CALL ME BY YOUR NAME : เอ่ยชื่อ คือคำรัก
หลายครั้งที่โลกได้เหวี่ยงใครบางคนเข้ามาในชีวิต อาจจะเป็นแค่การพบเพื่อเพียงผ่าน เข้ามาเติมเต็ม เปลี่ยนแปลงชีวิตให้กันและกัน ... และก็จะจากไป พร้อมความทรงจำให้คิดถึงต่อไปจนนิรันดร์
▪ จากนิยายโรแมนซ์ปี 2007 ของ André Aciman เจ้าของรางวัล 20th Lambda Literary Awards ในสาขา Gay Fiction สู่การดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ที่สวยงามภายใต้การกำกับของ Luca Guadagnino (A Bigger Splash-2015)
▪ #CallMeByYourName เล่าเรื่องราวในปี 1983 ของอิตาลี เมื่อครอบครัวของเอลิโอ เด็กหนุ่มวัย 17 ได้ต้อนรับโอลิเวอร์ หนุ่มหล่ออเมริกันวัย 24 ที่เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยโคลัมเบียมาเข้าพักระหว่างฤดูร้อน เพื่อช่วยงานค้นคว้าทางโบราณคดีของพ่อ ... การพบกันก็กลายเป็นช่วงเวลาหนึ่งที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของคนทั้งคู่ไปตลอดกาล
++ สำหรับคนที่อ่านหนังสือมาก่อน ... ไม่ต้องกังวลว่าจะเสียอรรถรสครับ เพราะหนังดัดแปลงหลาย ๆ อย่างที่ปรากฏในหนังสือไปพอสมควร เช่นโลเคชั่นตามที่บรรยายในหนังสือ รวมถึงการหายไปของตัวละครบางตัว แต่ก็ยังคงไว้ซึ่ง 'ข้อความ' 'ความสวยงามของความรัก และความสัมพันธ์ที่แม้จะเริ่มต้นด้วยตัณหา แต่ก็ไปจบลงที่มิตรภาพอันแสนบริสุทธิ์งดงาม' ...
▪ พร้อมกันนั้น ก็ยังสะท้อนถึงช่วงเวลา Coming-of-Age หรือการก้าวข้ามผ่านวัย ในที่นี้ก็คือ การมายืนอยู่ในจุดของ 'วัยรุ่นเต็มตัว' ของเอลิโอ
::::: "บางครั้งการหลงทางก็กลายเป็นหนทางที่ถูกต้อง" ::::::
การหลงทางของเด็กหนุ่ม ที่เดินออกจากเส้นทางที่มีคนกำหนดไว้ว่า
'นี่คือทางที่ถูกของคนเรา' ... กลับนำไปสู่การค้นพบจุดหมายที่ 'ถูกต้องสำหรับตัวเขา'
▪ในนิยายอาจจะมีความลำไยของเอลิโออยู่มากทีเดียวครับ ซึ่งหนังสามารถถ่ายทอดความลำไยของเขาออกมาได้กระชับ สื่อสารให้ผู้ชมออกมาได้เข้าใจ ถึงความสับสนและกระวนกระวายในใจของเขา ...
