สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 5
ขอตอบกว้างๆ นะว่า ไม่มีประเทศไหนหรอกที่สมบูรณ์แบบ ทุก ปท มีข้อดีข้อเสียหมด
แต่มนุษย์ ส่วนใหญ่ ต้องการสิ่งเหล่านี้
เช่น ทำงานแล้วได้ค่าตอบแทนที่สมเหตุสมผล สามารถเลี้ยงตัวเองเลี้ยงครอบครัวได้ มีเงินเหลือซื้อของฟุ่มเฟือย
หรือ สามารถมีบ้านมีรถมีสิ่งอำนวยความสะดวก มีวันหยุดที่สามารถลาได้จริงโดยสิทธิอันพึงมีพึงได้
สามารถไปเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจได้ (ไม่ใช่สังคมที่คนทำงานหนัก ทำงานเกิน แต่ค่าตอบแทนน้อย แค่พออยู่ได้ไปวันๆ อยู่แบบเดือนชนเดือน
หรือ แทบจะไม่เหลืออะไรเลย หรือ ทำงานหนักแต่ชักหน้าไม่ถึงหลัง ถูกกดค่าแรง รายได้ไม่สมดุลย์กับค่าครองชีพ สวัสดิการน้อย หรือ ไม่มี)
สามารถหยุดงานได้ตามกฏหมายเพื่อไปท่องเที่ยวชาร์จแบตได้โดยปราศจากความหวาดกลัว
(เช่นไม่ต้องหวาดกลัวว่า จะมีใครให้ลาไหม เมื่อลาได้แล้วจะได้รับความกรุณาให้ลาได้กี่วัน เมื่อข่าวการลาไปเที่ยวเมืองนอกแพร่ออกไปแล้ว
จะมีใครมาจิกกัดกระแนะกระแหน หรือ ฝากซื้อของแต่ไม่ฝากเงินไหม หรือ เมื่อเที่ยวไปได้แค่ไม่กี่วัน ยังไม่ครบกำหนดลา จะมีใครโทรมาจิก
ให้กลับมาทำงานด่วนไหม ถ้าไม่มาก็จะโดนไล่ออก หรือ เมื่อกลับจากเที่ยวยุโรปแค่สั้นๆ 10 วัน โดยที่ลาอย่างถูกต้อง
แต่เมื่อกลับมาแล้วจะโดนกลั่นแกล้งไหม โดนจิกกัดว่าทิ้งงานไหม เหล่านี้เป็นต้น)
สามารถเลิกงานตรงเวลาได้ เมื่อทำงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จอย่างมีคุณภาพ เลิกงานแล้วมีเวลาไปออกกำลังกาย มีเวลาอยู่กับตัวเอง ทำงานอดิเรก
ได้ใช้เวลากับตนเอง กับคนรัก หรือ ครอบครัว (ไม่ใช่พอหมดเวลางานแล้ว ต้องอยู่ต่อ ไม่งั้นโดนจิกกัด โดนเขม่น หรือ ถูกขอแกมบังคับ
ให้ทำงานเกินเวลา หรือ โดนใช้อำนาจจิกให้มาทำงานในวันหยุด โดยไม่ได้รับค่าตอบแทนพิเศษ)
นอกเวลางานก็ไม่ต้องโดนกึ่งบังคับให้ไปร่วมงานสังสรรค์ หรือ ไม่ต้องใส่ซองงานที่เกี่ยวกับภาษีสังคมทั้งหลายของคนที่ไม่สนิท
หรือ ของคนที่รู้จักแค่ผิวเผิน
สังคมที่คนไปไหนมาไหนคนเดียวทำอะไรคนเดียว ไปกินข้าวคนเดียว ไปกินบุฟเฟ่ท์คนเดียว ไปดูหนังคนเดียว ไปเมืองนอกคนเดียว
