Call Me by Your Name ( Luca Guadagnino, 2017) คะแนน B+
By Form Corleone
"เราต่างเคยมีรักครั้งแรกที่ไม่มีทางจางหายไปจากความรู้สึก" พล็อตเรื่องของ 'Call Me by Your Name' สามารถทำให้เรารู้สึกคลื่นไส้อยากอาเจียนได้เลย(อารมณ์แบบไปพักร้อนแล้วเจอน้าชายที่เป็นเกย์พาไปเปิดโลก ประมาณนั้น) เส้นแบ่งระหว่างการกลายเป็นหนังคนจิตผิดปกติในพฤติกรรมทางเพศกับความรักที่ละมุนเต็มไปด้วยพลังและการเรียนรู้มีเส้นบางๆกั้นนิดเดียว แต่สิ่งที่ 'Call Me by Your Name' ถ่ายทอดออกมากลับเป็นไปในแบบหลัง คือเต็มไปด้วยชีวิตชีวา เต็มไปด้วยความรักและการเรียนรู้ หรือเต็มไปด้วยเรื่องราวความรักในเพศเดียวกันที่สวยงามไม่แพ้หนังรักระหว่างชายหญิง มันจึงทำให้งานนี้โดดเด่นและน่าชื่นชมในงานกำกับและการแสดงของนักแสดงหลักที่ให้พลัง+เข้าถึงบทได้อย่างดีเยี่ยม ผนวกกับงานภาพที่เป็นฝีมือคนไทย 'สยมภู มุกดีพร้อม' ที่ต้องเอาใจช่วยให้กลายเป็นคนไทยคนแรกที่ได้เข้าชิงออสการ์ที่กำลังจะมาถึง งานภาพในเรื่องมีความเป็นธรรมชาติและสวยงามทั้งการเคลื่อนกล้องและจังหวะหนักเบาล้วนพอเหมาะพอดี มุมกล้องสร้างอารมณ์ร่วมต่อตัวละครอย่างมาก งานนี้จึงออกมาละมุนลุ่มลึกไปพร้อมความสัมพันธ์ในเรื่องราวของความรัก สิ่งที่เราชอบมากๆคือไดอะล็อกต่างๆของ 'Call Me by Your Name' มันเต็มไปด้วยชีวิตและสามารถตกตะกอนเป็นชุดความคิดต่อเรื่องราวความรักที่สวยงามได้ในทันที พร้อมทั้งเต็มไปด้วยพลังในการสื่อสารระหว่างคนสองคนได้โรแมนติกเอามากๆ นอกจากนี้ ฉากเลิฟซีนยังทำได้ดีจนไม้รู้สึกกระอักกระอ่วนใจช่วงขณะดู ฉากเหล่านี้ดูมีเสน่ห์และมีรสนิยมในการถ่ายทอด มันไม่ได้ร้องแรงหรือรุนแรงจนเกิดไป (ไม่ได้รักเพศเดียวกันก็ดูได้แบบไม่ทรมาน)
แม้ว่าพล็อตของ 'Call Me by Your Name' จะไม่ได้ใหม่อะไร แต่ตัวหนังกลับให้พลังและความหมายในเรื่องราวความรักที่มีทั้งด้านสวยงามและด้านหม่นเศร้าเคียงคู่กัน เราไม่สามารถแยกสิ่งดีกับสิ่งไม่ดีออกจากกันได้ในเรื่องราวความรัก เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่เราเลือกลืมเรื่องราวที่เลวร้าย เมื่อนั้นเราก็จะค่อยๆลืมเรื่องราวส่วนที่ดีไปด้วยพร้อมกัน แต่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนเราก็ยังคงมีเศษเสี้ยวความรู้สึกต่อคนที่เรารักอยู่เสมอ แม้ว่าเขาจะเป็นความรักครั้งเก่าก็ตาม เพราะสำหรับเรา