------
เอลิโอ ก้าวข้ามคำว่า ฉันกำลังชอบผู้ชายจริง ๆ ใช่ไหม .. ไปไกลแล้วครับ ในทันทีที่พบหน้าโอลิเวอร์ในครั้งแรก
ด้วยการเลี้ยงดูอย่างอบอุ่น และให้อิสระเต็มที่ของพ่อแม่เขา .. สำหรับเขา มันไม่ใช่เรื่องของเพศชายกับชาย หรือชายกับหญิง ... แต่ตัณหา ความรู้สึกที่เขามีต่อโอลิเวอร์ มันคือ ความปรารถนาขั้นพื้นฐานที่มนุษย์จะพึงมีต่อกันและกัน
::::: "โลกนี้มันจะมีสักกี่คน ที่เราพบครั้งแรก แล้วรู้สึกถูกชะตา .. รู้สึกว่า อยากอยู่ข้าง ๆ .. คนที่เราสามารถนั่งมองเขาได้ทั้งวันโดยที่ไม่รู้สึกเบื่อ"
แต่ถึงเราจะเจอคน ๆ นั้น แต่ถ้ามันบังเอิญว่าคน ๆ นั้น ดันเป็นเพศเดียวกันกับเรา ? ... อะไรก็ไม่ง่ายนะฮะ
และกับการถูกชะตาต้องใจกันระหว่างเอลิโอ กับโอลิเวอร์ .. ทั้งคู่จึงดำเนินความสัมพันธ์ในช่วงแรกกันไปแบบกระเซ้าเย้าหยอก หมาหยอกไก่ ... หรือที่หนังสือใช้คำว่า
"การตีปิงปอง"
จขกท. ชอบคำนี้มาก ... ในฐานะที่ก็เข้าใจหัวอกทั้งสองคนดีอ่ะเนอะ ... การตีปิงปองที่ว่านั้น คืออะไร ? ... มันคือ การที่ต่างฝ่ายต่างก็ต้องลองตบลูกปิงปองไปให้อีกฝ่าย ตบกลับมา ... เราจะรู้ว่า ถ้าเราตบไปแบบนี้ เขาจะตบมาแบบไหน
ถ้าเราพูดคำนี้ เขาจะตอบเราว่าอะไร ถ้าเราทำแบบนี้ เขาจะตอบโต้อย่างไร ... มันเหมือนการยิงพฤติกรรมลองเชิงกันไปกันมา เพื่อให้แน่ใจว่า คนสองคนนั้น กำลังมีความคิดเดียวกันอยู่
จะพูดไงดีล่ะฮะ ... มันไม่ใช่เหมือนผู้ชายผู้หญิงจีบกันปกติน่ะฮะ (คือเราเองจะเข้าใจดี เพราะเป็นเกย์ที่มีความอนุรักษ์นิยมค่อนข้างสูง ไม่ค่อยเปิดเผยความรู้สึก และไม่ได้พาตัวเองไปอยู่ในสังคมของกลุ่มเพศทางเลือกเหมือน ๆ กัน จึงจะค่อนข้างเข้าใจ วิถีลำไยกองใหญ่ของเอลิโอ และการกระหายอยากรับรู้ความรู้สึกของโอลิเวอร์จากสิ่งที่เราค่อย ๆ เผยไปทีละนิดทีละน้อย) .... มันไม่ใช่แค่เธอถูกใจฉันหรือเปล่า แล้วจบ อ่ะสานสัมพันธ์ต่อได้ ... แต่มันต้องมาลุ้นอีกว่า แล้วคนที่เราทอดสะพานเนี่ย เขาชอบเพศเดียวกันไหม ?? คือ มันมีความซับซ้อนสูงนะฮะ ><"
เราจึงได้เห็นการแสดงออกที่ดูสับสน แต่เป็นความสับสนที่มันมีความชัดเจนบางอย่างผ่านการกระทำ และสายตาของคนทั้งคู่ เป็นการจีบกันที่มันถูกนำเสนอได้ REAL จริงมาก ๆ ในขนบของเพศที่สาม ที่ค่อนข้างจะอนุรักษ์นิยม ซึ่งในที่นี้ .. มันก็คือ การนำเสนอในช่วงยุค 80's ที่อะไร ๆ ก็อาจจะไม่ได้เปิดกว้างอะไรนัก
▪ จขกท. ชอบที่ตัวละครของโอลิเวอร์ คือ ผู้ชายที่มีเสน่ห์ เป็นผู้ชายแบบอเมริกันดรีมที่ใคร ๆ ก็พร้อมจะหลงรัก มีความเป็นสตาร์ เจิดจ้า ... เพื่อปูไปสู่การตัดสินใจก้าวข้ามความรู้สึกผิด และประตูที่กั้นระหว่างห้องของคนทั้งคู่ไปสู่จุดที่ทำตามหัวใจปรารถนา
