สวัสดีเพื่อนๆชาวพันทิปผู้หลงรักการท่องเที่ยวและการเดินทางทุกท่าน กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกสำหรับผมที่จะมาแชร์ประสบการณ์ท่องเที่ยว ผิดพลาดประการใด ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย
ที่ที่ผมจะนำมาแชร์ประสบการณ์ท่องเที่ยวนี้ คือ ที่ที่ได้ชื่อว่ามีนาขั้นบันไดสวยมากๆแห่งหนึ่งของโลกเลยทีเดียว ช่ายแล้วครับ ที่นั่นคือเมือง Mu Cang Chai เมืองทางตอนเหนือของประเทศเวียดนามนั่นเอง
วันที่ หนึ่ง
วันแรกของการเดินทาง ผมเดินทางไปยังเมืองฮานอยด้วยสายการบิน Thai Air Asia ช่วงหัวค่ำถึงกรุงฮานอยราวๆ สองทุ่มครึ่ง นั่งแท๊กซี่จากสนามบิน Noi Bai International Airport มาพักที่ย่าน Old quarter เดิน walk in หาโรงแรมพักละแวกทะเลสาบ Hoan Kiem จริงๆแล้วทริปนี้เป็นทริปที่ไม่ได้แพลนอะไรไว้มากมาย จะเรียกว่าเป็นการไปตายเอาดาบหน้าเลยก็ว่าได้ เพราะพรุ่งนี้ผมต้องเดินทางไปเมือง Mu Cang Chai ซึ่งผมรู้อยู่อย่างเดียวว่าผมต้องไปขึ้นรถบัสนอน ที่สถานีรถบัส My Dinh Bus Station แต่จะต้องจองตั๋วรถของบริษัทอะไร จองยังไง รถจะเต็มรึป่าว อันนี้ปล่อยไปตามชะตากรรมเลย 555 และก็ทำใจไว้แล้วว่าถ้าไม่มีรถไป Mu Cang Chai ในวันพรุ่งนี้ก็คงต้องเปลี่ยนแพลนเที่ยวในฮานอย หรืออาจจะเที่ยวที่อื่นที่ไม่ไกลจากฮานอยมากนัก
วันที่ สอง
ตอนเช้า ณ Hoan Kiem Lake ย่าน Old quarter
วันนี้แพลนคือ เที่ยวย่าน Old Quarter ถ่ายรูป หาไรกิน รอไปสถานีรถบัสตอนเย็น จริงๆผมได้ถามพนักงานโรงแรมตั้งแต่เมื่อคืนแล้วเรื่องรถบัสไป Mu Cang Chai ซึ่งคำตอบที่ได้คือ ตั๋วรถบัสไม่สามารถจองได้ ผมก็ เออ!! จองไม่ได้ก็จองไม่ได้ วันนี้ก็กะจะไปสถานีรถบัสเร็วๆหน่อย เผื่อเวลาไปจองตั๋วด้วย หลังจาก Check out เสร็จผมก็ฝากของไว้ที่ล็อบบี้และก็ออกตระเวน กิน ช็อป ชิว แถวๆย่าน Old Quarter ราวๆสักบ่าย 2-3 โมง ผมก็กลับมาที่โรงแรมเพื่อเอากระเป๋าและออกเดินทางไปยังสถานีรถบัส ผมก็ได้คุยและถามกับพนักงานโรงแรม(คนใหม่)อีกครั้ง เกี่ยวกับเรื่องตั๋วรถบัสที่จะไป Mu Cang Chai ว่ามีไหม ช่วยจองให้หน่อย ซึ่งพนักงานคนนี้เป็นงาน และบริการดีมากๆ ช่วยโทรหาบริษัทรถบัสหลายบริษัทมากๆ แต่ก็เต็มหมด ผมก็ได้แต่คิดในใจว่า คืนนี้ตรูนอนฮานอยอีกคืนแน่ 555 ผมเริ่มจะถอดใจ แต่สุดท้ายก็เหมือนจะมีรถที่ยังมีที่ว่าง โดนพนักงานโรงแรมที่กำลังคุยโทรศัพท์อยู่ได้หันมาถามผมว่า “Can