แล้วไม่มีคนมานินทาจิกกัด ไม่ต้องคอยฝืนตัวเองเพื่อหล่อเลี้ยงคอนเน็คชั่น
จะไม่มีรถขับ จะขึ้นรถเมล์ จะขี่จักรยาน จะเดิน จะผิวไม่ขาว จะไม่ผอม ก็ไม่มีใครมาดูถูก
จะทำอะไรแตกต่าง ไม่ต้องมีคนมาตั้งคำถาม ระบบสังคมไม่เสี้ยมให้คนไม่ไว้ใจกัน ไม่เสี้ยมให้คนเกลียดกัน
สามารถพูดคุยกับคนในสังคมเดียวกันได้อย่างไม่ต้องมีลับลมคมใน สามารถแสดงความคิดเห็นได้โดยที่คนไม่เอาไปแปลเป็นอื่นทางลบ
อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี ระบบสาธารณูประโภคต่างๆ ดี อยู่ในบ้านเมืองที่จ่ายภาษีเงินได้แล้วมีการนำภาษีนั้นมาคืนสู่สังคมในหลายๆ
ด้านอย่างยุติธรรม สังคมไม่ปากว่าตาขยิบ
สังคมที่เพื่อนบ้านไม่ส่งเสียงรบกวนข้างบ้านด้วยปาร์ตี้ หรือ เครื่องขยายเสียง สังคมที่เพื่อนบ้านไม่มาขอใช้ไวไฟฟรี สังคมที่เพื่อนบ้าน
ไม่เอาขยะมาทิ้งหน้าบ้านคนอื่น สังคมที่คนไม่เอาพื้นที่ทางเดินเท้าสาธารณะมาเป็นพื้นที่ส่วนตัวเพื่อทำการค้านอกระบบ จนคนต้องลงไปเดิน
เสี่ยงตายบนถนน
ออกไปวิ่ง ไปเดินริมทะเล ริมคลอง ตามสวนสาธารณะ ในยามดึกดื่นเที่ยงคืน ไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครมาดักทำร้าย จี้ ปล้น ข่มขืน
ในสังคมนอกเมืองใหญ่ตามชนบท ไม่มีเสียงอึกทึกครึกโครมของวิทยุเสียงตามสาย เสียงเพลง ฯลฯ แต่มีแต่เสียงของธรรมชาติ ทัศนียภาพที่งดงาม
ในสังคมเมือง แม้แต่ย่านธุรกิจ หากไม่ใช่ช่วงเวลาเร่งด่วน ก็มีความเงียบสงบ ไม่ใช่มีแต่เสียงนกหวีด เสียงเพลง เสียงประกาศ เสียงเครื่องขยายเสียง
โฆษนาบ้าบอ
ไม่มีป้ายโฆษนาป้ายหาเสียงบางบนทางเท้า หรือ วางหน้าป้ายรถเมล์
คนตระหนักถึงสิทธิขั้นพื้นฐานของตนเอง และ ของผู้อื่น ตระหนักถึงสภาพแวดล้อมส่วนรวม คนมีจิตสาธารณะ
สังคมที่ประชาชนเจ้าของประเทศไม่ถูกปฏิบัติเยี่ยงพลเมืองชั้นสอง สังคมที่ไม่ยกย่องต่างชาติแต่คนมีความภาคภูมิใจในตนเอง
มีสังคมที่ทุกคนต่างทำหน้าที่ของตนเองอย่างรู้หน้าที่ ไม่ก้าวก่ายไม่กดขี่กัน คนในสังคมเคารพกัน โดยเริ่มจากสถาบันครอบครัว สถาบันการศึกษา
สถาบันเพื่อนบ้าน สถาบันเครือญาติ ผลลัภพ์ที่ได้คือสังคมมีคุณภาพที่แข็งแรง เมื่อสังคมแข็งแรง ความเป็นชาติก็แข็งแกร่ง