:::: "มันจะเป็นอะไร หากเราตกหลุมรักใครสักคนที่ใคร ๆ ก็ชอบเขา" .. มันคือ โอเอซิสปลอบประโลมตัวเองให้พ้นจากความรู้สึกผิดที่มีต่อความรักต้องห้าม ซึ่งก็จริงของเขา เพราะในที่นี่ โอลิเวอร์ คือ ชายหนุ่มที่ใคร ๆ ก็พร้อมจะรัก เป็นมนุษย์ที่มีเคมีเข้าได้กับทุกคน ... และเด็กหนุ่มก็เลยใช้ช่องตรงนี้ เพื่อให้ตัวเองสามารถแสดงออกถึงความรัก ความใกล้ชิดได้อย่างสะดวกใจ เพื่อไม่ให้ใครจับสังเกต ><"
▪
Call Me By Your Name จึงเป็นงานที่นำเสนอเพศที่สามได้อย่างเข้าใจ และเป็นความเข้าใจอย่างลึกซึ้งลงไปถึงแรงปรารถนา ความรู้สึก ความคิด ไปจนถึงการตบตีกันระหว่างความต้องการของสังคม และความต้องการของตัวเอง
▪ ชอบที่มันก้าวผ่านคำว่า เพศ วัฒนธรรม ธรรมชาติ และศาสนา มันคือเรื่องของอารมณ์ ความรู้สึกล้วน ๆ ... มันคือเรื่องราวของคนสองคนที่รักกัน อยากจะหลอมรวมเข้าด้วยกัน โดยไม่จำกัดว่าจะอยู่ในเพศไหนครับ
แต่นั่นแหล่ะ ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ มันก็ยังต้องมีกรอบของมัน
▪ ในส่วนของ Love Scene หนังก็ถ่ายทอดออกมาได้อย่างมีศิลปะ ไม่โจ๋งครึ่ม ลามก แต่เป็นความเร่าร้อนที่ดูแพงอย่างมีชั้นเชิง ... ผมชอบนะ คือ มันเหมือนทีมงานให้เกียรติมาก ๆ เพราะปฏิเสธยากจริง ๆ ที่คนส่วนใหญ่มักจะมองเพศที่สาม ในมุมของเรื่องตัณหาที่ร้อนแรงจนมองข้ามความสวยงามของความรู้สึกที่คนสองคนมันมีให้กันจริง ๆ ...
เคยอยากกอดใครสักคน จนแทบบ้าไหม
เคยอยากสัมผัสใครสักคน จนกระวนกระวายบ้างไหม
เคยอยากจูบใครสักคน จนมันรู้สึกถึงพลังงานความร้อนที่ใกล้ปะทุเต็มที่ในตัวบ้างไหม
เคยอยู่ใกล้ใครสักคน จนมันรู้สึกอยากละลายบ้างไหม
และเมื่อทั้งเอลิโอและโอลิเวอร์ ได้ทำในสิ่งที่เขารอคอยมาแสนนานนั้น .. แม้จะเหมือนความลุ่มหลงอยากจะลิ้มลอง แต่ก็เต็มไปด้วยการถ่ายเทมวลพลังงานของความปรารถนาที่จะแลกเปลี่ยนและหลอมละลายร่าง และหัวใจเข้าด้วยกัน
หนังไม่ได้ทำให้โอลิเวอร์ดูเหมือนกำลังพรากผู้เยาว์ .. และไม่ได้ทำให้เอลิโอ ดูไร้เดียงสาจนน่าสงสาร
▪ ความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ มันเลยถูกวางและดำเนินไปอย่างสวยงาม จขกท. ขอใช้คำว่าสวยงามนะครับ เพราะมันไม่มีอะไรที่ผิดพลาด
▪ น้องทิม Timothée Chalamet เป็นเอลิโอที่ถอดแบบออกมาจากหนังสือทุกประการ ซุกซน อ่อนเยาว์แต่ไม่โง่เขลา น้องถ่ายทอดความปรารถนาที่มีต่อคนที่เขาถูกชะตาได้อย่างชัดเจน มันคือ ความชัดเจนที่แม้จะต้องแสดงออกอย่างซ่อนเร้น ... ซีนที่น้องเผยความในใจ ซีนที่น้องคุยกับพ่อ และซีนสุดท้าย มันคือ ความพีคที่ส่งอารมณ์หมดใส่ผู้ชมให้ตายไปพร้อม ๆ กับเขา ... น้องทิมควรได้เข้าชิงออสการ์เถอะ ณ จุดนี้ !!
