Fireworks | ระหว่างเราและดอกไม้ไฟ
"ดอกไม้ไฟ มันกลมหรือมันแบนกันนะ"
เรื่องย่อ
“Fireworks” คือเรื่องราวในวันหนึ่งของช่วงฤดูร้อน
โนริมิจิ (มาซากิ ซูดะ) ยูสึเกะ (มาโมรุ มิยาโนะ) และเพื่อนๆ ได้ถกเถียงกันว่า
“ดอกไม้ไฟดูเป็นทรงกลมหรือทรงแบน ถ้ามองจากด้านข้าง” คำถามนี้เกิดขึ้นเมื่อ
นาซึนะ (ซูสุ ฮิโรเสะ) ต้องเผชิญกับปัญหาทางบ้าน โนริมิจิและยูสึเกะตัดสินใจว่ายน้ำแข่งขันโดยมีเดิมพันเป็นการเดทกับนาซึนะในคืนที่มีดอกไม้ไฟ นาซึนะจึงตัดสินใจหนีออกจากบ้านไปพร้อมกับผู้ชนะ เรื่องราวของความรักระหว่างเด็กหนุ่มและหญิงสาวในคืนดอกไม้ไฟ และจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ที่ก้าวผ่านคำว่าเพื่อน
รีวิว
อนิเมะหรือหนังเรื่องนี้ได้ดูเป็นเรื่องสุดท้ายของปี 2017 พอดูเสร็จก็ออกมา Count Down พอดี ฮ่าๆ (เกือบได้ดูหนังข้ามปีละ ^^) แต่เพิ่งมีเวลาได้เขียนรีวิวและสิ่งที่ได้จากหนังเมื่อดูมา เนื้อหาอารมณ์หรือข้อมูลบางอย่างอาจผิดไปบ้าง อาจจะไม่เข้มข้นเท่าความรู้สึกตอนหลังดูจบ (เพราะผ่านมาตั้ง 3-4 วันแล้ว) แต่ก็พยายามดึงความรู้สึกนั้นมาเขียนให้ได้ไกล้เคียงที่คิดไว้ในตอนนั้นที่สุดละกันครับ
แน่นอนว่าผลงานอนิเมะเรื่องนี้เป็นที่น่าจับตามองในระดับหนึ่งเพราะว่า เผ็นผลงานของผู้อำนวยการสร้างอนิเมะ ชื่อดังที่ฮิตถล่มทลายไปเมื่อปีที่แล้วอย่าง
Kimi No Na Wa หรือ
Your Name หลับตาฝันถึงชื่อเธอ มีหลายคนที่รอชมผลงานเรื่องนี้อย่างใจจดใจจ่อ บางคนก็หวังว่าหนังจะเป็นกระแสฟีเวอร์เหมือนเรื่อง
Your Name อีกครั้ง และแน่นอนว่านี่คือสิ่งที่ได้มาหลังจากดูจบ
ในส่วนของเนื้อเรื่องนั้นในช่วงแรก (ไม่น่าจะเกิน 10-15 นาทีแรก) เป็นการดำเนิดเนื้อเรื่องปกติตามที่เราสามารถเข้าใจได้ แต่หลังจากนั้น บอกได้คำเดียวว่าหนัง
มีความอินดี้สูงมากถึงมากที่สุด ฉะนั้นถ้าเป็นคนดูหนังธรรมดาบอกได้คำเดียวเลยว่า ถ้าดูจบแล้ว คุณจะได้พบกับความมึน งง และไม่เข้าใจอะไรเลยทั้งๆที่เหมือนรู้สึกว่าจะเข้าใจ หรืออาจหนักสุดถึงขั้นเสียดายตังเลยก็ว่าได้ ซึ่งมันก็ไม่แปลกเราเข้าใจ 55555+