you sleep on the floor?” ผมก็ เอ๊ะ!! เท่าที่รู้มามันมีแต่รถบัสนอนไม่ใช่หรอ สรุปก็คือว่ารถมันก็เต็มเหมือนกับบริษัทอื่นนั่นหละครับ แต่บริษัทนี้เขารับคนเพิ่ม โดยให้นอนตรงทางเดิน แต่ราคาก็จะถูกกว่านอนบนเบาะ ที่รถหลายๆบริษัทเต็มเพราะว่าวันนี้เป็นวันศุกร์ คนเวียดนามที่เข้ามาทำงานในตัวเมืองจะกลับบ้านที่ต่างจังหวัดกันเยอะ ซึ่งถ้าเป็นวันอื่นรถไม่น่าจะเต็มหมดขนาดนี้ หลังจากรู้ว่ามีตั๋วไปแน่ๆแล้วก็พอชื่นใจขึ้นมาหน่อย แต่ภารกิจมันยังไม่จบแค่นี้ครับ ต่อไปคือ ผมต้องรู้ว่ารถบัสที่ผมจองตั๋วไว้มันจอดอยู่ตรงไหน? ผมจะขึ้นรถถูกคันรึป่าว? และตอนที่ผมจะลงรถผมจะต้องลงตรงไหน? ยากใช่ไหมหละครับกับการที่จะสื่อสารสิ่งๆนี้ในที่ที่คนเขาไม่ได้พูดภาษาเดียวกับเรา ไม่ยากครับ ตัวช่วยยืนอยู่ข้างหน้านี่เองครับ ช่ายแล้วครับพนักงานโรงแรมคนเดิมนี่หละครับ ใช้ให้คุ้ม 555 ให้เขาโทรคุยกับโรงแรมที่จองไว้ที่ Mu Cang Chai ว่าเราจะต้องลงรถตรงไหน และให้เขาโทรคอนเฟิมกับคนขับรถบัสอีกที เพื่อความชัวร์เรื่องรถและจุดหมายปลายทางที่เราจะต้องลง เพราะรถไม่ได้ไปสุดทางแค่ Mu Cang Chai ถ้าลงผิดที่ ชีวิตเปลี่ยนเลยนะ พนักงานโรงแรมคนนี้บริการและให้ความช่วยเหลือดีมากๆ ต้องขอบคุณพี่เขาเลยถ้าไม่ได้พี่เขาผมคงได้เที่ยวฮานอยอีกคืนเป็นแน่ หลังจากบอกลากันผมก็เดินทางไปยังสถานีรถบัส My Dinh Bus Station พอไปถึงก็มีลุงแก่ๆมาลากกระเป๋าพาไปขึ้นรถเลย ตอนแรกก็หวั่นใจเหมือนกันว่ามันใช่รถที่เราจองไว้หรือป่าว แต่ผมก็ได้ให้พี่พนักงานโรงแรมเขียนข้อความใส่กระดาษเป็นภาษาเวียดนามไว้ให้ประมาณว่า “เรากำลังจะเดินทางไป Mu Cang Chai ซึ่งเราได้จองตั๋วไว้แล้ว และพวกเราจะลงที่....” มันช่วยได้มากเลย และมันทำให้เรามั่นใจว่าเราจะไปถึง Mu Cang Chai แน่ๆ
นี่คือสภาพบนรถที่จะพาผมไป Mu Cang Chai เศร้าแพรพพ T T
ใช้บริการรถบริษัทนี้ (ถ่ายตอนรถหยุดพักกินข้าวหระหว่างทาง)
ระยะทางจากกรุงฮานอย มายัง Mu Cang Chai ประมาณ 260 กิโลเมตร (ข้อมูลจาก Google Map) ใช้เวลาประมาณ 7 ชม. นอนกันมายาวๆ มีผู้โดยสารลงระหว่างทางเรื่อยๆ โดยเฉพาะตอนใกล้ๆถึง Mu Cang Chai เพราะรถจะผ่าน เมืองท่องเที่ยวอย่าง Tule และ La Pan Tan ซึ่งเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงเรื่องความงามของนาขั้นบันไดเช่นกัน