▪ ส่วนหนุ่ม Armie Hammer อาจจะมีอะไรให้ทำน้อยกว่า แต่ก็เป็นตัวแปร ที่ส่งอารมณ์ต่าง ๆ ให้น้องทิมได้ลงตัว เป็นเคมีที่เข้ากัน
และทั้งคู่ก็สร้างตัวละครที่ก้าวข้ามคำว่าเพศ เป็นตัวละครที่ไร้เพศอย่างสมบูรณ์ คือ เราไม่รู้สึกอะไรอีกต่อไปแล้ว ไม่ว่าเขาจะรักเพศไหนก็ตาม
▪ และนอกจากงานแสดงของทั้งคู่ การกำกับที่พอเหมาะพอดี ดนตรีประกอบที่เสริมรายละเอียดของเรื่องให้แจ่มชัดมากขึ้น หนังก็ยังได้งานกำกับภาพของผู้กำกับภาพชาวไทย คุณสยมภู .. ที่ถ่ายทอดช่วงเวลาของฤดูร้อนให้แทน 'บางสิ่ง' ที่อยู่ในใจของตัวละครทั้งสองคนได้อย่างยอดเยี่ยม ... ฤดูร้อนที่สดใส เร่าร้อน เต็มไปด้วยเสน่ห์ และอิสรภาพ
▪ และที่เซอร์ไพรซ์ไปกว่านั้น คือ งานเขียนบท ที่ตัวผมเองก็อ่านนิยายมาก่อน แต่หนังกลับแก้ไขบางอย่างให้กระชับ และเลือกจะ spotlight ให้กับความรู้สึกที่มีต่อรักแรกในอารมณ์ที่แตกต่างไปจากตัวนิยายพอสมควร ... แต่ก็ยังเป็นความแตกต่างที่ยังสะท้อนความสวยงามของรักแรก พร้อมเชิดชู
'การเดินทางค้นหาตัวตน' ของคนหนุ่มสาว ผ่านความรัก และการพบเจอมิตรภาพดี ๆ กับใครสักคนเช่นเดียวกัน
::::: ความเจ็บปวดบางอย่าง ก็เหมือนกองไฟในหน้าหนาว ... เราก็ควรปล่อยให้มันลุกโชนต่อไป เพื่อสร้างความอบอุ่นให้กับร่างกาย ... เพราะไม่เช่นนั้น ความหนาวเหน็บจะทำให้เราชาชิน จนไม่รู้ว่า ความรู้สึกของการมีชีวิตเป็นยังไง :::::
ก็เหมือนกับรักแรกนั่นแหล่ะฮะ ...
มันคือความเจ็บปวดอันหอมหวาน มันทำให้เรารู้ว่า รัก คืออะไร รู้ว่าเราจะรักคนแบบไหน และในขณะเดียวกันมันก็คือบทเรียนการเรียนรู้ที่ดีที่สุดบทหนึ่งในชีวิต .. มันยังทำให้เราได้รู้ว่า ถึงเวลาแล้วซินะ ที่เรากำลัง 'เติบโต'
▪ ถามว่าผมร้องไห้มากแค่ไหนให้กับเรื่องนี้ ... ถถถถถถ แม้จะอ่านนิยายมาแล้ว แต่ ... หนังทำให้ผมร้องไห้หนักกว่านิยายไปอีกจ้าาาาา
.....