เราเชื่อว่าคนสองคนเมื่อมีความสัมพันธ์ร่วมกันไม่ทางใดก็ทางหนึ่งแล้ว เราได้ทิ้งส่วนหนึ่งของกันและกันไว้เสมอ การที่เราได้ดูภาพยนตร์เรื่องนี้มันจึงทำให้เราหวนระลึกถึงคนรักในอดีต แม้ว่าสิ่งที่หนังแสดงออกมาจะเป็นความรักระหว่างชายกับชายก็ตาม ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ดีงามและแสดงให้เห็นว่าความรักมันไม่ได้จำกัดว่าต้องเป็นเพศไหน ความรักก็คือความรัก มันซับซ้อน มันเจ็บปวด และแน่นอนว่ามันมีความสุขเสมอทุกครั้งเมื่อความรักได้เริ่มต้นขึ้น
เมื่อเราผิดหวังในความรักหรือความสัมพันธ์ที่มันต้องจบลงด้วยข้อแม้อะไรก็แล้วแต่ เรามักจะพยายามเข้มแข็งให้เร็วที่สุด พยายามไม่เสียใจไปกับมัน แต่ยิ่งเราพยายามหนีมันเท่าไหร่เราก็ยิ่งรู้สึกเสียใจมากขึ้นเท่านั้น การทำให้หัวใจของเราด้านชาต่อความรู้สึกมันคงเป็นเรื่องน่าเสียดายถ้าวันหนึ่งเราเจอความรักครั้งใหม่ แต่ถ้าเราปล่อยให้หัวใจต้องร้องไห้มากจนเกินไปมันก็ไม่มีประโยชน์อะไรเหมือนกัน บางครั้งเราเพียงให้เวลารักษาและเยียวยาความรู้สึกไปสักระยะแล้ววันหนึ่งทุกอย่างจะกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม และบางที 'เราไม่ควรรีบลืมความเศร้าจนเกินไปเพราะมันจะทำให้เราลืมความสุขไปพร้อมกันซึ่งมันคงเป็นเรื่องน่าเสียดาย' บ่อยครั้งเราก็มีช่วงเวลาที่อ่อนแอและธรรมชาติก็มักจะค้นพบความอ่อนแอหรือจุดอ่อนของเราเสมอ ข้อความต่างๆของหนังมันทำให้เราสะเทือนความรู้สึกมาก
อย่างไรก็ตาม 'Call Me by Your Name' สำหรับเราก็ยังจุดที่ไม่ชอบอยู่เหมือนกันโดยเฉพาะวิธีตัดภาพเหตุการณ์ที่เร็วไปนิดในบางฉากหรือดนตรีประกอบที่บางช่วงรู้สึกขัดๆเล็กน้อย รวมไปถึงพฤติกรรมแปลกๆของคนเป็นพ่อเป็นแม่ที่มีความประนีประนอมค่อนข้างสูงมาก จนอดนึกสมมุติไม่ได้ว่าถ้าเรามีลูกแล้วลูกเรามีพฤติกรรมเหมือนตัวละครในเรื่องขึ้นมา เราจะทำเหมือนที่ตัวละครพ่อกับแม่ในเรื่องนี้กระทำได้จริงๆหรือ อย่างไรเสีย เราก็สามารถมองข้ามจุดเล็กๆน้อยๆที่ไม่ชอบผ่านไปได้ เพราะตัวหนังมันพาเรากลับไปหาความรักในอดีตได้อย่างแท้จริง มนต์เสน่ห์ของงานนี้จึงทำให้เราอินไปกับตัวเนื้อเรื่องได้ไม่ยากเย็นอะไรเลย พร้อมด้วยวิธีเล่าเรื่องที่สวยงามแม้พล็อตเรื่องจะไม่แปลกใหม่ก็ตาม ละมุมละไมเต็มไปด้วยความรู้สึก ท้ายสุด 'Call Me by Your Name' คงจะเป็นภาพยนตร์ที่สวยงามมากๆเรื่องหนึ่ง...เพราะความรักยังคงสวยงามเสมอ...ทุกครั้งที่เราคิดถึง...