หลังจากผ่านไปเกือบๆ 7 ชม. รถก็มาถึง Mu Cang Chai สักที โดยรถมาส่งถึงหน้าโรงแรมเลย เดินลากกระเป๋าเข้าโรงแรม แหงนหน้าดูนาฬิกา ตี 3 กว่า น้องที่โรงแรมออกมารับ ยังไม่มีห้องว่างที่จะ Check in ได้ ประมาณ 9 โมง ห้องถึงจะพร้อม แต่ไม่เป็นไร ผมบอกน้องไปว่าขอเช่ามอเตอร์ไซค์เด๋ว 6 โมงเช้าจะออกไปเที่ยว แล้วผมก็นอนตรง Lobby รอเวลาที่จะออกไปเที่ยว
วันที่ สาม
6 โมงเช้า ผมสะดุ้งตื่นเพราะเสียงนาฬิกาปลุก น้องก็เตรียมมอเตอร์ไซค์ไว้ให้พร้อม ซึ่งผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ที่ที่คนอื่นเขาไปเที่ยวกันมันอยู่ตรงไหน ถามน้อง ก็ได้คำตอบว่า ให้ไปทางขวา อารมณ์แบบ
จะไปไหนก็ไป 555 ปลุกตรูแต่เช้าเลย ผมก็ขี่มอเตอร์ไซค์ไปเรื่อยๆ อากาศตอนเช้าๆดีมาก เย็นสบาย ระหว่างที่ขี่มอเตอร์ไซค์มา ผมก็รู้สึกว่าวิวข้างทางที่เห็นเริ่มสวยขึ้นเรื่อยๆ จนมาถึงจุดที่ผมต้องรีบจอดรถแล้วลงไปถ่ายรูป
แสงแดดอุ่นๆกับหมอกยามเช้าที่ปกคลุมหุบเขานาขั้นบันได
มีมุมสวยๆให้ถ่ายภาพเพียบ ที่สำคัญ มันอยู่ข้างถนนเลย
ขี่มอเตอร์ไซค์ไปเรื่อยๆ ลมเย็นๆ เจอมุมสวยๆก็หยุดถ่ายรูป
เมือง Mu Cang Chai จากมุมสูง (มุมนี้ต้องขี่มอเตอร์ไซค์มาด้านหลังของตลาด ข้ามสะพานมาแล้วบิดไต่ความสูงตามถนนมาเรื่อยๆครับ)
หลังจากเที่ยวมาได้สัก 2-3 ชม. แดดเริ่มร้อน บวกกับเพลียจากการเดินทาง ผมเลยกลับไปนอนเอาแรงที่โรงแรม ตอนเย็นค่อยออกมาเที่ยวใหม่
หลังจากชาร์จพลังเต็มที่ พร้อมทั้งหาข้อมูลสถานที่เที่ยวเรียบร้อยแล้ว ผมก็พร้อมที่จะเที่ยวต่อในตอนบ่าย ราวๆ บ่าย 3 โมง ผมก็บิดมอเตอร์ไซค์ออกมาจากโรงแรม ไปทางเดิมแต่ไปไกลกว่าเดิม ช่วงบ่ายนี้ผมตั้งใจที่จะมายังจุดที่เป็น landmark ของที่นี่ ที่คนไทยมักเรียกกันว่า สาน ฮ. นั่นหละครับ จะไปจุดนี้ไม่ยากครับ ขี่มอเตอร์ไซค์ย้อนกลับไปทางที่เรามาจากฮานอยนั่นหละครับ ขี่ไปเรื่อยๆจุดสังเกตุคือจะเจอป้ายใหญ่ๆเป็นรูปลาน ฮ. ตรงนี้คนจะเยอะเป็นพิเศษ มีทั้งวินมอเตอร์ไซค์ นักท่องเที่ยว จะขึ้นไปยังลาน ฮ. ต้องเสียตังต์ด้วยนะครับ คนละ 20,000 ดอง ทางขึ้นไปบนลาน ฮ. ค่อยข้างชันและเป็นหลุม ต้องขี่มอเตอร์ไซค์แข็งประมาณนึงถึงจะขึ้นไปได้ แต่ขึ้นไปแล้วคนเยอะมากๆ ไม่เหมือนในรูปที่ดูก่อนไปเลย 555 นึกว่ามาแล้วจะเจอวิวแบบเงียบๆ สงบๆ แต่นี่นักท่องเที่ยวเจี้ยวจ้าวกันใหญ่เลย แต่ก็อย่างว่าวันนี้เป็นวันเสาร์ด้วยนักท่องเที่ยวอาจจะเยอะเป็นพิเศษ สำหรับผมการขึ้นมายังจุดนี้ ยังมีมุมอื่นๆที่สวยๆให้ถ่ายรูปเยอะเหมือนกัน
ระหว่างทางที่ขึ้นไปบน ลาน ฮ.