ทุ้มอยู่ในใจ
ปล. หนังฉายเฉพาะที่ House RCA เท่านั้นนะครับ ยังไงก็เช็ครอบกันนิดนึง ได้ข่าวว่าตั๋วเต็มกันรัว ๆ ... จขกท. ไปดูเย็นวันศุกร์ที่ผ่านมารอบทุ่มนึง ไปถึง 6.30 ลุ้นมากว่าจะเต็มไหม ปรากฏว่า ยังเหลือโซนแถวหน้าอยู่บ้าง อยากจะลงไปกรีดร้องอย่างดีใจ 555+ .... ใครไปดูแล้ว มันจะมีผนังให้แปะโพสอิทบรรยายความรู้สึกหลังจากดูจบ อย่าลืมไปเขียนกันนะครับ ... หาของผมเจอไหมน้า ?
ปล. ติดตามรีวิวเรื่องอื่น ๆ ของผมได้นะครับ ที่
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://www.facebook.com/CinemaParadiso.by.Golffy
CALL ME BY YOUR NAME ... ผ่านมาให้จำ .. จำว่า "ครั้งนึงเรานั้น .. เคยรักกัน"
▪ จากนิยายโรแมนซ์ปี 2007 ของ André Aciman เจ้าของรางวัล 20th Lambda Literary Awards ในสาขา Gay Fiction สู่การดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ที่สวยงามภายใต้การกำกับของ Luca Guadagnino (A Bigger Splash-2015)
▪ #CallMeByYourName เล่าเรื่องราวในปี 1983 ของอิตาลี เมื่อครอบครัวของเอลิโอ เด็กหนุ่มวัย 17 ได้ต้อนรับโอลิเวอร์ หนุ่มหล่ออเมริกันวัย 24 ที่เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยโคลัมเบียมาเข้าพักระหว่างฤดูร้อน เพื่อช่วยงานค้นคว้าทางโบราณคดีของพ่อ ... การพบกันก็กลายเป็นช่วงเวลาหนึ่งที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของคนทั้งคู่ไปตลอดกาล
++ สำหรับคนที่อ่านหนังสือมาก่อน ... ไม่ต้องกังวลว่าจะเสียอรรถรสครับ เพราะหนังดัดแปลงหลาย ๆ อย่างที่ปรากฏในหนังสือไปพอสมควร เช่นโลเคชั่นตามที่บรรยายในหนังสือ รวมถึงการหายไปของตัวละครบางตัว แต่ก็ยังคงไว้ซึ่ง 'ข้อความ' 'ความสวยงามของความรัก และความสัมพันธ์ที่แม้จะเริ่มต้นด้วยตัณหา แต่ก็ไปจบลงที่มิตรภาพอันแสนบริสุทธิ์งดงาม' ...
▪ พร้อมกันนั้น ก็ยังสะท้อนถึงช่วงเวลา Coming-of-Age หรือการก้าวข้ามผ่านวัย ในที่นี้ก็คือ การมายืนอยู่ในจุดของ 'วัยรุ่นเต็มตัว' ของเอลิโอ
การหลงทางของเด็กหนุ่ม ที่เดินออกจากเส้นทางที่มีคนกำหนดไว้ว่า 'นี่คือทางที่ถูกของคนเรา' ... กลับนำไปสู่การค้นพบจุดหมายที่ 'ถูกต้องสำหรับตัวเขา'
▪ในนิยายอาจจะมีความลำไยของเอลิโออยู่มากทีเดียวครับ ซึ่งหนังสามารถถ่ายทอดความลำไยของเขาออกมาได้กระชับ สื่อสารให้ผู้ชมออกมาได้เข้าใจ ถึงความสับสนและกระวนกระวายในใจของเขา ...