แต่ถ้าเป็นประเภทที่ชอบเสพหนังจริงๆ ชอบเสพการเล่าเรื่องที่แหวกแนวแตกต่าง ชอบเสพศิลปะ ทั้ง ภาพ แสง สีเสียง แล้วละก็ คุณก็จะได้สิ่งที่คุณคาดหวังอยากเสพตามที่ต้องการไม่มากก็น้อย แต่ถึงยังไงคุณก็อาจจะงงตึ๊บกับเนื่อเรื่องอยู่ดีมั้งนะ 5555+
ถ้าอยากเข้าใจจริงๆ ต้องปะติดปะต่อดีๆว่าหนังต้องการจะสื่ออะไรแล้วอาจมองเห็น (อาจจะ) เพราะบางทีบางครั้ง หนังหลายๆเรื่องที่ดูนั้นเราก็อาจไม่จำเป็นต้องสนใจเนื้อเรื่องมากมายก็ได้ แค่ดูว่าตัวละครนั้นเขาทำอะไร เพราะตัวละครจะสื่ออารมณ์ออกมาให้คนดูได้เห็นอยู่แล้ว หนังบางเรื่องต้องการสื่อเรื่องอารมณ์ หนังบางเรื่องต้องการสื่องานด้านภาพเสียง หนังบางเรื่องก็อาจต้องการจะสื่อแง่คิด ก็แล้วแต่เรื่องไป ซึ่งอยากให้ลองตั้งใจจับจุดดีๆ
และแน่นอนว่าหนังเรื่องนี้ไม่ได้อินดี้แค่เนื้อเรื่องเท่านั้น ที่หนักกว่าคือตัวละครต่างๆก็อินดี้ไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็นการกระทำของตัวละครหลายๆตัว ที่ปูมาให้ได้เห็นได้รู้จัก แล้วจู่ๆก็ เฮ้ย ทำแบบนั้นทำไม แล้วคนนี้ทำแบบนี้ทำไม แล้วอะไรคือเหตุผลที่ทำ ซึ่งเหมือนจะรู้สึกว่าเดี๋ยวดูๆไปก็คงเฉลยเองแหละ แต่! ไม่เลย ไม่มีเฉลยด้วย (อ้าว แบบนี้ก็ได้หรอ) เพิ่มความมึนตึ๊บไปอีก (อันที่จริงหนังต้องการสื่อให้เราโฟกัสแค่ตัวละครหลักเท่านั้นแหละ)
จนหนังจบแล้ว จะเห็นว่าหาเหตุผลอะไรมารองรับไม่ได้เลยในหลายๆเรื่องหลายๆอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเนื้อเรื่องบางช่วงบางตอน การกระทำของตัวละครบางตัว บางเหตการณ์ โดยเฉพาะจุดเด่นของเรื่องที่พยายามจะเพิ่มความซับซ้อนและมิติให้หนังดูน่าติดตาม ซึ่งก็คือ
“ดอกไม้ไฟ” แต่ดอกไม้ไฟที่ถูกนำมาเป็นสัญลักษณ์ของเรื่องนั้น กลับถูกตีความและเล่าในแบบที่ไม่ค่อยเด่นมากเท่าที่ควรในแง่ของสัญลักษณ์ แต่กลับเด่นในลักษณะเป็นจุดเชื่อมโยงให้ตัวละครได้รู้จักกัน ได้พบเจอกัน เกิดความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันซะมากกว่า ซึ่งยังรู้สึกเหมือนว่าหนังดึงสักยภาพของ "ดอกไม้ไฟ" ออกมาให้เราดูได้ไม่ค่อยคุ้มสักเท่าไหร่
ถ้านึกภาพไม่ออให้นึกภาพ ด้ายถัก มุสึบิจากเรื่อง Your Name ที่แทบเป็นสัญลักษณ์ของเรื่อง ซึ่งถูกดึงนำมาเชื่อมโยงได้ตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง และยังเล่าถึงความเป็นมาเป็นไปพร้อมกัยสอดแทรกอะไรต่างๆได้อย่างน่าหลงไหล
