สวัสดีครับ สมาชิกห้องเพลงทุกๆท่าน วันนี้วันอาทิตย์
MC แอ๊ด (WANG JIE) เข้าประจำการอีก 1 วันครับ
เมื่อวานนี้นำเรื่องเกี่ยวกับพญานาคมาฝากแล้ว แต่ยังไม่จบ ยังมีเรื่องราวอื่นๆประกอบด้วยอีก จึงขอต่ออีกวันครับ...
ในประติมากรรมไทย มักจะเห็นสัญลักษณ์ที่เกี่ยวกับนาคได้เสมอ ในงาน จิตรกรรม ประติมากรรม และหัตถกรรม นาคเป็นส่วนประกอบที่สำคัญทางสถาปัตยกรรม โดยเฉพาะตามอาคารวัดต่างๆ หลังคาอาคารที่สร้างขึ้นสำหรับพระมหากษัตริย์ และศาสนสถาน ตามคตินิยมที่ว่า นาคยิ่งใหญ่คู่ควรกับสถาบันอันสูงส่ง เช่น
นาคสะดุ้ง ที่ทอดลำตัวยาวตามบันได
นาคลำยอง ซึ่งเป็นป้านลมหลังคาโบสถ์ ที่ต่อเชื่อมกับนาคสะดุ้ง
นาคเบือน นาคจำลอง และนาคทันต์ คันทวยรูปพญานาค
อีกทั้งยังเป็น
โขนเรือ (หัวเรือ) ในขบวนเรือกระบวนพยุหยาตราชลมารค ในพระราชพิธีอีกด้วย อันได้แก่
เรือพระที่นั่งอนันตนาคราช และ
เรือพระที่นั่งอเนกชาติภุชงค์
พญานาคกับตำนานในพระพุทธศาสนา
เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสรู้ธรรมพิเศษแล้ว ได้เสด็จไปตามเมืองต่างๆ เพื่อแสดงธรรมเทศนา มีครั้งหนึ่งได้เสด็จออกจากร่มไม้อชปาลนิโครธ ไปยังร่มไม้จิกชื่อ "
มุจลินท์" ทรงนั่งเสวยวิมุตติสุขอยู่ 7 วัน คราวนั้นมีฝนตกพรำเจือลมหนาวตลอด 7 วัน ได้มี
พญานาคชื่อมุจลินท์ เข้ามาวงด้วยขด 7 รอบพร้อมกับแผ่พังพานปรกพระเศียรพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อจะป้องกันฝนตกและลมมิให้ถูกพระวรกาย หลังจากฝนหายแล้ว คลายขนดออก แปลงเพศเป็นชายหนุ่มยืนเฝ้าที่เบื้องพระพักตร์ ด้วยความศรัทธาอย่างแรงกล้า
ความเชื่อดังกล่าวทำให้เป็นที่มาของการสร้าง
พระพุทธรูปปางนาคปรก แต่มักจะสร้างแบบพระนั่งบนตัวพญานาค ซึ่งดูเหมือนว่าเอาพญานาคเป็นบัลลังก์ เพื่อให้เกิดความสง่างาม และทำให้คิดว่า พญานาค คือผู้คุ้มครองพระศาสดา
พญานาค เป็นสะพาน (สายรุ้ง) ที่เชื่อมโลกมนุษย์กับสวรรค์ หรืออีกชื่อหนึ่งก็คือ โลกศักดิ์สิทธิ์ ความเชื่อที่ว่า พญานาค กับ รุ้ง เป็นอันเดียวกัน ก็คือสะพานเชื่อมโลกมนุษย์กับสวรรค์นั่นเอง
นาคสะดุ้ง ซึ่งเป็นประติมากรรมที่ราวบันไดโบสถ์นั้นได้สร้างขึ้นตามความเชื่อถือ "
บันไดนาค" ก็ด้วยความเชื่อดังกล่าว แม้ตอนที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงมาจากดาวดึงส์ ก็โดยบันไดแก้วมณีสีรุ้ง ที่เทวดาเนรมิตขึ้น
และมีพญานาคเอาหลังหนุนบันไดไว้
ตุง ในวัฒนธรรมของล้านนาและพม่า ก็เชื่อกันว่า
คลี่คลายมาจากพญานาค และหมายถึงบันไดสู่สวรรค์
ความเชื่อของชาวฮินดู ก็ถือว่า นาคเป็นสะพานเชื่อมภาวะปกติ กับที่สถิตของเทพ ทางเดินสู่วิษณุโลก เช่น
ปราสาทนครวัด จึงทำเป็น พญานาคราช ที่ทอดยาวรับมนุษย์ตัวเล็ก ๆ สู่โลกแห่งความศักดิ์สิทธิ์ หรือ