มีกฏหมายต่างๆ รวมถึงกฏจราจรที่ใช้งานได้จริง ทางม้าลายชัดเจนศักดิ์สิทธิ์ คนสามารถหยุดรถจอดรถเลี้ยวรถเองได้ เพราะคิดเองเป็น
รู้หน้าที่ของตนเอง โดยที่ไม่ต้องมี รปภ มาเป่านกหวีดปรี๊ดๆ อยู่ทุกหน้าตึก ยาวเรียงกันหัวซอยท้ายซอย เพื่อให้จังหวะ นับเป็นการสร้างมลภาวะทางเสียง
กฏหมายที่ยุติธรรม ไม่เลือกใช้กับคนบางกลุ่มบางฐานะ ไม่ละเว้นใช้กับคนบางกลุ่มบางฐานะ
สังคมมีความโปร่งใส คนรู้สึกมีความปลอดภัยในชีวิต และ ทรัพย์สิน
มีการคมนาคมขนส่งสาธารณะที่สะดวกสบายปลอดภัยทุกคนสามารถเข้าถึงได้ การแบ่งชนชั้นวรรณะไม่แรง การไม่เลือกปฏิบัติ
คนมีอาชีพพนักงานบริการไม่ต้องทำตัวต่ำต้อยไม่ต้องคอยก้มกราบลูกค้า ไม่ว่าจะทำอาชีพไหนทุกคนมีศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกัน
ระบบการศึกษา และ ระบบสังคม เอื้อให้คนมีวิสัยทัศน์ คิดเป็น วิเคราะห์เป็น แยกแยะเป็น ส่งเสริมให้คนมีอิสระเสรีภาพทางด้านความคิด
และ การใช้ชีวิต ที่อยู่ในกรอบของกฏระเบียบ+กฏหมายที่ยุติธรรม
ระบบที่ส่งเสริมคนเก่ง คนดี คนมีประโยชน์ ที่ใครๆ ก็สามารถก้าวไปสู่จุดที่สูงกว่าเดิมได้ หากว่ามีความสามารถ
สนามบินนานาชาติที่ไป-มาสะดวก มีระเบียบแบบแผน ใช้งานง่าย ระบบขนส่งไป-กลับ ที่เอื้ออำนวยต่อการเดินทาง
สนามบินนานาชาติที่ให้ความรู้สึกว่าถูกต้อนรับเข้าประเทศอย่างราบรื่น
เหล่านี้เป็นต้น
____________________________________
" การอยู่เมืองนอก" ไม่ว่าจะไปเรียน ไปทำงานในระดับไหนก็แล้วแต่ หรือ ไปตั้งรกรากสร้างครอบครัว หรือ ไปทำธุรกิจทำกิจการต่างๆ
" ไม่ว่าจะไปอยู่สถานะไหน ไม่มีคำว่าง่าย " ต้องใช้ความพากเพียรสูง ความพยายามสูง ความอดทนสูง ความอะไรต่างๆ นาๆ สูงมาก
ในบางสถานะการณ์ จะนึกถึงประโยคนี้ ที่เห็นในเน็ตบ่อยๆ เห็นแล้วขำ แต่จริง ประเภทว่า
" แถวนี้แม่มเถื่อนจริงๆ ถ้าไม่โหด อยู่ไม่ได้ " 😄 อะไรทำนองนี้นะ
แต่กระนั้นก็ตาม " คนส่วนใหญ่จึงเลือก หรือ ยังคงเลือก ที่จะดิ้นรนไปอยู่ในที่ๆ ไปอยู่แล้วมีความสบายกาย ได้รับความสุขใจ
มีความปลอดภัย ถึงแม้จะต้องแลกด้วยอะไรบางอย่าง หรือ แลกด้วยอะไรหลายๆ อย่างก็ตาม "
ไม่มีใครชาติไหนในโลกนี้ ที่ไม่รักบ้านเกิดเมืองนอน แต่สังคมบางสังคม เมื่อถึงเวลา ก็ต้องช่วยตัวเองก่อน