ส่วนงานด้านภาพนั้นอยากจะบอกเลยว่า ภาพสวยมาก สวยในระดับดีเลยก็ว่าได้ แต่บางคนอาจไม่ชอบเพราะภาพมันมี Saturation (ความอิ่มตัว) เยอะมากๆ มันดูร้อนๆ เข้มๆ และยังมีความฟุ้งที่เรียกได้ว่าบางฉากก็แสบตาไปนะ 555+ สงสัยเขาคงอยากให้เข้ากับคอนเซ็ป “Fireworks”
ในส่วนของเสียงหรือเพลงนั้นก็เป็นไปตามที่อนิเมะเรื่องอื่นๆทำคือ เน้นเสียงธรรมชาติ ตรงใหนเงียบก็คือเงียบ ตรงใหนลุ้นก็คือลุ้น แต่ในส่วนของเพลงนั้นไม่ค่อยเนียนและลื่นไหลสักเท่าไหร่แต่ก็ไม่ถึงกับเลวร้าย แค่จะรู้สึกแบบว่า เดี๋ยวก็อารมณ์โน้น สักพักก็อารมณ์นี้จะสุดๆก็ไม่สุด และที่ชอบที่สุดเลยก็คือเพลงตอนจบที่ชอบมากๆ
ท้ายที่สุดหลายคนอาจดูแล้วไม่ได้อะไรเลย หลายคนได้อะไรมาบ้าง หลายคนยังงงตึ๊บอยู่ก็มี ฮ่าๆ ซึ่งแต่ละคนก็ได้แตกต่างกันไป แต่นี่คืออารมณ์ความรู้สึกที่เราได้มาหลังจากนั่งดูเรื่องนี้จบ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
หลังจากที่ลองปล่อยตัวให้ไหลไปตามเนื้อเรื่อง ล่อยลอยไปเหมือนกับว่าเราเป็น โนริมิจิ เอง เด็กชายคนนึงที่ไม่มีอะไรเลย ใช้ชีวิตตามปกติ ไม่หวือหวาในแต่ละวัน แล้วอยู่ดีๆก็ได้เจอกับคนที่น่าจะแอบชอบ (นาซึนะ) ที่หนีออกจากบ้านโดยบังเอิญ ทั้งที่ไม่ค่อยได้เคยคุยกันเลย แล้วก็เกิดเหตุขึ้นจนทำให้ นาซึนะ ต้องขอความช่วยเหลือ แต่เราเองกลับนิ่งเฉย มันเป็นความรู้สึกที่เชื่อว่าหลายคนเคยเจอ (จะทำก็ไม่ทำ จะไม่ทำก็ไม่เชิง) เช่นเดียวกับ ตัวละครโนริมิจิเองที่เขาอาจจะอยากช่วยใจแทบขาดแต่สุดท้ายก็ได้แต่นั่งเสียดาย จนได้เจอกับลูกแล้วลูกหนึ่ง (ซึ่งภายหลังหนังมาเฉลยว่ามันคือดอกไม้ไฟ) แล้วเขาก็ใช้มันโดยไม่ตั้งใจแล้วพบว่ามันทำให้เขาย้อนเวลากลับไป จนได้รู้ความจริงว่าคนที่เราแอบชอบเองก็ชอบเราเช่นกัน และแน่นอนว่าการตัดสินใจหลังจากนี้จะสำคัญมาก
เพียงเพราะความรู้สึกที่ไม่แน่นอนในตัวเองเขาก็พบคำตอบขึ้นเรื่อยๆ แล้วเขาก็ได้เปลี่ยนมัน ในทุกๆครั้งที่เขาเปลี่ยนมันความรู้สึกเขาก็เริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็แน่นอนว่ามันมีผลกระทบต่อหลายๆอย่าง เช่น ยูสึเกะเพื่อนของเขา (ที่แอบชอบนาซึนะเหมือนกัน) ได้เห็นเขาหนีขึ้นรถไฟไปพร้อมกับ นาซึนะ มันก็ทำให้ความรักและความสัมพันธ์ของเพื่อนสั่นคลอน และแน่นอนว่าเขาไม่ยอมให้เป็นแบบนั้น ก็เลยกลับไปเปลี่ยนมันอีกรอบ
