สวัสดีค่ะ หลังจากหัวหมุนหาข้อมูลเรื่องการกู้ซื้อคอนโดมือสองอยู่หลายเดือน เพราะข้อมูลในเน็ตค่อนข้างน้อยเกินไปสำหรับเรา
ประกอบกับหลังโอนเสร็จก็วุ่นๆเรื่องย้ายของ ซื้อของเข้าห้อง
วันนี้ก็ฤกษ์งามยามดี ว่าง ออฟฟิตไม่มีคนเล๊ยยยยยยยยยยย เลยอยากจะมารีวิวเพื่อเป็นข้อมูลให้กับคนที่กำลังงงๆกับเรื่องนี้
อาจจะเล่างงๆ ไปบ้าง ต้องขอโทษล่วงหน้านะคะเป็นกระทู้แรก

ข้อมูลพื้นฐาน อายุ 25 ปี แฟนอายุ 26 ปี เงินเดือนรวมกัน ประมาณ 35,000 บาท
ไม่มีหนี้สินอื่น ไม่เคยซื้อรถ ไม่เคยทำบัตรเครดิตใดๆ ทั้งคู่ค่ะ
เป็นการกู้ครั้งแรกค่ะ ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ทุกอย่างเริ่มจากศูนย์จริงๆ
บริษัทมีสวัสดิการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยกับ ธอส. ทั้งคู่ค่ะ

1. หาห้องที่ชอบค่ะ เราขอแนะนำคนที่กำลังหาดูบ้านหรือคอนโดนะคะ อย่ารีบค่ะ เน้นเลยว่าอย่ารีบ
ค่อยๆดู ค่อยๆตัดสินใจ บ้านเหมือนเนื้อคู่ค่ะ ถ้ามันใช่มันจะเจอเอง อย่าใจร้อน
เราก็เป็นคนนึงที่ใจร้อน (เพราะกลัวไม่ทันโปรโมชั่น Home For All ของ ธอส.)
หาดูเยอะมาก เกือบจะตัดสินใจหลายที แต่โชคมีไรให้เอะใจตลอด
บางที่ราคาถูกเกินไป บางที่นายหน้าก็ดูเร่งๆจนผิดสังเกต แบบนี้เราไม่เอาเลยนะคะ เรารู้สึกผิดปกติ
จนมาได้ที่นึง ใกล้ออฟฟิตมากกกก แต่ไม่ตรงใจนิดหน่อยตรงที่ห้องเล็กไปนิด แต่ก็ตกลงเอาห้องนี้ค่ะ

2. หลังจากตกลงกันเรียบร้อย ก็ทำสัญญาจะซื้อจะขายค่ะ
(ต้องเป็นสัญญาจะซื้อจะขาย นะคะ ไม่ใช่สัญญาซื้อขาย สัญญาซื้อขายจะทำที่กรมที่ดิน โดย จนท. ของกรมที่ดินค่ะ)
เราร่างสัญญากันเองกับแฟนค่ะ หาตัวอย่างจากอินเทอร์เน็ตหลายๆเว็บ แล้วเอามาประกอบ เรียบเรียงเอง
และส่งให้ผู้ขายดูก่อนเซ็นเพื่อความสบายใจของทุกฝ่ายค่ะ
** มีการจ่ายเงินมัดจำตามที่ตกลงกัน ในวันเซ็นสัญญาจะซื้อจะขายค่ะ
ในสัญญาจะมีการระบุว่า ...
              ผู้ซื้อชื่ออะไร หากซื้อ 2 คน (การกู้ร่วม) ก็ต้องระบุชื่อทั้ง 2 คนนะคะ
              ผู้ขายชื่ออะไร (เราโชคดีตรงที่ เจ้าของเก่าไถ่ถอนเรียบร้อยแล้วเลยง่ายในการทำธุรกรรมต่างๆด้วยค่ะ)
              จ่ายมัดจำไปแล้วเท่าไหร่ , เหลือจ่ายอีกเท่าไหร่ และจะจ่ายเมื่อใด
              ค่าใช้จ่ายในวันโอน ใครออกส่วนไหน หรือส่วนไหนจ่ายคนละครึ่ง ต้องระบุให้ชัดเจนค่ะ
ปกติจะมีการทำสัญญา 2 ฉบับที่หน้าตาเหมือนกัน เพื่อให้เก็บไว้ทั้ง 2 ฝ่าย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้** แต่เราทำสัญญา 3 ฉบับค่ะ เป็นสัญญาจะซื้อจะขายตามราคาที่ตกลงจริง 2 ฉบับ และอีก 1 ฉบับไว้ยื่นแบงค์เป็นยอดที่สูงกว่าที่ตกลงค่ะ