เพราะเป็นระบบตัวใครตัวมัน ระบบกอบโกย ระบบพวกพ้อง ระบบมือใครยาวสาวได้สาวเอา มนุษย์ย่อมเสาะแสวงหาสิ่งที่ดีเสมอ หากมีโอกาส
บางประเทศ คนก็ต้องดิ้นรนเอาตัวรอด ไปอยู่ที่ที่ปลอดภัยกว่า เพราะผลพวงจากสงคราม หรือ จากภัยธรรมชาติ หรือ จากปัญหาทางด้านการเมือง
หรือ ปัญหาของชนกลุ่มน้อย เป็นต้น
เรื่องที่ จขกท ถามมา นับเป็นปัญหาคลาสสิค ของหลายๆ ชาติในโลกนี้
_____________________________
//สิ่งต่างๆ ที่เราแสดงความคิดเห็นทั้งหมดนี้ เราเอามาจากประสบการณ์ที่เห็นเอง เจอเอง ประสบเอง ของตนเองโดยตรงบ้าง
หรือ ของคนอื่นคนใกล้ชิดคนรู้จักบ้าง เป็นประสบการณ์ของคนหลายๆ ชาติ หรือ จากการอ่าน การติดตามข่าวสารความเป็นไปต่างๆ
และ จากการอ่านกระทู้ต่างๆ ในพันทิป โดยเฉพาะกระทู้เกี่ยวกับปัญหาสังคม
เราเป็นคนไทยที่มีโอกาสได้ไปอยู่อาศัยในหลายเมืองหลายทวีป เคยอยู่มาในหลายสถานะ หลายบทบาท ในห้วงต่างเวลา และ ต่างวาระกัน
และ ยังเป็นนักท่องเที่ยวนักเดินทางคนหนึ่ง ที่มีโอกาสได้เดินทางไปทั่วโลก และ ไม่เคยตัดขาดจากประเทศไทย
มีโอกาสได้เห็นความเปลี่ยนแปลงความเป็นไป และ วิวัฒนาการของเมืองต่างๆ การอพยพโยกย้ายของผู้คน ในหลายพื้นที่ในโลกนี้
ซึ่งถือเป็นเกียรติมากๆ สำหรับมนุษย์ธรรมดาๆ คนหนึ่ง ที่ได้รับทราบ ได้มีโอกาสออกไปเรียนรู้โลกกว้าง
ไปไหนมาไหน ชอบเดิน ชอบคุยกับคนท้องถิ่น หรือ กับคนต่างชาติที่อาศัยใน ปท อื่นๆ คุยกับคนหลายสาขาอาชีพ เชื้อชาติ ฐานะ
หรือ พักกับคนท้องถิ่น ทำตัวกลมกลืน
ทำให้เราได้รู้ ได้เห็นอะไรกว้างขึ้น ลึกขึ้น ซึ่งหลายๆ อย่าง ถ้าไม่เดิน ถ้าไม่พูด ถ้าไม่คุย ไม่ทำความเข้าใจ ถ้าไม่เข้าถึง ก็จะไม่ทราบเลย
ว่ามีแบบนี้ด้วย หรือ ไม่ทราบที่มาที่ไป หรือ ไม่ทราบข้อเท็จจริง
" เรารักเมืองไทยมากๆ และ เป็นห่วงอนาคตของเมืองไทยมากๆ อยากเห็นเมืองไทยพัฒนาไปในทางที่ดี และ ไม่คิดจะไปอยู่ที่อื่น "
บอกได้สั้นๆ แค่นี้ แต่ไม่อยากหวัง และ ไม่อยากพูดอะไรไปมากกว่านี้
________________________
กระทู้แบบที่เจ้าของกระทู้ว่ามา เราก็เห็นบ่อยๆ ในพันทิป ซึ่งระยะหลังๆ มีมากกว่าเดิม เยอะมากๆ