ซึ่งก็เห็นได้ชัดเจนว่า หนังสะท้อนให้เห็นถึงความรักทั้งความรักแบบเพื่อน ความรักแบบแฟน ความรักแบบครอบครัว ทุกๆการตัดสินใจต่อสิ่งๆหนึ่งจะกระทบต่อหลายๆสิ่งรอบข้าง และทุกๆการไม่ตัดสินใจทำอะไรเลยก็อาจจะกระทบต่อตัวเองที่อาจต้องมานั่งเสียใจอีกทีหลังเช่นกัน
ถ้าเราเองเป็น โนริมิจิ จริงๆขึ้นมาในช่วงเวลาแบบนั้นก็คงไม่ต่างกัน การคิดและตัดสินใจ ความรู้สึกก็อาจจะสับสนเหมือนกัน และท้ายสุดผมก็คงไม่สนใจหรอกว่า “ดอกไม้ไฟ” มันจะเป็นมายังไง คงไม่สนบางสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องหาที่มาหรือคำตอบหรอก เพราะเราคงไม่มีเวลาว่างขนาดนั้น แค่ในช่วงเวลาสั้นๆเพียงไม่นาน อาจจะ ไม่กี่นาที ไม่กี่ชั่วโมง หรือแค่วันเดียวที่เราจะได้ทำตามหัวใจตัวเองและเพื่อให้ตัวเองได้วิ่งเข้าหาสิ่งที่ตัวเองแคร์ที่สุด ก็เพียงพอแล้วละ ที่จะตามหัวใจออกไป
<< ตรงนี้สปอยนะ
และผมก็ดึงแก่นสารของเรื่องหลักๆเด่นๆออกมาจนได้ โดยมันมาจากการกระทำของตัวละครหลักสองคนก็คือ โนริมิจิ และ นาซึนะ ที่ต่างฝ่ายต่างก็แสดงออกมาให้เราได้เห็นทั้งการกระทำ และอารมณ์ นั่นก็คือ
"การคิดและตัดสินใจ ในการจะทำอะไรบางอย่าง" เพราะในหลายๆครั้งคนเราตัดสินใจอะไรไปโดยไม่คิดแล้วมันก็อาจจะพลาดได้ และหลายๆอย่างมันก็ไม่เป็นไปตามอย่างที่หวังไว้ แน่นอนว่าถ้าเรามีเวลาเพียงน้อยนิดหรือแค่วันเดียว ให้เราได้ทำอะไรก็ตามอย่างอิสระแล้ว จงทำสิ่งต่างๆให้มันดีที่สุด และทำตามที่หัวใจตัวเองเรียกร้อง ไม่ต้องไปสนใครจะว่ายังไงก็ช่าง แค่.... "ตามหัวใจไป"
มันก็ไม่ถึงกับแย่ไปทั้งหมดทุกส่วน แต่ก็ไม่ได้ดีไปหมดทุกอย่าง มันก็มีมุมน่ารักๆให้ได้เห็น มีมุมที่ดูแล้วก็อาจยิ้มได้ในช่วงเวลาหนึ่งๆ มีฉากที่ดูแล้วก็ซึ้งๆบ้างก็มี มีเพลงเพราะๆให้ฟังตอนจบ มีกิมมิกความน่ารักระหว่างตัวละครให้ได้ดู มีหัวเราะบ้างนิดๆหน่อยๆ แค่ไม่มีเนื้อเรื่องที่เข้าใจง่ายเท่านั้นเอง 5555+ (ก็เนื้อเรื่องนี่แหละที่ควรเป็นจุดหลักของเรื่อง) //พูดเองตบเอง XD
ให้คะแนน 6.0/10
MV เพลงประกอบ เพราะมากซึ้งๆ