ขอให้มีความสุขกับการรับชมภาพยนตร์ครับ
ป.ล. หนังฉายที่ House RCA
ตัวอย่างหนัง
ติดตามรีวิวภาพยนตร์ได้ที่
Page:
https://www.facebook.com/MoviesDelightClub/
Blog:
http://moviesdelightclub.blogspot.com/
Review: Call Me by Your Name ( Luca Guadagnino, 2017) เขียนโดย Form Corleone
By Form Corleone
"เราต่างเคยมีรักครั้งแรกที่ไม่มีทางจางหายไปจากความรู้สึก" พล็อตเรื่องของ 'Call Me by Your Name' สามารถทำให้เรารู้สึกคลื่นไส้อยากอาเจียนได้เลย(อารมณ์แบบไปพักร้อนแล้วเจอน้าชายที่เป็นเกย์พาไปเปิดโลก ประมาณนั้น) เส้นแบ่งระหว่างการกลายเป็นหนังคนจิตผิดปกติในพฤติกรรมทางเพศกับความรักที่ละมุนเต็มไปด้วยพลังและการเรียนรู้มีเส้นบางๆกั้นนิดเดียว แต่สิ่งที่ 'Call Me by Your Name' ถ่ายทอดออกมากลับเป็นไปในแบบหลัง คือเต็มไปด้วยชีวิตชีวา เต็มไปด้วยความรักและการเรียนรู้ หรือเต็มไปด้วยเรื่องราวความรักในเพศเดียวกันที่สวยงามไม่แพ้หนังรักระหว่างชายหญิง มันจึงทำให้งานนี้โดดเด่นและน่าชื่นชมในงานกำกับและการแสดงของนักแสดงหลักที่ให้พลัง+เข้าถึงบทได้อย่างดีเยี่ยม ผนวกกับงานภาพที่เป็นฝีมือคนไทย 'สยมภู มุกดีพร้อม' ที่ต้องเอาใจช่วยให้กลายเป็นคนไทยคนแรกที่ได้เข้าชิงออสการ์ที่กำลังจะมาถึง งานภาพในเรื่องมีความเป็นธรรมชาติและสวยงามทั้งการเคลื่อนกล้องและจังหวะหนักเบาล้วนพอเหมาะพอดี มุมกล้องสร้างอารมณ์ร่วมต่อตัวละครอย่างมาก งานนี้จึงออกมาละมุนลุ่มลึกไปพร้อมความสัมพันธ์ในเรื่องราวของความรัก สิ่งที่เราชอบมากๆคือไดอะล็อกต่างๆของ 'Call Me by Your Name' มันเต็มไปด้วยชีวิตและสามารถตกตะกอนเป็นชุดความคิดต่อเรื่องราวความรักที่สวยงามได้ในทันที พร้อมทั้งเต็มไปด้วยพลังในการสื่อสารระหว่างคนสองคนได้โรแมนติกเอามากๆ นอกจากนี้ ฉากเลิฟซีนยังทำได้ดีจนไม้รู้สึกกระอักกระอ่วนใจช่วงขณะดู ฉากเหล่านี้ดูมีเสน่ห์และมีรสนิยมในการถ่ายทอด มันไม่ได้ร้องแรงหรือรุนแรงจนเกิดไป (ไม่ได้รักเพศเดียวกันก็ดูได้แบบไม่ทรมาน)
แม้ว่าพล็อตของ 'Call Me by Your Name' จะไม่ได้ใหม่อะไร แต่ตัวหนังกลับให้พลังและความหมายในเรื่องราวความรักที่มีทั้งด้านสวยงามและด้านหม่นเศร้าเคียงคู่กัน เราไม่สามารถแยกสิ่งดีกับสิ่งไม่ดีออกจากกันได้ในเรื่องราวความรัก เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่เราเลือกลืมเรื่องราวที่เลวร้าย เมื่อนั้นเราก็จะค่อยๆลืมเรื่องราวส่วนที่ดีไปด้วยพร้อมกัน แต่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนเราก็ยังคงมีเศษเสี้ยวความรู้สึกต่อคนที่เรารักอยู่เสมอ แม้ว่าเขาจะเป็นความรักครั้งเก่าก็ตาม เพราะสำหรับเรา