3. ยื่นเอกสารที่ธนาคารค่ะ
ตรงส่วนนี้เราแนะนำให้ไปติดต่อสอบถาม (ยังไม่ยื่นกู้นะคะ แค่สอบถามเอกสารที่ต้องใช้) ที่สาขาไหนก่อนก็ได้ค่ะว่าต้องใช้เอกสารไรบ้าง

วันที่ยื่นกู้ เตรียมเอกสารไปให้ครบค่ะ (จะได้ไม่เสียเวลาขอเอกสารเพิ่มทำให้ผลการพิจารณาช้าออกไปแนะนำ
ให้ไปยื่นที่ สำนักงานใหญ่ พระราม9 ค่ะ รู้ผลค่อนข้างไว
**ถ้ามีสวัสดิการให้ยื่นขอเอกสารกับ HR ด้วยนะคะ ต้องแจ้ง HR ให้ชัดเจนว่าเอาไปยื่นกู้กับ ธอส.
เพราะหนังสือรับรองการทำงาน กับหนังสือรับรองการทำงานเพื่อขอสินเชื่อ ธอส. จะหน้าตาไม่เหมือนกัน

ยื่นเอกสารเสร็จ ก็อย่าลืม ขอชือ เบอร์โทร ของ จนท.ที่รับเอกสารด้วยนะคะ เพราะหลังจากนี้เราจะต้องติดต่อทุกอย่างกับ จนท.คนเดิม
วันที่ยื่นจะรู้โดยคร่าวๆนะคะว่าจะกู้ผ่านหรือไม่ แต่จะไม่รู้ยอดที่ชัดเจนค่ะ

4. นัดประเมินค่ะ
ผ่านไปประมาณ 1 สัปดาห์ ก็มีการนัดประเมินค่ะสินทรัพย์ค่ะ
ขั้นตอนนี้ไม่มีไรมาก เตรียมเงิน 2300 บาทค่าประเมินค่ะ
ห้ามทิ้งใบเสร็จนะคะ เพราะหลังจากโอนแล้วไปขอเบิกคืนได้ตามโปรโมชั่นของโครงการค่ะ

5. ติดตามผลการพิจารณา
ผ่านไป 1 สัปดาห์ ก็ยังเงียบ เราโทรไป จนท.คนที่รับเรื่องลาป่วยค่ะ ลานานด้วย เซ็งมาก ไม่รู้ผลสักที
แต่เราก็ต้องโทรไปเรื่อยๆนะคะ จนเกือบ 2 สัปดาห์ เราโทรไปที่ส่วนงานลูกค้าสัมพันธ์ เค้าก็เช็คให้ว่าอนุมัติแล้วค่ะ แต่ยอดเงินไม่ต็มตามที่ขอกู้
แต่ก็ไม่เป็นไรค่ะ เราขอไปเกินอยู่แล้ว

6. นัดเซ็นสัญญาค่ะ
ของเราแบงค์ไม่ได้โทรมานัดนะคะ วันที่เราโทรติดตามผลครั้งสุดท้าย พอทราบว่าอนุมัติ จนท.ก็แจ้งว่าให้เรานัดวันที่สะดวกได้เองเลยค่ะ
วันเซ็นสัญญาก็ ไม่มีไรมากค่ะ แต่เอกสารเซ็นเยอะมากค่ะ มีการแจ้งว่าจะต้องจ่ายเดือนละเท่าไหร่
ยอดในเช็คที่จ่ายในวันโอน จะหักค่างวดเดือนแรก และค่าประกันอัคคีภัยออกเลย
เราไม่โดนบังคับทำประกันนะคะ จนท. แจ้งว่ามีประกัน แต่เราปฏิเสธไปค่ะ
ค่างวดเราจะทำการหักจากเงินเดือนโดยอัตโนมัติค่ะ
และนัดวันโอนกับแบงค์ค่ะ

เดี๋ยวอัพมาอัพต่อ ดึกหน่อยนะคะ เหลืออีกไม่เยอะละค่ะ