บั้งไฟของชาวอีสานที่ทำกันในงานประเพณีเดือนหก ก็ยังทำเป็นลวดลาย และเป็นรูปพญานาค พญานาคนั้นจะถูกส่งไปบอกแถนบนฟ้าให้ปล่อยฝนลงมา
ในสมัยพระพุทธเจ้า มีพญานาคตนหนึ่งนั่งฟังธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้าแล้วได้เกิดศรัทธา จึงได้แปลงกายเป็นมนุษย์ขอบวชเป็นพระภิกษุ แต่อยู่มาวันหนึ่งเข้านอนในตอนกลางวัน หลังจากหลับแล้วกลายร่างเป็นงูใหญ่ดังเดิม พระภิกษุรูปอื่นไปเห็นเข้า ต่อมาพระพุทธเจ้าทรงทราบจึงให้พระภิกษุนาคนั้นสึกออกไป เพราะเป็นสัตว์เดรัจฉาน นาคตนนั้นผิดหวังมาก จึงขอถวายคำว่า นาค ไว้ใช้เรียกผู้ที่เข้ามาขอบวชในพระพุทธศาสนา เพื่อเป็นอนุสรณ์ในความศรัทธาของตน ต่อจากนั้นมา พระพุทธเจ้าจึงทรงบัญญัติไม่ให้สัตว์เดรัจฉาน ไม่ว่าจะเป็นนาค ครุฑ หรือสัตว์อื่นๆ บวชอีกเป็นอันขาด และก่อนที่อุปัชฌาย์จะอุปสมบทให้แก่ผู้ขอบวชจะต้องถาม อันตรายิกธรรม หรือข้อขัดข้องที่จะทำให้ผู้นั้นบวชเป็นพระภิกษุไม่ได้ รวม 8 ข้อเสียก่อน ในจำนวน 8 ข้อนั้น มีข้อหนึ่งถามว่า "
มนุสฺโสสิ ? (เธอเป็นมนุษย์หรือเปล่า ?)" และจึงเรียกการบวชนี้ว่า "
บวชนาค"
ช่วงสวด "สอนซ้อม" ระหว่างพระคู่สวด กับผู้บวช คำถามแรกที่ต้องตอบรับ "อามะ ภันเต" คือ มนุสฺโสสิ ? =เธอเป็นมนุษย์หรือเปล่า
ที่อยู่ของพญานาค 10 แห่ง
1.สวรรค์ นาคที่อาศัยอยู่บนสวรรค์ จะเรียกว่า
นาคสวรรค์ เป็นนาคที่มีบุญญานุภาพสูง เป็นนาคบริวารของเหล่าเทวดา บ้างอยู่เพื่อปรนนิบัติรับใช้เทวดาที่เป็นเจ้าของตน อยู่รักษาวิมาน อย่างพญานาคหลายตนผู้แบกบันไดแก้ว บันไดเงิน บันไดทอง ในคราวที่พระพุทธองค์เสด็จลงจากดาวดึงส์ เมื่อครั้งเสด็จไปโปรดพระพุทธมารดา
2. วิมานของตนเอง ไม่จำเพาะเจาะจงว่าอยู่ในที่ใด อาจล่องลอยอยู่ในมิติใดมิติหนึ่งที่ซ้อนทับอยู่ระหว่างโลกมนุษย์กับสวรรค์ อาจอยู่ระหว่างภูเขา ทางเดิน ป่าเขาลำเนาไพร ใกล้องค์พระธาตุศักดิ์สิทธิ์ หรือพระพุทธรูปที่สำคัญ คืออยู่ได้ในทุกที่ เพราะถือกำเนิดขึ้นได้ด้วยบุญญาบารมีของพญานาคราชตนนั้นๆ
3. แม่น้ำขนาดใหญ่ เช่น แม่น้ำโขง แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำน่าน แม่น้ำศรีสงคราม เป็นต้น ส่วนที่อยู่นั้น ลี้ลับและยากนักที่จะกำหนดได้ แต่ส่วนใหญ่อยู่เป็นเมือง เป็นสังคม มีสัดส่วนชัดเจน มีพญานาคผู้มีบุญปกครอง
4.แม่น้ำขนาดเล็ก หมายเอา แม่น้ำเล็กน้อยทั่วไป มีลำคลอง ลำห้วยต่างๆ แต่ก็ใช่ว่าจะมีทุกที่ แต่ส่วนใหญ่มักมีอยู่ เพราะขึ้นอยู่กับกรรมของพญานาคนั้นๆ ส่วนใหญ่เป็นพญานาคที่มีบุญน้อย มักอยู่โดดเดี่ยว อยู่บำเพ็ญตบะบ้าง อยู่เพื่อเสวยกรรมบ้าง มีทั้งสัมมาทิฐิและมิจฉาทิฐิ แต่โดยส่วนใหญ่จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับภพภูมิอื่น
