลเซ็กซี่ เนยกับแยม ก็เป็นอีกสองคนที่โผล่มาขโมยซีนและสร้างสีสันได้ในหลายๆฉาก
โดน4: ฉากคาราโอเกะของตัวละครหลักๆ ที่ยกมาทั้งฉากทั้งเวที และแฟลชแบ็คให้เห็นที่มาที่ไปและปูมหลังตัวละคร ซึ่งส่วนใหญ่ก็เรียกอารมณ์ร่วมจากคนดูได้เป็นอย่างดี ทำให้เข้าใจและเห็นใจตัวละครมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเปรมิกา ที่อาจมีคนจุก เสียน้ำตาให้เธอได้ จะมียกเว้นก็แค่ฉากของเบิร์ด หนุ่มตี๋ปากดีที่มากับเมีย ที่ไม่มีอะไรให้พูดถึงมากเท่าตัวละครอื่น แถมยังดูโดดๆจากภาพรวมของหนังด้วย
โดน 5: สิ่งที่หนังต้องการสื่อคือการใช้คาราโอเกะเพื่อสะท้อนตัวตนของตัวละคร ที่ล้วนแต่มีปมบางอย่าง แต่เวลาที่เขาได้จับไมค์ร้องเพลงก็เหมือนถูกปลดปล่อยจากปมนั้น และกลับมาเป็นตัวของตัวเองที่แท้จริง และนอกจากนี้ หนังยังสะท้อนถึงเหล่าคนที่ไม่มีตัวตนในสังคม จนไม่มีใครให้ความสำคัญ ซึ่งบางคนอาจใช้การแสดงออกหรือสร้างตัวตนเพื่อให้คนอื่นยอมรับ แต่บางคนอาจไม่มีโอกาสนั้น และเป็นคนที่ไม่มีตัวตนในสังคม แม้แต่ชื่อเสียงเรียงนาม แม้จะตายไปแล้วก็ตาม
ไม่โดน 1: โปรดักชั่นหนังที่ออกมา แสดงถึงความเป็นหนังทุนต่ำราคาถูกอย่างชัดเจน (อาจจงใจเพื่อความคัลท์) โดยเฉพาะเทคนิคต่างๆ และงานสร้างในฉากโรงแรม ฉากการตายต่างๆ ยังพอรับได้ว่าต้องการให้ไม่สมจริงเพื่อให้เป็นอารมณ์แบบการ์ตูนมากกว่าความสยดสยอง แต่ฉากอื่นๆ ก็ควรที่จะออกมาเนียนกว่านี้ ไม่ใช่เหมือนมานั่งดูหนังปะติดแบบหยาบๆ (เช่นฉากถ่ายเห็นโรงแรมทั้งหลัง แล้วซูมเอ้าท์ออกมาเห็นเปรมิกานั่งห้อยขาบนต้นไม้ อะไรจะดูเป็นซีจีขนาดนั้น)
ไม่โดน 2: การแบ่งสัดส่วนหนังที่ยังไม่ลงตัว ทำให้ในช่วงแรกๆที่ปูเรื่อง หนังค่อนข้างยืดเยื้อ ตลกฝืดๆ และมีอะไรรกรุงรังเยอะ จนมาถึงครึ่งหลังที่เริ่มร้องเพลง หนังค่อยดูสนุกและมีอะไรขึ้นมา นอกจากนี้หนังยังต้องแบ่งอีกส่วนหนึ่งไปให้กับฉากสืบสวนของตำรวจที่ตัดสลับเข้ามาทั้งเรื่อง ซึ่งถ้าปรับสัดส่วนใหม่ ให้ความสำคัญกับฉากคาราโอเกะมากขึ้น (อาจเพิ่มเพลง หรือมีตัวละครใหม่ๆ หรือให้ตัวละครที่มีอยู่ได้มีโอกาสร้องบ้าง) น่าจะทำให้หนังออกมาดีกว่านี้
ไม่โดน3: นักแสดงสมทบทั้งหลาย นอกจากเนยแยมแล้ว แต่ละคนล้วนแต่เป็นส่วนเกินของหนัง แม้จะพยายามใส่มุขให้แต่ละบท แต่ก็ยังไม่เวิร์ค เพราะบทที่ไม่ได้มีความสำคัญหรือน้ำหนักต่อเนื้อเรื่องแต่อย่างไร อาจพอหัวเราะหึๆได้นิดหน่อย กับตัวละครคู่หูสองคนที่ซื่อบื้อและเฮฮาแบบไม่ดูหน้าสิ่วหน้าขวาน (นึกถึงตัวมินเนี่ยน) ซึ่งตัวละครเหล่านี้ จะตัดทิ้งไปก็ไม่ได้เสียหายอะไรกับหนังเลย
ไม่โดน 4: หน้าหนังไม่ค่อยน่าดูเลย ตั้งแต่ไม่ค่อยมีนักแสดงที่ดึงดูด (โอ๊ต ปราโมทย์น่าจะขายได้มากที่สุดแล้วมั้ง) รวมถึงตัวอย่างหนังที่ตัดออกมาไม่เชิญชวนให้ดูเลย เพราะเต็มไปด้วยคำหยาบ มุขสกปรก ตลกปัญญาอ่อน เหยียดเพศ จนเกือบพลาดหนังเรื่องนี้ไปแล้ว ซึ่งพอถึงหนังจริง ไอ้ที่มีในตัวอย่างก็ยังมีอยู่นั่นแหละ แต่ก็ยังมีฉากดีๆอีกหลายๆฉาก ที่ไม่อยู่ในตัวอย่าง (ซึ่งเป็นข้อดี เพราะได้อารมณ์คาดไม่ถึงตอนดู) แต่จริงๆถ้าตัดตัวอย่างให้ดีกว่านี้ อาจได้คนดูเพิ่มขึ้นกว่านี้ก็ได้
ถ้าสนใจติดตามอ่านรีวิวหนังเรื่องอื่นๆของเจ้าของกระทู้ ติดตามได้ที่เพจ [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้