แสงตกลงมาพอดี เสร็จโจร หุหุ
แสงทะลุเมฆก็มา ฟิน!!!
ซ้ายมือของภาพ นักท่องเที่ยวเป็นร้อยนะ ยังกะคนมาลงแขกเกี่ยวข้าวกัน 555
ภาพสุดท้ายของวัน (ถ่ายที่เดียวกันกับจุดที่ถ่ายภาพมุมสูงเมื่อตอนเช้า จุดนี้เสียเงินเข้าด้วยนะ 10,000 ดอง)
วันที่ สี่
วันนี้เตรียมตัวตื่นตั้งแต่ตี 5 เพื่อไปเก็บภาพแสงเช้า ขับรถออกไปทางขวาเหมือนเดิม ขี่มอเตอร์ไซค์กันไปยาวๆ (ไปไกลกว่าวันแรก) อย่างที่บอกไปตั้งแต่ตอนต้น ที่นี่มีมุมสวยๆให้ถ่ายรูปเยอะมากๆ แต่ละมุมก็อยู่ไม่ไกลจากข้างถนนเลย
แสงแดดอุ่นๆยามเช้า คุ้มค่ากับการแหกขี้ตาตื่นมาแต่เช้า
ที่ทำงานของชาวบ้านที่นี่ อิจฉา!!
ความสุขไม่ได้อยู่ที่บ้านจะหลังใหญ่หรือเล็ก แต่ความสุขอยู่ที่ความรักที่คนในครอบครัวมีให้กัน
หนึ่งในมุมที่ผมชอบมากๆ
สวรรค์ของคนชอบถ่ายรูปแท้ๆ
สำหรับใครที่มาเที่ยวที่นี่ ผมแนะนำให้ตื่นมาเช้าๆ แล้วคุณจะไม่ผิดหวังกับภาพที่จะได้เห็น จุดชมวิว จุดถ่ายภาพมีเยอะ เสียดายที่ผมมาที่นี่แค่ 2 วัน พรุ่งนี้ก็ต้องกลับแล้ว แต่ แต่ แต่ ยังมีไฮไลท์อย่างนึงที่ผมอยากจะมาแชร์ประสบการณ์ ตั้งแต่มาเที่ยวที่นี่ 1 วันครึ่งผ่านไป ผมจะขี่มอเตอร์ไซค์ออกมาทางด้านขวาของโรงแรมตลอด แต่ผมพอรู้มาว่ามีหมู่บ้าน หมู่บ้านหนึ่งที่ชื่อว่า Xã Lao Chải ซึ่งจะต้องขี่มอเตอร์ไซค์ออกไปทางซ้ายของโรงแรม จากข้อมูลที่พอมี นาขั้นบันไดที่อยู่ระหว่างทางที่จะไป Xã Lao Chải ความสวยไม่แพ้นาขั้นบันไดวันแรกๆที่ผมเที่ยวมาเลย จะสวยแค่ไหน เด๋วเราก็ได้รู้กัน
ผมต้องขี่มอเตอร์ไซค์ห่างออกมาไกลจากตัวโรงแรมพอสมควร เป็นทางเรียบๆมาก่อนสัก 4-5 กม. หลังจากนั้นก็จะเป็นทางชันต้องขี่มอเตอร์ไซค์ไต่ระดับความสูงไปเรื่อยๆ ทางชันช่วงแรกๆยังเป็นคอนกรีต แต่หลังๆเป็นทางดินค่อยข้างลำบากในการขับขี่พอสมควร แต่ถ้ายอมลำบากมา คุ้มค่าแน่นอนกับสิ่งที่จะได้เห็น
ภาพแรกหลังจากขับขึ้นเนินมาได้สักพัก
[CR] มหัศจรรย์นาขั้นบันได Mu Cang Chai, Vietnam ที่ที่ควรไปเห็นด้วยตาตัวเองสักครั้ง
ที่ที่ผมจะนำมาแชร์ประสบการณ์ท่องเที่ยวนี้ คือ ที่ที่ได้ชื่อว่ามีนาขั้นบันไดสวยมากๆแห่งหนึ่งของโลกเลยทีเดียว ช่ายแล้วครับ ที่นั่นคือเมือง Mu Cang Chai เมืองทางตอนเหนือของประเทศเวียดนามนั่นเอง
วันที่ หนึ่ง