มาร่วมแชร์ความรู้สึกหลังดูหนังกันครับ
[รีวิวหนัง] Fireworks ระหว่างเราและดอกไม้ไฟ | หนังมีความอินดี้สูงมาก [สปอย+ไม่สปอย]
"ดอกไม้ไฟ มันกลมหรือมันแบนกันนะ"
เรื่องย่อ
“Fireworks” คือเรื่องราวในวันหนึ่งของช่วงฤดูร้อน โนริมิจิ (มาซากิ ซูดะ) ยูสึเกะ (มาโมรุ มิยาโนะ) และเพื่อนๆ ได้ถกเถียงกันว่า “ดอกไม้ไฟดูเป็นทรงกลมหรือทรงแบน ถ้ามองจากด้านข้าง” คำถามนี้เกิดขึ้นเมื่อ นาซึนะ (ซูสุ ฮิโรเสะ) ต้องเผชิญกับปัญหาทางบ้าน โนริมิจิและยูสึเกะตัดสินใจว่ายน้ำแข่งขันโดยมีเดิมพันเป็นการเดทกับนาซึนะในคืนที่มีดอกไม้ไฟ นาซึนะจึงตัดสินใจหนีออกจากบ้านไปพร้อมกับผู้ชนะ เรื่องราวของความรักระหว่างเด็กหนุ่มและหญิงสาวในคืนดอกไม้ไฟ และจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ที่ก้าวผ่านคำว่าเพื่อน
รีวิว
อนิเมะหรือหนังเรื่องนี้ได้ดูเป็นเรื่องสุดท้ายของปี 2017 พอดูเสร็จก็ออกมา Count Down พอดี ฮ่าๆ (เกือบได้ดูหนังข้ามปีละ ^^) แต่เพิ่งมีเวลาได้เขียนรีวิวและสิ่งที่ได้จากหนังเมื่อดูมา เนื้อหาอารมณ์หรือข้อมูลบางอย่างอาจผิดไปบ้าง อาจจะไม่เข้มข้นเท่าความรู้สึกตอนหลังดูจบ (เพราะผ่านมาตั้ง 3-4 วันแล้ว) แต่ก็พยายามดึงความรู้สึกนั้นมาเขียนให้ได้ไกล้เคียงที่คิดไว้ในตอนนั้นที่สุดละกันครับ
แน่นอนว่าผลงานอนิเมะเรื่องนี้เป็นที่น่าจับตามองในระดับหนึ่งเพราะว่า เผ็นผลงานของผู้อำนวยการสร้างอนิเมะ ชื่อดังที่ฮิตถล่มทลายไปเมื่อปีที่แล้วอย่าง Kimi No Na Wa หรือ Your Name หลับตาฝันถึงชื่อเธอ มีหลายคนที่รอชมผลงานเรื่องนี้อย่างใจจดใจจ่อ บางคนก็หวังว่าหนังจะเป็นกระแสฟีเวอร์เหมือนเรื่อง Your Name อีกครั้ง และแน่นอนว่านี่คือสิ่งที่ได้มาหลังจากดูจบ
ในส่วนของเนื้อเรื่องนั้นในช่วงแรก (ไม่น่าจะเกิน 10-15 นาทีแรก) เป็นการดำเนิดเนื้อเรื่องปกติตามที่เราสามารถเข้าใจได้ แต่หลังจากนั้น บอกได้คำเดียวว่าหนังมีความอินดี้สูงมากถึงมากที่สุด ฉะนั้นถ้าเป็นคนดูหนังธรรมดาบอกได้คำเดียวเลยว่า ถ้าดูจบแล้ว คุณจะได้พบกับความมึน งง และไม่เข้าใจอะไรเลยทั้งๆที่เหมือนรู้สึกว่าจะเข้าใจ หรืออาจหนักสุดถึงขั้นเสียดายตังเลยก็ว่าได้ ซึ่งมันก็ไม่แปลกเราเข้าใจ 55555+