5. บึงต่างๆ หมายถึง บึงขนาดใหญ่และเล็ก บึงในป่า ในที่ชุมชน ฯลฯ ล้วนเป็นที่อยู่ของพญานาคได้ทั้งสิ้น ส่วนใหญ่บึงน้ำสำคัญมักมีอยู่หลายตน
6.ในถ้ำต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นถ้ำขนาดใหญ่ กลาง หรือเล็ก ล้วนเป็นที่อยู่ของพญานาคได้ทั้งสิ้น ดังที่พระสายกรรมฐานสายป่าได้เล่าไว้ในประวัติท่าน ในคราวออกธุดงค์ บ้างอยู่บำเพ็ญบุญ อยู่เฝ้าสมบัติ อยู่เพื่อเสวยกรรม ส่วนใหญ่มักอยู่อย่างโดดเดี่ยว
7. ต้นไม้ใหญ่ ต้นไม้สำคัญ หรือในป่าใหญ่ โดยมากพญานาคจะอยู่ระหว่างโคนไม้มากกว่า ไม่นิยมอยู่ในที่สูง เพราะมักเป็นที่อยู่ของเทวดา จึงอยู่ภายใต้ต้นไม้สำคัญนั้น เช่น พญามุจลินทร์นาคราช เป็นต้น
8. ทะเลหรือมหาสมุทร ล้วนเป็นที่อยู่สำคัญของพญานาค ส่วนใหญ่เป็นพญานาคผู้มีศักดิ์ใหญ่ เพราะต้องปกครองบริวาร อยู่เป็นเมือง มีสังคม กฎเกณฑ์ชัดเจน
9. ภูเขาทั่วไป เป็นที่อยู่สำคัญอีกที่ของพญานาค ทั้งภูเขาใหญ่และเล็ก อยู่เป็นสังคม เป็นเมือง มีบริวาร มีบ้างที่อยู่อย่างโดดเดี่ยว มีการปกครองโดยพญานาคผู้มีบุญญานุภาพสูง
10. บาดาล หรือพื้นดิน บางตำรากล่าวว่าลึกลงไปราว 16 โยชน์ (256 กิโลเมตร) ใต้พื้นโลกนี้ เป็นที่อยู่พญานาคที่เรียกว่า บาดาล แต่บางตำรา หมายถึง มิติหรือภพภูมิที่ซ้อนทับอยู่ระหว่างในพื้นดินนั้น ไม่ได้บอกว่าลึกเท่าใด แต่ก็หมายเอาว่าเป็นเมืองบาดาล บ้างเล่าว่า ใต้แม่น้ำโขง เป็นเมืองบาดาลขนาดใหญ่ จะว่าเป็นเมืองหลวงก็ใช่ เพราะมีพญานาคอยู่กันมาก มีการปกครอง มีกฏระเบียบและแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจน
ความเชื่อในภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ภาคเหนือ
ตำนาน
สิงหนวัติ ซึ่งเป็นตำนานเก่าแก่ กล่าวไว้ว่า
“เมื่อเจ้าเมืองสิงหนวัติอพยพคนมาจากทางเหนือ พญานาคแปลงกายมาช่วยชี้ที่ตั้งเมืองใหม่ และขอให้อยู่ในทศพิธราชธรรม พอตกกลางคืนก็ขึ้นมาสร้างคูเมืองเป็นเมืองนาคพันธุ์สิงหนวัติ ต่อมายกทัพปราบเมืองอื่นได้และรวมดินแดนเข้าด้วยกันจึงเปลี่ยนชื่อเป็น แคว้นโยนกนคร ต้นวงศ์ของพญามังราย ผู้ก่อกำเนิดอาณาจักรล้านนานั่นเอง”
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ผู้คนที่อาศัยอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำโขงเชื่อว่า
แม่น้ำโขง เกิดจากการแถตัวของพญานาค 2 ตน จึงเกิดเป็นแม่น้ำโขงและแม่น้ำน่าน นอกจากนี้ยังรวมถึงบั้งไฟพญานาค โดยมีตำนานว่าในวันออกพรรษาหรือเป็นวันที่พระพุทธเจ้าเคยเสด็จจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ลงมา ณ เมืองสังกัสสนคร พญานาคแห่งแม่น้ำโขงต่างชื่นชมยินดี จึงเฮ็ดบั้งไฟถวายการเสด็จกลับของพระพุทธเจ้า จนกลายเป็นประเพณีมาทุกปี
และยังมี ตำนานเมืองหนองหาร จ.สกลนคร ถูกพญานาคถล่มจนจมลงใต้บาดาล และเมืองที่ว่านี้มีอยู่จริงเสียด้วย!