วันแรกของการเดินทาง ผมเดินทางไปยังเมืองฮานอยด้วยสายการบิน Thai Air Asia ช่วงหัวค่ำถึงกรุงฮานอยราวๆ สองทุ่มครึ่ง นั่งแท๊กซี่จากสนามบิน Noi Bai International Airport มาพักที่ย่าน Old quarter เดิน walk in หาโรงแรมพักละแวกทะเลสาบ Hoan Kiem จริงๆแล้วทริปนี้เป็นทริปที่ไม่ได้แพลนอะไรไว้มากมาย จะเรียกว่าเป็นการไปตายเอาดาบหน้าเลยก็ว่าได้ เพราะพรุ่งนี้ผมต้องเดินทางไปเมือง Mu Cang Chai ซึ่งผมรู้อยู่อย่างเดียวว่าผมต้องไปขึ้นรถบัสนอน ที่สถานีรถบัส My Dinh Bus Station แต่จะต้องจองตั๋วรถของบริษัทอะไร จองยังไง รถจะเต็มรึป่าว อันนี้ปล่อยไปตามชะตากรรมเลย 555 และก็ทำใจไว้แล้วว่าถ้าไม่มีรถไป Mu Cang Chai ในวันพรุ่งนี้ก็คงต้องเปลี่ยนแพลนเที่ยวในฮานอย หรืออาจจะเที่ยวที่อื่นที่ไม่ไกลจากฮานอยมากนัก
วันที่ สอง
ตอนเช้า ณ Hoan Kiem Lake ย่าน Old quarter
วันนี้แพลนคือ เที่ยวย่าน Old Quarter ถ่ายรูป หาไรกิน รอไปสถานีรถบัสตอนเย็น จริงๆผมได้ถามพนักงานโรงแรมตั้งแต่เมื่อคืนแล้วเรื่องรถบัสไป Mu Cang Chai ซึ่งคำตอบที่ได้คือ ตั๋วรถบัสไม่สามารถจองได้ ผมก็ เออ!! จองไม่ได้ก็จองไม่ได้ วันนี้ก็กะจะไปสถานีรถบัสเร็วๆหน่อย เผื่อเวลาไปจองตั๋วด้วย หลังจาก Check out เสร็จผมก็ฝากของไว้ที่ล็อบบี้และก็ออกตระเวน กิน ช็อป ชิว แถวๆย่าน Old Quarter ราวๆสักบ่าย 2-3 โมง ผมก็กลับมาที่โรงแรมเพื่อเอากระเป๋าและออกเดินทางไปยังสถานีรถบัส ผมก็ได้คุยและถามกับพนักงานโรงแรม(คนใหม่)อีกครั้ง เกี่ยวกับเรื่องตั๋วรถบัสที่จะไป Mu Cang Chai ว่ามีไหม ช่วยจองให้หน่อย ซึ่งพนักงานคนนี้เป็นงาน และบริการดีมากๆ ช่วยโทรหาบริษัทรถบัสหลายบริษัทมากๆ แต่ก็เต็มหมด ผมก็ได้แต่คิดในใจว่า คืนนี้ตรูนอนฮานอยอีกคืนแน่ 555 ผมเริ่มจะถอดใจ แต่สุดท้ายก็เหมือนจะมีรถที่ยังมีที่ว่าง โดนพนักงานโรงแรมที่กำลังคุยโทรศัพท์อยู่ได้หันมาถามผมว่า “Can you sleep on the floor?” ผมก็ เอ๊ะ!! เท่าที่รู้มามันมีแต่รถบัสนอนไม่ใช่หรอ สรุปก็คือว่ารถมันก็เต็มเหมือนกับบริษัทอื่นนั่นหละครับ แต่บริษัทนี้เขารับคนเพิ่ม โดยให้นอนตรงทางเดิน แต่ราคาก็จะถูกกว่านอนบนเบาะ ที่รถหลายๆบริษัทเต็มเพราะว่าวันนี้เป็นวันศุกร์ คนเวียดนามที่เข้ามาทำงานในตัวเมืองจะกลับบ้านที่ต่างจังหวัดกันเยอะ ซึ่งถ้าเป็นวันอื่นรถไม่น่าจะเต็มหมดขนาดนี้ หลังจากรู้ว่ามีตั๋วไปแน่ๆแล้วก็พอชื่นใจขึ้นมาหน่อย แต่ภารกิจมันยังไม่จบแค่นี้ครับ ต่อไปคือ ผมต้องรู้ว่ารถบัสที่ผมจองตั๋วไว้มันจอดอยู่ตรงไหน? ผมจะขึ้นรถถูกคันรึป่าว? และตอนที่ผมจะลงรถผมจะต้องลงตรงไหน? ยากใช่ไหมหละครับกับการที่จะสื่อสารสิ่งๆนี้ในที่ที่คนเขาไม่ได้พูดภาษาเดียวกับเรา ไม่ยากครับ ตัวช่วยยืนอยู่ข้างหน้านี่เองครับ ช่ายแล้วครับพนักงานโรงแรมคนเดิมนี่หละครับ ใช้ให้คุ้ม 555 ให้เขาโทรคุยกับโรงแรมที่จองไว้ที่ Mu Cang Chai ว่าเราจะต้องลงรถตรงไหน และให้เขาโทรคอนเฟิมกับคนขับรถบัสอีกที เพื่อความชัวร์เรื่องรถและจุดหมายปลายทางที่เราจะต้องลง เพราะรถไม่ได้ไปสุดทางแค่ Mu Cang Chai ถ้าลงผิดที่ ชีวิตเปลี่ยนเลยนะ พนักงานโรงแรมคนนี้บริการและให้ความช่วยเหลือดีมากๆ ต้องขอบคุณพี่เขาเลยถ้าไม่ได้พี่เขาผมคงได้เที่ยวฮานอยอีกคืนเป็นแน่ หลังจากบอกลากันผมก็เดินทางไปยังสถานีรถบัส My Dinh Bus Station พอไปถึงก็มีลุงแก่ๆมาลากกระเป๋าพาไปขึ้นรถเลย ตอนแรกก็หวั่นใจเหมือนกันว่ามันใช่รถที่เราจองไว้หรือป่าว แต่ผมก็ได้ให้พี่พนักงานโรงแรมเขียนข้อความใส่กระดาษเป็นภาษาเวียดนามไว้ให้ประมาณว่า “เรากำลังจะเดินทางไป Mu Cang Chai ซึ่งเราได้จองตั๋วไว้แล้ว และพวกเราจะลงที่....” มันช่วยได้มากเลย และมันทำให้เรามั่นใจว่าเราจะไปถึง Mu Cang Chai แน่ๆ
นี่คือสภาพบนรถที่จะพาผมไป Mu Cang Chai เศร้าแพรพพ T T
ใช้บริการรถบริษัทนี้ (ถ่ายตอนรถหยุดพักกินข้าวหระหว่างทาง)
ระยะทางจากกรุงฮานอย มายัง Mu Cang Chai ประมาณ 260 กิโลเมตร (ข้อมูลจาก Google Map) ใช้เวลาประมาณ 7 ชม. นอนกันมายาวๆ มีผู้โดยสารลงระหว่างทางเรื่อยๆ โดยเฉพาะตอนใกล้ๆถึง Mu Cang Chai เพราะรถจะผ่าน เมืองท่องเที่ยวอย่าง Tule และ La Pan Tan ซึ่งเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงเรื่องความงามของนาขั้นบันไดเช่นกัน
หลังจากผ่านไปเกือบๆ 7 ชม. รถก็มาถึง Mu Cang Chai สักที โดยรถมาส่งถึงหน้าโรงแรมเลย เดินลากกระเป๋าเข้าโรงแรม แหงนหน้าดูนาฬิกา ตี 3 กว่า น้องที่โรงแรมออกมารับ ยังไม่มีห้องว่างที่จะ Check in ได้ ประมาณ 9 โมง ห้องถึงจะพร้อม แต่ไม่เป็นไร ผมบอกน้องไปว่าขอเช่ามอเตอร์ไซค์เด๋ว 6 โมงเช้าจะออกไปเที่ยว แล้วผมก็นอนตรง Lobby รอเวลาที่จะออกไปเที่ยว