แต่ถ้าเป็นประเภทที่ชอบเสพหนังจริงๆ ชอบเสพการเล่าเรื่องที่แหวกแนวแตกต่าง ชอบเสพศิลปะ ทั้ง ภาพ แสง สีเสียง แล้วละก็ คุณก็จะได้สิ่งที่คุณคาดหวังอยากเสพตามที่ต้องการไม่มากก็น้อย แต่ถึงยังไงคุณก็อาจจะงงตึ๊บกับเนื่อเรื่องอยู่ดีมั้งนะ 5555+
ถ้าอยากเข้าใจจริงๆ ต้องปะติดปะต่อดีๆว่าหนังต้องการจะสื่ออะไรแล้วอาจมองเห็น (อาจจะ) เพราะบางทีบางครั้ง หนังหลายๆเรื่องที่ดูนั้นเราก็อาจไม่จำเป็นต้องสนใจเนื้อเรื่องมากมายก็ได้ แค่ดูว่าตัวละครนั้นเขาทำอะไร เพราะตัวละครจะสื่ออารมณ์ออกมาให้คนดูได้เห็นอยู่แล้ว หนังบางเรื่องต้องการสื่อเรื่องอารมณ์ หนังบางเรื่องต้องการสื่องานด้านภาพเสียง หนังบางเรื่องก็อาจต้องการจะสื่อแง่คิด ก็แล้วแต่เรื่องไป ซึ่งอยากให้ลองตั้งใจจับจุดดีๆ
และแน่นอนว่าหนังเรื่องนี้ไม่ได้อินดี้แค่เนื้อเรื่องเท่านั้น ที่หนักกว่าคือตัวละครต่างๆก็อินดี้ไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็นการกระทำของตัวละครหลายๆตัว ที่ปูมาให้ได้เห็นได้รู้จัก แล้วจู่ๆก็ เฮ้ย ทำแบบนั้นทำไม แล้วคนนี้ทำแบบนี้ทำไม แล้วอะไรคือเหตุผลที่ทำ ซึ่งเหมือนจะรู้สึกว่าเดี๋ยวดูๆไปก็คงเฉลยเองแหละ แต่! ไม่เลย ไม่มีเฉลยด้วย (อ้าว แบบนี้ก็ได้หรอ) เพิ่มความมึนตึ๊บไปอีก (อันที่จริงหนังต้องการสื่อให้เราโฟกัสแค่ตัวละครหลักเท่านั้นแหละ)
จนหนังจบแล้ว จะเห็นว่าหาเหตุผลอะไรมารองรับไม่ได้เลยในหลายๆเรื่องหลายๆอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเนื้อเรื่องบางช่วงบางตอน การกระทำของตัวละครบางตัว บางเหตการณ์ โดยเฉพาะจุดเด่นของเรื่องที่พยายามจะเพิ่มความซับซ้อนและมิติให้หนังดูน่าติดตาม ซึ่งก็คือ “ดอกไม้ไฟ” แต่ดอกไม้ไฟที่ถูกนำมาเป็นสัญลักษณ์ของเรื่องนั้น กลับถูกตีความและเล่าในแบบที่ไม่ค่อยเด่นมากเท่าที่ควรในแง่ของสัญลักษณ์ แต่กลับเด่นในลักษณะเป็นจุดเชื่อมโยงให้ตัวละครได้รู้จักกัน ได้พบเจอกัน เกิดความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันซะมากกว่า ซึ่งยังรู้สึกเหมือนว่าหนังดึงสักยภาพของ "ดอกไม้ไฟ" ออกมาให้เราดูได้ไม่ค่อยคุ้มสักเท่าไหร่
ถ้านึกภาพไม่ออให้นึกภาพ ด้ายถัก มุสึบิจากเรื่อง Your Name ที่แทบเป็นสัญลักษณ์ของเรื่อง ซึ่งถูกดึงนำมาเชื่อมโยงได้ตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง และยังเล่าถึงความเป็นมาเป็นไปพร้อมกัยสอดแทรกอะไรต่างๆได้อย่างน่าหลงไหล
ส่วนงานด้านภาพนั้นอยากจะบอกเลยว่า ภาพสวยมาก สวยในระดับดีเลยก็ว่าได้ แต่บางคนอาจไม่ชอบเพราะภาพมันมี Saturation (ความอิ่มตัว) เยอะมากๆ มันดูร้อนๆ เข้มๆ และยังมีความฟุ้งที่เรียกได้ว่าบางฉากก็แสบตาไปนะ 555+ สงสัยเขาคงอยากให้เข้ากับคอนเซ็ป “Fireworks”
ในส่วนของเสียงหรือเพลงนั้นก็เป็นไปตามที่อนิเมะเรื่องอื่นๆทำคือ เน้นเสียงธรรมชาติ ตรงใหนเงียบก็คือเงียบ ตรงใหนลุ้นก็คือลุ้น แต่ในส่วนของเพลงนั้นไม่ค่อยเนียนและลื่นไหลสักเท่าไหร่แต่ก็ไม่ถึงกับเลวร้าย แค่จะรู้สึกแบบว่า เดี๋ยวก็อารมณ์โน้น สักพักก็อารมณ์นี้จะสุดๆก็ไม่สุด และที่ชอบที่สุดเลยก็คือเพลงตอนจบที่ชอบมากๆ
ท้ายที่สุดหลายคนอาจดูแล้วไม่ได้อะไรเลย หลายคนได้อะไรมาบ้าง หลายคนยังงงตึ๊บอยู่ก็มี ฮ่าๆ ซึ่งแต่ละคนก็ได้แตกต่างกันไป แต่นี่คืออารมณ์ความรู้สึกที่เราได้มาหลังจากนั่งดูเรื่องนี้จบ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ << ตรงนี้สปอยนะ
และผมก็ดึงแก่นสารของเรื่องหลักๆเด่นๆออกมาจนได้ โดยมันมาจากการกระทำของตัวละครหลักสองคนก็คือ โนริมิจิ และ นาซึนะ ที่ต่างฝ่ายต่างก็แสดงออกมาให้เราได้เห็นทั้งการกระทำ และอารมณ์ นั่นก็คือ "การคิดและตัดสินใจ ในการจะทำอะไรบางอย่าง" เพราะในหลายๆครั้งคนเราตัดสินใจอะไรไปโดยไม่คิดแล้วมันก็อาจจะพลาดได้ และหลายๆอย่างมันก็ไม่เป็นไปตามอย่างที่หวังไว้ แน่นอนว่าถ้าเรามีเวลาเพียงน้อยนิดหรือแค่วันเดียว ให้เราได้ทำอะไรก็ตามอย่างอิสระแล้ว จงทำสิ่งต่างๆให้มันดีที่สุด และทำตามที่หัวใจตัวเองเรียกร้อง ไม่ต้องไปสนใครจะว่ายังไงก็ช่าง แค่.... "ตามหัวใจไป"
มันก็ไม่ถึงกับแย่ไปทั้งหมดทุกส่วน แต่ก็ไม่ได้ดีไปหมดทุกอย่าง มันก็มีมุมน่ารักๆให้ได้เห็น มีมุมที่ดูแล้วก็อาจยิ้มได้ในช่วงเวลาหนึ่งๆ มีฉากที่ดูแล้วก็ซึ้งๆบ้างก็มี มีเพลงเพราะๆให้ฟังตอนจบ มีกิมมิกความน่ารักระหว่างตัวละครให้ได้ดู มีหัวเราะบ้างนิดๆหน่อยๆ แค่ไม่มีเนื้อเรื่องที่เข้าใจง่ายเท่านั้นเอง 5555+ (ก็เนื้อเรื่องนี่แหละที่ควรเป็นจุดหลักของเรื่อง) //พูดเองตบเอง XD
ให้คะแนน 6.0/10