พญานาคกับสัญลักษณ์ของวิชาแพทย์
พญานาค หมายถึง วิชาแพทย์ ที่
พระวิศวามิตร เล่าไว้ใน
บ่อเกิดรามเกียรติ์ ว่า เทวดาและอสูรต้องการเป็นอมตะ จึงทำพิธีกวนเกษียรสมุทร โดยใช้เขามนทรคีรีเป็นไม้กวน นำ
พญานาควาสุกรี เป็นเชือก ทำให้เกิดปฐมแพทย์ "
ธันวันตะรี" ผู้ชำนาญในอายุรเวท
พญานาคกับพระร่วง
กษัตริย์เมืองชมพู มีมเหสีตั้งครรภ์ แต่พระนางกลัวความแตกว่าตนเป็น
ธิดาพญานาค แปลงกายมา จึงนำไข่ไปทิ้ง แล้วบอกกษัตริย์ว่าลูกตายแล้ว มีผู้คุมเชลยให้ตักน้ำทะเลไปให้ขอมและเก็บไข่ได้ จึงนำไปให้แม่ไก่ฟัก และเมื่อฟักออกมาก็รับมาเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรมแล้วตั้งชื่อว่า
ร่วง นายร่วงมีพลังวิเศษ คือมีวาจาสิทธิ์ และเมื่อมีผู้อิจฉาจึงถูกใส่ร้าย กษัตริย์ขอมสั่งให้ตามจับ นายร่วงจึงหนีไปอยู่ที่กรุงสุโขทัยแล้วได้บวชเป็นพระ เมื่อกษัตริย์ขอมรู้ก็สั่งให้ทหารไปตามล่าและเมื่อทหารขอมเห็นทหารสุโขทัยมีมากจึงดำดินเข้าไป พอเจอพระร่วงก็กลายเป็นหิน และเมื่อกษัตริย์สุโขทัยสวรรคต ไม่มีทายาทมาปกครองเมืองต่อ ชาวบ้านจึงอัญเชิญพระร่วงมาปกครองเมืองสุโขทัย
แถมท้าย บทสวด "ชุมนุมเทวดา" ซึ่งกล่าวถึง นาค ด้วยเช่นกัน
ผะริตะวานะ เมตตัง สะเมตตา ภะทันตา อะวิกขิตตะจิตตา ปะริตัง ภะณันตุ
สัคเค กาเม จะ รูเป คิริสิขะระตะเฏ จันตะลิกเข วิมาเน
ทีเปรัฏเฐ จะ คาเม ตะรุวะนะคะหะเน เคหะวัตถุมหิ เขตเต
ภุมมา จายันตุ เทวา ชะละถะละวิสะเม ยักขะคันธัพพะ
นาคา
ติฏฐันตา สันติเก ยังมุนิวะระวะจะนัง สาธะโวเม สุณันตุ ฯ
ธัมมัสสะวะนะกาโล อะยัมภะทันตา (3 ครั้ง)
คำแปล
ท่านผู้เจริญ ผู้มีเมตตาขอจงแผ่เมตตาจิตไป อย่าได้มีจิตฟุ้งซ่านสวดพระปริตรเทอญ
ขอเชิญเทวดาทั้งหลายซึ่งสิงสถิตอยู่ในสวรรค์ชั้นกามภพ ในชั้นรูปภพ สิงสถิตอยู่บนยอดเขา และที่หุบผา ทั้งที่มีวิมานอยู่ในอากาศ และภุมมเทวดาทั้งหลาย ซึ่งสิงสถิตอยู่ในทวีป ในรัฐ ในหมู่บ้าน บนต้นไม้ ในป่าชัฏ ในเหย้าเรือน และเรือกสวนไร่นา ตลอดทั้งเหล่ายักษ์ คนธรรพ์ และ
เหล่านาคทั้งหลาย ผู้เป็นสาธุชน ซึ่งอยู่ในน้ำ บนบก ที่ลุ่ม และที่ดอน จงมาชุมนุมกัน ขอเชิญฟังคำของพระมุนีเจ้าผู้ประเสริฐ
ท่านผู้เจริญทั้งหลาย กาลนี้เป็นกาลฟังธรรม
ขอบคุณ ข้อมูลจาก วิกิพีเดีย และ
http://nakanews.com/%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9E%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%84/ กับภาพประกอบจากกูเกิ้ล
พบกันใหม่ เสาร์อาทิตย์หน้าครับ
ห้องเพลง**คนรากหญ้า**พักยกการเมือง มุมเสียงเพลง มุมนี้ไม่มีสีไม่มีกลุ่ม มีแต่เสียง 17/12/2560 - ว่าด้วยเรื่อง "พญานาค-2"
สวัสดีครับ สมาชิกห้องเพลงทุกๆท่าน วันนี้วันอาทิตย์ MC แอ๊ด (WANG JIE) เข้าประจำการอีก 1 วันครับ
เมื่อวานนี้นำเรื่องเกี่ยวกับพญานาคมาฝากแล้ว แต่ยังไม่จบ ยังมีเรื่องราวอื่นๆประกอบด้วยอีก จึงขอต่ออีกวันครับ...