วันที่ สาม
6 โมงเช้า ผมสะดุ้งตื่นเพราะเสียงนาฬิกาปลุก น้องก็เตรียมมอเตอร์ไซค์ไว้ให้พร้อม ซึ่งผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ที่ที่คนอื่นเขาไปเที่ยวกันมันอยู่ตรงไหน ถามน้อง ก็ได้คำตอบว่า ให้ไปทางขวา อารมณ์แบบจะไปไหนก็ไป 555 ปลุกตรูแต่เช้าเลย ผมก็ขี่มอเตอร์ไซค์ไปเรื่อยๆ อากาศตอนเช้าๆดีมาก เย็นสบาย ระหว่างที่ขี่มอเตอร์ไซค์มา ผมก็รู้สึกว่าวิวข้างทางที่เห็นเริ่มสวยขึ้นเรื่อยๆ จนมาถึงจุดที่ผมต้องรีบจอดรถแล้วลงไปถ่ายรูป
แสงแดดอุ่นๆกับหมอกยามเช้าที่ปกคลุมหุบเขานาขั้นบันได
มีมุมสวยๆให้ถ่ายภาพเพียบ ที่สำคัญ มันอยู่ข้างถนนเลย
ขี่มอเตอร์ไซค์ไปเรื่อยๆ ลมเย็นๆ เจอมุมสวยๆก็หยุดถ่ายรูป
เมือง Mu Cang Chai จากมุมสูง (มุมนี้ต้องขี่มอเตอร์ไซค์มาด้านหลังของตลาด ข้ามสะพานมาแล้วบิดไต่ความสูงตามถนนมาเรื่อยๆครับ)
หลังจากเที่ยวมาได้สัก 2-3 ชม. แดดเริ่มร้อน บวกกับเพลียจากการเดินทาง ผมเลยกลับไปนอนเอาแรงที่โรงแรม ตอนเย็นค่อยออกมาเที่ยวใหม่
หลังจากชาร์จพลังเต็มที่ พร้อมทั้งหาข้อมูลสถานที่เที่ยวเรียบร้อยแล้ว ผมก็พร้อมที่จะเที่ยวต่อในตอนบ่าย ราวๆ บ่าย 3 โมง ผมก็บิดมอเตอร์ไซค์ออกมาจากโรงแรม ไปทางเดิมแต่ไปไกลกว่าเดิม ช่วงบ่ายนี้ผมตั้งใจที่จะมายังจุดที่เป็น landmark ของที่นี่ ที่คนไทยมักเรียกกันว่า สาน ฮ. นั่นหละครับ จะไปจุดนี้ไม่ยากครับ ขี่มอเตอร์ไซค์ย้อนกลับไปทางที่เรามาจากฮานอยนั่นหละครับ ขี่ไปเรื่อยๆจุดสังเกตุคือจะเจอป้ายใหญ่ๆเป็นรูปลาน ฮ. ตรงนี้คนจะเยอะเป็นพิเศษ มีทั้งวินมอเตอร์ไซค์ นักท่องเที่ยว จะขึ้นไปยังลาน ฮ. ต้องเสียตังต์ด้วยนะครับ คนละ 20,000 ดอง ทางขึ้นไปบนลาน ฮ. ค่อยข้างชันและเป็นหลุม ต้องขี่มอเตอร์ไซค์แข็งประมาณนึงถึงจะขึ้นไปได้ แต่ขึ้นไปแล้วคนเยอะมากๆ ไม่เหมือนในรูปที่ดูก่อนไปเลย 555 นึกว่ามาแล้วจะเจอวิวแบบเงียบๆ สงบๆ แต่นี่นักท่องเที่ยวเจี้ยวจ้าวกันใหญ่เลย แต่ก็อย่างว่าวันนี้เป็นวันเสาร์ด้วยนักท่องเที่ยวอาจจะเยอะเป็นพิเศษ สำหรับผมการขึ้นมายังจุดนี้ ยังมีมุมอื่นๆที่สวยๆให้ถ่ายรูปเยอะเหมือนกัน
ระหว่างทางที่ขึ้นไปบน ลาน ฮ.