------ เอลิโอ ก้าวข้ามคำว่า ฉันกำลังชอบผู้ชายจริง ๆ ใช่ไหม .. ไปไกลแล้วครับ ในทันทีที่พบหน้าโอลิเวอร์ในครั้งแรก
ด้วยการเลี้ยงดูอย่างอบอุ่น และให้อิสระเต็มที่ของพ่อแม่เขา .. สำหรับเขา มันไม่ใช่เรื่องของเพศชายกับชาย หรือชายกับหญิง ... แต่ตัณหา ความรู้สึกที่เขามีต่อโอลิเวอร์ มันคือ ความปรารถนาขั้นพื้นฐานที่มนุษย์จะพึงมีต่อกันและกัน
แต่ถึงเราจะเจอคน ๆ นั้น แต่ถ้ามันบังเอิญว่าคน ๆ นั้น ดันเป็นเพศเดียวกันกับเรา ? ... อะไรก็ไม่ง่ายนะฮะ
และกับการถูกชะตาต้องใจกันระหว่างเอลิโอ กับโอลิเวอร์ .. ทั้งคู่จึงดำเนินความสัมพันธ์ในช่วงแรกกันไปแบบกระเซ้าเย้าหยอก หมาหยอกไก่ ... หรือที่หนังสือใช้คำว่า "การตีปิงปอง"
จขกท. ชอบคำนี้มาก ... ในฐานะที่ก็เข้าใจหัวอกทั้งสองคนดีอ่ะเนอะ ... การตีปิงปองที่ว่านั้น คืออะไร ? ... มันคือ การที่ต่างฝ่ายต่างก็ต้องลองตบลูกปิงปองไปให้อีกฝ่าย ตบกลับมา ... เราจะรู้ว่า ถ้าเราตบไปแบบนี้ เขาจะตบมาแบบไหน
ถ้าเราพูดคำนี้ เขาจะตอบเราว่าอะไร ถ้าเราทำแบบนี้ เขาจะตอบโต้อย่างไร ... มันเหมือนการยิงพฤติกรรมลองเชิงกันไปกันมา เพื่อให้แน่ใจว่า คนสองคนนั้น กำลังมีความคิดเดียวกันอยู่
จะพูดไงดีล่ะฮะ ... มันไม่ใช่เหมือนผู้ชายผู้หญิงจีบกันปกติน่ะฮะ (คือเราเองจะเข้าใจดี เพราะเป็นเกย์ที่มีความอนุรักษ์นิยมค่อนข้างสูง ไม่ค่อยเปิดเผยความรู้สึก และไม่ได้พาตัวเองไปอยู่ในสังคมของกลุ่มเพศทางเลือกเหมือน ๆ กัน จึงจะค่อนข้างเข้าใจ วิถีลำไยกองใหญ่ของเอลิโอ และการกระหายอยากรับรู้ความรู้สึกของโอลิเวอร์จากสิ่งที่เราค่อย ๆ เผยไปทีละนิดทีละน้อย) .... มันไม่ใช่แค่เธอถูกใจฉันหรือเปล่า แล้วจบ อ่ะสานสัมพันธ์ต่อได้ ... แต่มันต้องมาลุ้นอีกว่า แล้วคนที่เราทอดสะพานเนี่ย เขาชอบเพศเดียวกันไหม ?? คือ มันมีความซับซ้อนสูงนะฮะ ><"
เราจึงได้เห็นการแสดงออกที่ดูสับสน แต่เป็นความสับสนที่มันมีความชัดเจนบางอย่างผ่านการกระทำ และสายตาของคนทั้งคู่ เป็นการจีบกันที่มันถูกนำเสนอได้ REAL จริงมาก ๆ ในขนบของเพศที่สาม ที่ค่อนข้างจะอนุรักษ์นิยม ซึ่งในที่นี้ .. มันก็คือ การนำเสนอในช่วงยุค 80's ที่อะไร ๆ ก็อาจจะไม่ได้เปิดกว้างอะไรนัก
▪ จขกท. ชอบที่ตัวละครของโอลิเวอร์ คือ ผู้ชายที่มีเสน่ห์ เป็นผู้ชายแบบอเมริกันดรีมที่ใคร ๆ ก็พร้อมจะหลงรัก มีความเป็นสตาร์ เจิดจ้า ... เพื่อปูไปสู่การตัดสินใจก้าวข้ามความรู้สึกผิด และประตูที่กั้นระหว่างห้องของคนทั้งคู่ไปสู่จุดที่ทำตามหัวใจปรารถนา