ในประติมากรรมไทย มักจะเห็นสัญลักษณ์ที่เกี่ยวกับนาคได้เสมอ ในงาน จิตรกรรม ประติมากรรม และหัตถกรรม นาคเป็นส่วนประกอบที่สำคัญทางสถาปัตยกรรม โดยเฉพาะตามอาคารวัดต่างๆ หลังคาอาคารที่สร้างขึ้นสำหรับพระมหากษัตริย์ และศาสนสถาน ตามคตินิยมที่ว่า นาคยิ่งใหญ่คู่ควรกับสถาบันอันสูงส่ง เช่น นาคสะดุ้ง ที่ทอดลำตัวยาวตามบันได นาคลำยอง ซึ่งเป็นป้านลมหลังคาโบสถ์ ที่ต่อเชื่อมกับนาคสะดุ้ง นาคเบือน นาคจำลอง และนาคทันต์ คันทวยรูปพญานาค
อีกทั้งยังเป็น โขนเรือ (หัวเรือ) ในขบวนเรือกระบวนพยุหยาตราชลมารค ในพระราชพิธีอีกด้วย อันได้แก่ เรือพระที่นั่งอนันตนาคราช และ เรือพระที่นั่งอเนกชาติภุชงค์
พญานาคกับตำนานในพระพุทธศาสนา
เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสรู้ธรรมพิเศษแล้ว ได้เสด็จไปตามเมืองต่างๆ เพื่อแสดงธรรมเทศนา มีครั้งหนึ่งได้เสด็จออกจากร่มไม้อชปาลนิโครธ ไปยังร่มไม้จิกชื่อ "มุจลินท์" ทรงนั่งเสวยวิมุตติสุขอยู่ 7 วัน คราวนั้นมีฝนตกพรำเจือลมหนาวตลอด 7 วัน ได้มีพญานาคชื่อมุจลินท์ เข้ามาวงด้วยขด 7 รอบพร้อมกับแผ่พังพานปรกพระเศียรพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อจะป้องกันฝนตกและลมมิให้ถูกพระวรกาย หลังจากฝนหายแล้ว คลายขนดออก แปลงเพศเป็นชายหนุ่มยืนเฝ้าที่เบื้องพระพักตร์ ด้วยความศรัทธาอย่างแรงกล้า
ความเชื่อดังกล่าวทำให้เป็นที่มาของการสร้างพระพุทธรูปปางนาคปรก แต่มักจะสร้างแบบพระนั่งบนตัวพญานาค ซึ่งดูเหมือนว่าเอาพญานาคเป็นบัลลังก์ เพื่อให้เกิดความสง่างาม และทำให้คิดว่า พญานาค คือผู้คุ้มครองพระศาสดา
พญานาค เป็นสะพาน (สายรุ้ง) ที่เชื่อมโลกมนุษย์กับสวรรค์ หรืออีกชื่อหนึ่งก็คือ โลกศักดิ์สิทธิ์ ความเชื่อที่ว่า พญานาค กับ รุ้ง เป็นอันเดียวกัน ก็คือสะพานเชื่อมโลกมนุษย์กับสวรรค์นั่นเอง
นาคสะดุ้ง ซึ่งเป็นประติมากรรมที่ราวบันไดโบสถ์นั้นได้สร้างขึ้นตามความเชื่อถือ "บันไดนาค" ก็ด้วยความเชื่อดังกล่าว แม้ตอนที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงมาจากดาวดึงส์ ก็โดยบันไดแก้วมณีสีรุ้ง ที่เทวดาเนรมิตขึ้น และมีพญานาคเอาหลังหนุนบันไดไว้
ตุง ในวัฒนธรรมของล้านนาและพม่า ก็เชื่อกันว่า คลี่คลายมาจากพญานาค และหมายถึงบันไดสู่สวรรค์
ความเชื่อของชาวฮินดู ก็ถือว่า นาคเป็นสะพานเชื่อมภาวะปกติ กับที่สถิตของเทพ ทางเดินสู่วิษณุโลก เช่น ปราสาทนครวัด จึงทำเป็น พญานาคราช ที่ทอดยาวรับมนุษย์ตัวเล็ก ๆ สู่โลกแห่งความศักดิ์สิทธิ์ หรือบั้งไฟของชาวอีสานที่ทำกันในงานประเพณีเดือนหก ก็ยังทำเป็นลวดลาย และเป็นรูปพญานาค พญานาคนั้นจะถูกส่งไปบอกแถนบนฟ้าให้ปล่อยฝนลงมา