เราเชื่อว่าคนสองคนเมื่อมีความสัมพันธ์ร่วมกันไม่ทางใดก็ทางหนึ่งแล้ว เราได้ทิ้งส่วนหนึ่งของกันและกันไว้เสมอ การที่เราได้ดูภาพยนตร์เรื่องนี้มันจึงทำให้เราหวนระลึกถึงคนรักในอดีต แม้ว่าสิ่งที่หนังแสดงออกมาจะเป็นความรักระหว่างชายกับชายก็ตาม ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ดีงามและแสดงให้เห็นว่าความรักมันไม่ได้จำกัดว่าต้องเป็นเพศไหน ความรักก็คือความรัก มันซับซ้อน มันเจ็บปวด และแน่นอนว่ามันมีความสุขเสมอทุกครั้งเมื่อความรักได้เริ่มต้นขึ้น
เมื่อเราผิดหวังในความรักหรือความสัมพันธ์ที่มันต้องจบลงด้วยข้อแม้อะไรก็แล้วแต่ เรามักจะพยายามเข้มแข็งให้เร็วที่สุด พยายามไม่เสียใจไปกับมัน แต่ยิ่งเราพยายามหนีมันเท่าไหร่เราก็ยิ่งรู้สึกเสียใจมากขึ้นเท่านั้น การทำให้หัวใจของเราด้านชาต่อความรู้สึกมันคงเป็นเรื่องน่าเสียดายถ้าวันหนึ่งเราเจอความรักครั้งใหม่ แต่ถ้าเราปล่อยให้หัวใจต้องร้องไห้มากจนเกินไปมันก็ไม่มีประโยชน์อะไรเหมือนกัน บางครั้งเราเพียงให้เวลารักษาและเยียวยาความรู้สึกไปสักระยะแล้ววันหนึ่งทุกอย่างจะกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม และบางที 'เราไม่ควรรีบลืมความเศร้าจนเกินไปเพราะมันจะทำให้เราลืมความสุขไปพร้อมกันซึ่งมันคงเป็นเรื่องน่าเสียดาย' บ่อยครั้งเราก็มีช่วงเวลาที่อ่อนแอและธรรมชาติก็มักจะค้นพบความอ่อนแอหรือจุดอ่อนของเราเสมอ ข้อความต่างๆของหนังมันทำให้เราสะเทือนความรู้สึกมาก
อย่างไรก็ตาม 'Call Me by Your Name' สำหรับเราก็ยังจุดที่ไม่ชอบอยู่เหมือนกันโดยเฉพาะวิธีตัดภาพเหตุการณ์ที่เร็วไปนิดในบางฉากหรือดนตรีประกอบที่บางช่วงรู้สึกขัดๆเล็กน้อย รวมไปถึงพฤติกรรมแปลกๆของคนเป็นพ่อเป็นแม่ที่มีความประนีประนอมค่อนข้างสูงมาก จนอดนึกสมมุติไม่ได้ว่าถ้าเรามีลูกแล้วลูกเรามีพฤติกรรมเหมือนตัวละครในเรื่องขึ้นมา เราจะทำเหมือนที่ตัวละครพ่อกับแม่ในเรื่องนี้กระทำได้จริงๆหรือ อย่างไรเสีย เราก็สามารถมองข้ามจุดเล็กๆน้อยๆที่ไม่ชอบผ่านไปได้ เพราะตัวหนังมันพาเรากลับไปหาความรักในอดีตได้อย่างแท้จริง มนต์เสน่ห์ของงานนี้จึงทำให้เราอินไปกับตัวเนื้อเรื่องได้ไม่ยากเย็นอะไรเลย พร้อมด้วยวิธีเล่าเรื่องที่สวยงามแม้พล็อตเรื่องจะไม่แปลกใหม่ก็ตาม ละมุมละไมเต็มไปด้วยความรู้สึก ท้ายสุด 'Call Me by Your Name' คงจะเป็นภาพยนตร์ที่สวยงามมากๆเรื่องหนึ่ง...เพราะความรักยังคงสวยงามเสมอ...ทุกครั้งที่เราคิดถึง...
ขอให้มีความสุขกับการรับชมภาพยนตร์ครับ
ป.ล. หนังฉายที่ House RCA
ตัวอย่างหนัง
ติดตามรีวิวภาพยนตร์ได้ที่
Page: https://www.facebook.com/MoviesDelightClub/
Blog: http://moviesdelightclub.blogspot.com/