แสงตกลงมาพอดี เสร็จโจร หุหุ
แสงทะลุเมฆก็มา ฟิน!!!
ซ้ายมือของภาพ นักท่องเที่ยวเป็นร้อยนะ ยังกะคนมาลงแขกเกี่ยวข้าวกัน 555
ภาพสุดท้ายของวัน (ถ่ายที่เดียวกันกับจุดที่ถ่ายภาพมุมสูงเมื่อตอนเช้า จุดนี้เสียเงินเข้าด้วยนะ 10,000 ดอง)
วันที่ สี่
วันนี้เตรียมตัวตื่นตั้งแต่ตี 5 เพื่อไปเก็บภาพแสงเช้า ขับรถออกไปทางขวาเหมือนเดิม ขี่มอเตอร์ไซค์กันไปยาวๆ (ไปไกลกว่าวันแรก) อย่างที่บอกไปตั้งแต่ตอนต้น ที่นี่มีมุมสวยๆให้ถ่ายรูปเยอะมากๆ แต่ละมุมก็อยู่ไม่ไกลจากข้างถนนเลย
แสงแดดอุ่นๆยามเช้า คุ้มค่ากับการแหกขี้ตาตื่นมาแต่เช้า
ที่ทำงานของชาวบ้านที่นี่ อิจฉา!!
ความสุขไม่ได้อยู่ที่บ้านจะหลังใหญ่หรือเล็ก แต่ความสุขอยู่ที่ความรักที่คนในครอบครัวมีให้กัน
หนึ่งในมุมที่ผมชอบมากๆ
สวรรค์ของคนชอบถ่ายรูปแท้ๆ
สำหรับใครที่มาเที่ยวที่นี่ ผมแนะนำให้ตื่นมาเช้าๆ แล้วคุณจะไม่ผิดหวังกับภาพที่จะได้เห็น จุดชมวิว จุดถ่ายภาพมีเยอะ เสียดายที่ผมมาที่นี่แค่ 2 วัน พรุ่งนี้ก็ต้องกลับแล้ว แต่ แต่ แต่ ยังมีไฮไลท์อย่างนึงที่ผมอยากจะมาแชร์ประสบการณ์ ตั้งแต่มาเที่ยวที่นี่ 1 วันครึ่งผ่านไป ผมจะขี่มอเตอร์ไซค์ออกมาทางด้านขวาของโรงแรมตลอด แต่ผมพอรู้มาว่ามีหมู่บ้าน หมู่บ้านหนึ่งที่ชื่อว่า Xã Lao Chải ซึ่งจะต้องขี่มอเตอร์ไซค์ออกไปทางซ้ายของโรงแรม จากข้อมูลที่พอมี นาขั้นบันไดที่อยู่ระหว่างทางที่จะไป Xã Lao Chải ความสวยไม่แพ้นาขั้นบันไดวันแรกๆที่ผมเที่ยวมาเลย จะสวยแค่ไหน เด๋วเราก็ได้รู้กัน
ผมต้องขี่มอเตอร์ไซค์ห่างออกมาไกลจากตัวโรงแรมพอสมควร เป็นทางเรียบๆมาก่อนสัก 4-5 กม. หลังจากนั้นก็จะเป็นทางชันต้องขี่มอเตอร์ไซค์ไต่ระดับความสูงไปเรื่อยๆ ทางชันช่วงแรกๆยังเป็นคอนกรีต แต่หลังๆเป็นทางดินค่อยข้างลำบากในการขับขี่พอสมควร แต่ถ้ายอมลำบากมา คุ้มค่าแน่นอนกับสิ่งที่จะได้เห็น
ภาพแรกหลังจากขับขึ้นเนินมาได้สักพัก