ในสมัยพระพุทธเจ้า มีพญานาคตนหนึ่งนั่งฟังธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้าแล้วได้เกิดศรัทธา จึงได้แปลงกายเป็นมนุษย์ขอบวชเป็นพระภิกษุ แต่อยู่มาวันหนึ่งเข้านอนในตอนกลางวัน หลังจากหลับแล้วกลายร่างเป็นงูใหญ่ดังเดิม พระภิกษุรูปอื่นไปเห็นเข้า ต่อมาพระพุทธเจ้าทรงทราบจึงให้พระภิกษุนาคนั้นสึกออกไป เพราะเป็นสัตว์เดรัจฉาน นาคตนนั้นผิดหวังมาก จึงขอถวายคำว่า นาค ไว้ใช้เรียกผู้ที่เข้ามาขอบวชในพระพุทธศาสนา เพื่อเป็นอนุสรณ์ในความศรัทธาของตน ต่อจากนั้นมา พระพุทธเจ้าจึงทรงบัญญัติไม่ให้สัตว์เดรัจฉาน ไม่ว่าจะเป็นนาค ครุฑ หรือสัตว์อื่นๆ บวชอีกเป็นอันขาด และก่อนที่อุปัชฌาย์จะอุปสมบทให้แก่ผู้ขอบวชจะต้องถาม อันตรายิกธรรม หรือข้อขัดข้องที่จะทำให้ผู้นั้นบวชเป็นพระภิกษุไม่ได้ รวม 8 ข้อเสียก่อน ในจำนวน 8 ข้อนั้น มีข้อหนึ่งถามว่า "มนุสฺโสสิ ? (เธอเป็นมนุษย์หรือเปล่า ?)" และจึงเรียกการบวชนี้ว่า "บวชนาค"
ช่วงสวด "สอนซ้อม" ระหว่างพระคู่สวด กับผู้บวช คำถามแรกที่ต้องตอบรับ "อามะ ภันเต" คือ มนุสฺโสสิ ? =เธอเป็นมนุษย์หรือเปล่า
ที่อยู่ของพญานาค 10 แห่ง
1.สวรรค์ นาคที่อาศัยอยู่บนสวรรค์ จะเรียกว่า นาคสวรรค์ เป็นนาคที่มีบุญญานุภาพสูง เป็นนาคบริวารของเหล่าเทวดา บ้างอยู่เพื่อปรนนิบัติรับใช้เทวดาที่เป็นเจ้าของตน อยู่รักษาวิมาน อย่างพญานาคหลายตนผู้แบกบันไดแก้ว บันไดเงิน บันไดทอง ในคราวที่พระพุทธองค์เสด็จลงจากดาวดึงส์ เมื่อครั้งเสด็จไปโปรดพระพุทธมารดา
2. วิมานของตนเอง ไม่จำเพาะเจาะจงว่าอยู่ในที่ใด อาจล่องลอยอยู่ในมิติใดมิติหนึ่งที่ซ้อนทับอยู่ระหว่างโลกมนุษย์กับสวรรค์ อาจอยู่ระหว่างภูเขา ทางเดิน ป่าเขาลำเนาไพร ใกล้องค์พระธาตุศักดิ์สิทธิ์ หรือพระพุทธรูปที่สำคัญ คืออยู่ได้ในทุกที่ เพราะถือกำเนิดขึ้นได้ด้วยบุญญาบารมีของพญานาคราชตนนั้นๆ
3. แม่น้ำขนาดใหญ่ เช่น แม่น้ำโขง แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำน่าน แม่น้ำศรีสงคราม เป็นต้น ส่วนที่อยู่นั้น ลี้ลับและยากนักที่จะกำหนดได้ แต่ส่วนใหญ่อยู่เป็นเมือง เป็นสังคม มีสัดส่วนชัดเจน มีพญานาคผู้มีบุญปกครอง
4.แม่น้ำขนาดเล็ก หมายเอา แม่น้ำเล็กน้อยทั่วไป มีลำคลอง ลำห้วยต่างๆ แต่ก็ใช่ว่าจะมีทุกที่ แต่ส่วนใหญ่มักมีอยู่ เพราะขึ้นอยู่กับกรรมของพญานาคนั้นๆ ส่วนใหญ่เป็นพญานาคที่มีบุญน้อย มักอยู่โดดเดี่ยว อยู่บำเพ็ญตบะบ้าง อยู่เพื่อเสวยกรรมบ้าง มีทั้งสัมมาทิฐิและมิจฉาทิฐิ แต่โดยส่วนใหญ่จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับภพภูมิอื่น
5. บึงต่างๆ หมายถึง บึงขนาดใหญ่และเล็ก บึงในป่า ในที่ชุมชน ฯลฯ ล้วนเป็นที่อยู่ของพญานาคได้ทั้งสิ้น ส่วนใหญ่บึงน้ำสำคัญมักมีอยู่หลายตน