:::: "มันจะเป็นอะไร หากเราตกหลุมรักใครสักคนที่ใคร ๆ ก็ชอบเขา" .. มันคือ โอเอซิสปลอบประโลมตัวเองให้พ้นจากความรู้สึกผิดที่มีต่อความรักต้องห้าม ซึ่งก็จริงของเขา เพราะในที่นี่ โอลิเวอร์ คือ ชายหนุ่มที่ใคร ๆ ก็พร้อมจะรัก เป็นมนุษย์ที่มีเคมีเข้าได้กับทุกคน ... และเด็กหนุ่มก็เลยใช้ช่องตรงนี้ เพื่อให้ตัวเองสามารถแสดงออกถึงความรัก ความใกล้ชิดได้อย่างสะดวกใจ เพื่อไม่ให้ใครจับสังเกต ><"
▪ Call Me By Your Name จึงเป็นงานที่นำเสนอเพศที่สามได้อย่างเข้าใจ และเป็นความเข้าใจอย่างลึกซึ้งลงไปถึงแรงปรารถนา ความรู้สึก ความคิด ไปจนถึงการตบตีกันระหว่างความต้องการของสังคม และความต้องการของตัวเอง
▪ ชอบที่มันก้าวผ่านคำว่า เพศ วัฒนธรรม ธรรมชาติ และศาสนา มันคือเรื่องของอารมณ์ ความรู้สึกล้วน ๆ ... มันคือเรื่องราวของคนสองคนที่รักกัน อยากจะหลอมรวมเข้าด้วยกัน โดยไม่จำกัดว่าจะอยู่ในเพศไหนครับ
แต่นั่นแหล่ะ ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ มันก็ยังต้องมีกรอบของมัน
▪ ในส่วนของ Love Scene หนังก็ถ่ายทอดออกมาได้อย่างมีศิลปะ ไม่โจ๋งครึ่ม ลามก แต่เป็นความเร่าร้อนที่ดูแพงอย่างมีชั้นเชิง ... ผมชอบนะ คือ มันเหมือนทีมงานให้เกียรติมาก ๆ เพราะปฏิเสธยากจริง ๆ ที่คนส่วนใหญ่มักจะมองเพศที่สาม ในมุมของเรื่องตัณหาที่ร้อนแรงจนมองข้ามความสวยงามของความรู้สึกที่คนสองคนมันมีให้กันจริง ๆ ...
เคยอยากกอดใครสักคน จนแทบบ้าไหม
เคยอยากสัมผัสใครสักคน จนกระวนกระวายบ้างไหม
เคยอยากจูบใครสักคน จนมันรู้สึกถึงพลังงานความร้อนที่ใกล้ปะทุเต็มที่ในตัวบ้างไหม
เคยอยู่ใกล้ใครสักคน จนมันรู้สึกอยากละลายบ้างไหม
และเมื่อทั้งเอลิโอและโอลิเวอร์ ได้ทำในสิ่งที่เขารอคอยมาแสนนานนั้น .. แม้จะเหมือนความลุ่มหลงอยากจะลิ้มลอง แต่ก็เต็มไปด้วยการถ่ายเทมวลพลังงานของความปรารถนาที่จะแลกเปลี่ยนและหลอมละลายร่าง และหัวใจเข้าด้วยกัน
หนังไม่ได้ทำให้โอลิเวอร์ดูเหมือนกำลังพรากผู้เยาว์ .. และไม่ได้ทำให้เอลิโอ ดูไร้เดียงสาจนน่าสงสาร
▪ ความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ มันเลยถูกวางและดำเนินไปอย่างสวยงาม จขกท. ขอใช้คำว่าสวยงามนะครับ เพราะมันไม่มีอะไรที่ผิดพลาด
▪ น้องทิม Timothée Chalamet เป็นเอลิโอที่ถอดแบบออกมาจากหนังสือทุกประการ ซุกซน อ่อนเยาว์แต่ไม่โง่เขลา น้องถ่ายทอดความปรารถนาที่มีต่อคนที่เขาถูกชะตาได้อย่างชัดเจน มันคือ ความชัดเจนที่แม้จะต้องแสดงออกอย่างซ่อนเร้น ... ซีนที่น้องเผยความในใจ ซีนที่น้องคุยกับพ่อ และซีนสุดท้าย มันคือ ความพีคที่ส่งอารมณ์หมดใส่ผู้ชมให้ตายไปพร้อม ๆ กับเขา ... น้องทิมควรได้เข้าชิงออสการ์เถอะ ณ จุดนี้ !!