6.ในถ้ำต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นถ้ำขนาดใหญ่ กลาง หรือเล็ก ล้วนเป็นที่อยู่ของพญานาคได้ทั้งสิ้น ดังที่พระสายกรรมฐานสายป่าได้เล่าไว้ในประวัติท่าน ในคราวออกธุดงค์ บ้างอยู่บำเพ็ญบุญ อยู่เฝ้าสมบัติ อยู่เพื่อเสวยกรรม ส่วนใหญ่มักอยู่อย่างโดดเดี่ยว
7. ต้นไม้ใหญ่ ต้นไม้สำคัญ หรือในป่าใหญ่ โดยมากพญานาคจะอยู่ระหว่างโคนไม้มากกว่า ไม่นิยมอยู่ในที่สูง เพราะมักเป็นที่อยู่ของเทวดา จึงอยู่ภายใต้ต้นไม้สำคัญนั้น เช่น พญามุจลินทร์นาคราช เป็นต้น
8. ทะเลหรือมหาสมุทร ล้วนเป็นที่อยู่สำคัญของพญานาค ส่วนใหญ่เป็นพญานาคผู้มีศักดิ์ใหญ่ เพราะต้องปกครองบริวาร อยู่เป็นเมือง มีสังคม กฎเกณฑ์ชัดเจน
9. ภูเขาทั่วไป เป็นที่อยู่สำคัญอีกที่ของพญานาค ทั้งภูเขาใหญ่และเล็ก อยู่เป็นสังคม เป็นเมือง มีบริวาร มีบ้างที่อยู่อย่างโดดเดี่ยว มีการปกครองโดยพญานาคผู้มีบุญญานุภาพสูง
10. บาดาล หรือพื้นดิน บางตำรากล่าวว่าลึกลงไปราว 16 โยชน์ (256 กิโลเมตร) ใต้พื้นโลกนี้ เป็นที่อยู่พญานาคที่เรียกว่า บาดาล แต่บางตำรา หมายถึง มิติหรือภพภูมิที่ซ้อนทับอยู่ระหว่างในพื้นดินนั้น ไม่ได้บอกว่าลึกเท่าใด แต่ก็หมายเอาว่าเป็นเมืองบาดาล บ้างเล่าว่า ใต้แม่น้ำโขง เป็นเมืองบาดาลขนาดใหญ่ จะว่าเป็นเมืองหลวงก็ใช่ เพราะมีพญานาคอยู่กันมาก มีการปกครอง มีกฏระเบียบและแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจน
ความเชื่อในภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ภาคเหนือ
ตำนาน สิงหนวัติ ซึ่งเป็นตำนานเก่าแก่ กล่าวไว้ว่า “เมื่อเจ้าเมืองสิงหนวัติอพยพคนมาจากทางเหนือ พญานาคแปลงกายมาช่วยชี้ที่ตั้งเมืองใหม่ และขอให้อยู่ในทศพิธราชธรรม พอตกกลางคืนก็ขึ้นมาสร้างคูเมืองเป็นเมืองนาคพันธุ์สิงหนวัติ ต่อมายกทัพปราบเมืองอื่นได้และรวมดินแดนเข้าด้วยกันจึงเปลี่ยนชื่อเป็น แคว้นโยนกนคร ต้นวงศ์ของพญามังราย ผู้ก่อกำเนิดอาณาจักรล้านนานั่นเอง”
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ผู้คนที่อาศัยอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำโขงเชื่อว่า แม่น้ำโขง เกิดจากการแถตัวของพญานาค 2 ตน จึงเกิดเป็นแม่น้ำโขงและแม่น้ำน่าน นอกจากนี้ยังรวมถึงบั้งไฟพญานาค โดยมีตำนานว่าในวันออกพรรษาหรือเป็นวันที่พระพุทธเจ้าเคยเสด็จจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ลงมา ณ เมืองสังกัสสนคร พญานาคแห่งแม่น้ำโขงต่างชื่นชมยินดี จึงเฮ็ดบั้งไฟถวายการเสด็จกลับของพระพุทธเจ้า จนกลายเป็นประเพณีมาทุกปี
และยังมี ตำนานเมืองหนองหาร จ.สกลนคร ถูกพญานาคถล่มจนจมลงใต้บาดาล และเมืองที่ว่านี้มีอยู่จริงเสียด้วย!
พญานาคกับสัญลักษณ์ของวิชาแพทย์
พญานาค หมายถึง วิชาแพทย์ ที่พระวิศวามิตร เล่าไว้ใน บ่อเกิดรามเกียรติ์ ว่า เทวดาและอสูรต้องการเป็นอมตะ จึงทำพิธีกวนเกษียรสมุทร โดยใช้เขามนทรคีรีเป็นไม้กวน นำพญานาควาสุกรี เป็นเชือก ทำให้เกิดปฐมแพทย์ "ธันวันตะรี" ผู้ชำนาญในอายุรเวท
พญานาคกับพระร่วง
กษัตริย์เมืองชมพู มีมเหสีตั้งครรภ์ แต่พระนางกลัวความแตกว่าตนเป็นธิดาพญานาค แปลงกายมา จึงนำไข่ไปทิ้ง แล้วบอกกษัตริย์ว่าลูกตายแล้ว มีผู้คุมเชลยให้ตักน้ำทะเลไปให้ขอมและเก็บไข่ได้ จึงนำไปให้แม่ไก่ฟัก และเมื่อฟักออกมาก็รับมาเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรมแล้วตั้งชื่อว่า ร่วง นายร่วงมีพลังวิเศษ คือมีวาจาสิทธิ์ และเมื่อมีผู้อิจฉาจึงถูกใส่ร้าย กษัตริย์ขอมสั่งให้ตามจับ นายร่วงจึงหนีไปอยู่ที่กรุงสุโขทัยแล้วได้บวชเป็นพระ เมื่อกษัตริย์ขอมรู้ก็สั่งให้ทหารไปตามล่าและเมื่อทหารขอมเห็นทหารสุโขทัยมีมากจึงดำดินเข้าไป พอเจอพระร่วงก็กลายเป็นหิน และเมื่อกษัตริย์สุโขทัยสวรรคต ไม่มีทายาทมาปกครองเมืองต่อ ชาวบ้านจึงอัญเชิญพระร่วงมาปกครองเมืองสุโขทัย
แถมท้าย บทสวด "ชุมนุมเทวดา" ซึ่งกล่าวถึง นาค ด้วยเช่นกัน
ผะริตะวานะ เมตตัง สะเมตตา ภะทันตา อะวิกขิตตะจิตตา ปะริตัง ภะณันตุ
สัคเค กาเม จะ รูเป คิริสิขะระตะเฏ จันตะลิกเข วิมาเน
ทีเปรัฏเฐ จะ คาเม ตะรุวะนะคะหะเน เคหะวัตถุมหิ เขตเต
ภุมมา จายันตุ เทวา ชะละถะละวิสะเม ยักขะคันธัพพะนาคา
ติฏฐันตา สันติเก ยังมุนิวะระวะจะนัง สาธะโวเม สุณันตุ ฯ
ธัมมัสสะวะนะกาโล อะยัมภะทันตา (3 ครั้ง)
คำแปล
ท่านผู้เจริญ ผู้มีเมตตาขอจงแผ่เมตตาจิตไป อย่าได้มีจิตฟุ้งซ่านสวดพระปริตรเทอญ
ขอเชิญเทวดาทั้งหลายซึ่งสิงสถิตอยู่ในสวรรค์ชั้นกามภพ ในชั้นรูปภพ สิงสถิตอยู่บนยอดเขา และที่หุบผา ทั้งที่มีวิมานอยู่ในอากาศ และภุมมเทวดาทั้งหลาย ซึ่งสิงสถิตอยู่ในทวีป ในรัฐ ในหมู่บ้าน บนต้นไม้ ในป่าชัฏ ในเหย้าเรือน และเรือกสวนไร่นา ตลอดทั้งเหล่ายักษ์ คนธรรพ์ และเหล่านาคทั้งหลาย ผู้เป็นสาธุชน ซึ่งอยู่ในน้ำ บนบก ที่ลุ่ม และที่ดอน จงมาชุมนุมกัน ขอเชิญฟังคำของพระมุนีเจ้าผู้ประเสริฐ
ท่านผู้เจริญทั้งหลาย กาลนี้เป็นกาลฟังธรรม
ขอบคุณ ข้อมูลจาก วิกิพีเดีย และ http://nakanews.com/%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9E%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%84/ กับภาพประกอบจากกูเกิ้ล
พบกันใหม่ เสาร์อาทิตย์หน้าครับ