▪ ส่วนหนุ่ม Armie Hammer อาจจะมีอะไรให้ทำน้อยกว่า แต่ก็เป็นตัวแปร ที่ส่งอารมณ์ต่าง ๆ ให้น้องทิมได้ลงตัว เป็นเคมีที่เข้ากัน
และทั้งคู่ก็สร้างตัวละครที่ก้าวข้ามคำว่าเพศ เป็นตัวละครที่ไร้เพศอย่างสมบูรณ์ คือ เราไม่รู้สึกอะไรอีกต่อไปแล้ว ไม่ว่าเขาจะรักเพศไหนก็ตาม
▪ และนอกจากงานแสดงของทั้งคู่ การกำกับที่พอเหมาะพอดี ดนตรีประกอบที่เสริมรายละเอียดของเรื่องให้แจ่มชัดมากขึ้น หนังก็ยังได้งานกำกับภาพของผู้กำกับภาพชาวไทย คุณสยมภู .. ที่ถ่ายทอดช่วงเวลาของฤดูร้อนให้แทน 'บางสิ่ง' ที่อยู่ในใจของตัวละครทั้งสองคนได้อย่างยอดเยี่ยม ... ฤดูร้อนที่สดใส เร่าร้อน เต็มไปด้วยเสน่ห์ และอิสรภาพ
▪ และที่เซอร์ไพรซ์ไปกว่านั้น คือ งานเขียนบท ที่ตัวผมเองก็อ่านนิยายมาก่อน แต่หนังกลับแก้ไขบางอย่างให้กระชับ และเลือกจะ spotlight ให้กับความรู้สึกที่มีต่อรักแรกในอารมณ์ที่แตกต่างไปจากตัวนิยายพอสมควร ... แต่ก็ยังเป็นความแตกต่างที่ยังสะท้อนความสวยงามของรักแรก พร้อมเชิดชู 'การเดินทางค้นหาตัวตน' ของคนหนุ่มสาว ผ่านความรัก และการพบเจอมิตรภาพดี ๆ กับใครสักคนเช่นเดียวกัน
ก็เหมือนกับรักแรกนั่นแหล่ะฮะ ... มันคือความเจ็บปวดอันหอมหวาน มันทำให้เรารู้ว่า รัก คืออะไร รู้ว่าเราจะรักคนแบบไหน และในขณะเดียวกันมันก็คือบทเรียนการเรียนรู้ที่ดีที่สุดบทหนึ่งในชีวิต .. มันยังทำให้เราได้รู้ว่า ถึงเวลาแล้วซินะ ที่เรากำลัง 'เติบโต'
▪ ถามว่าผมร้องไห้มากแค่ไหนให้กับเรื่องนี้ ... ถถถถถถ แม้จะอ่านนิยายมาแล้ว แต่ ... หนังทำให้ผมร้องไห้หนักกว่านิยายไปอีกจ้าาาาา
..... ทุ้มอยู่ในใจ
ปล. หนังฉายเฉพาะที่ House RCA เท่านั้นนะครับ ยังไงก็เช็ครอบกันนิดนึง ได้ข่าวว่าตั๋วเต็มกันรัว ๆ ... จขกท. ไปดูเย็นวันศุกร์ที่ผ่านมารอบทุ่มนึง ไปถึง 6.30 ลุ้นมากว่าจะเต็มไหม ปรากฏว่า ยังเหลือโซนแถวหน้าอยู่บ้าง อยากจะลงไปกรีดร้องอย่างดีใจ 555+ .... ใครไปดูแล้ว มันจะมีผนังให้แปะโพสอิทบรรยายความรู้สึกหลังจากดูจบ อย่าลืมไปเขียนกันนะครับ ... หาของผมเจอไหมน้า ?
ปล. ติดตามรีวิวเรื่องอื่น ๆ ของผมได้นะครับ ที่
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้