อันนั้นแค่ที่มีคนตั้งกระทู้ ส่วนที่ไม่ได้มีคนมาตั้งกระทู้ ก็มีคนคิดแนวๆ นั้นเยอะมาก
แต่มนุษย์ ส่วนใหญ่ ต้องการสิ่งเหล่านี้
เช่น ทำงานแล้วได้ค่าตอบแทนที่สมเหตุสมผล สามารถเลี้ยงตัวเองเลี้ยงครอบครัวได้ มีเงินเหลือซื้อของฟุ่มเฟือย
หรือ สามารถมีบ้านมีรถมีสิ่งอำนวยความสะดวก มีวันหยุดที่สามารถลาได้จริงโดยสิทธิอันพึงมีพึงได้
สามารถไปเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจได้ (ไม่ใช่สังคมที่คนทำงานหนัก ทำงานเกิน แต่ค่าตอบแทนน้อย แค่พออยู่ได้ไปวันๆ อยู่แบบเดือนชนเดือน
หรือ แทบจะไม่เหลืออะไรเลย หรือ ทำงานหนักแต่ชักหน้าไม่ถึงหลัง ถูกกดค่าแรง รายได้ไม่สมดุลย์กับค่าครองชีพ สวัสดิการน้อย หรือ ไม่มี)
สามารถหยุดงานได้ตามกฏหมายเพื่อไปท่องเที่ยวชาร์จแบตได้โดยปราศจากความหวาดกลัว
(เช่นไม่ต้องหวาดกลัวว่า จะมีใครให้ลาไหม เมื่อลาได้แล้วจะได้รับความกรุณาให้ลาได้กี่วัน เมื่อข่าวการลาไปเที่ยวเมืองนอกแพร่ออกไปแล้ว
จะมีใครมาจิกกัดกระแนะกระแหน หรือ ฝากซื้อของแต่ไม่ฝากเงินไหม หรือ เมื่อเที่ยวไปได้แค่ไม่กี่วัน ยังไม่ครบกำหนดลา จะมีใครโทรมาจิก
ให้กลับมาทำงานด่วนไหม ถ้าไม่มาก็จะโดนไล่ออก หรือ เมื่อกลับจากเที่ยวยุโรปแค่สั้นๆ 10 วัน โดยที่ลาอย่างถูกต้อง
แต่เมื่อกลับมาแล้วจะโดนกลั่นแกล้งไหม โดนจิกกัดว่าทิ้งงานไหม เหล่านี้เป็นต้น)
สามารถเลิกงานตรงเวลาได้ เมื่อทำงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จอย่างมีคุณภาพ เลิกงานแล้วมีเวลาไปออกกำลังกาย มีเวลาอยู่กับตัวเอง ทำงานอดิเรก
ได้ใช้เวลากับตนเอง กับคนรัก หรือ ครอบครัว (ไม่ใช่พอหมดเวลางานแล้ว ต้องอยู่ต่อ ไม่งั้นโดนจิกกัด โดนเขม่น หรือ ถูกขอแกมบังคับ
ให้ทำงานเกินเวลา หรือ โดนใช้อำนาจจิกให้มาทำงานในวันหยุด โดยไม่ได้รับค่าตอบแทนพิเศษ)
นอกเวลางานก็ไม่ต้องโดนกึ่งบังคับให้ไปร่วมงานสังสรรค์ หรือ ไม่ต้องใส่ซองงานที่เกี่ยวกับภาษีสังคมทั้งหลายของคนที่ไม่สนิท
หรือ ของคนที่รู้จักแค่ผิวเผิน
สังคมที่คนไปไหนมาไหนคนเดียวทำอะไรคนเดียว ไปกินข้าวคนเดียว ไปกินบุฟเฟ่ท์คนเดียว ไปดูหนังคนเดียว ไปเมืองนอกคนเดียว
แล้วไม่มีคนมานินทาจิกกัด ไม่ต้องคอยฝืนตัวเองเพื่อหล่อเลี้ยงคอนเน็คชั่น
จะไม่มีรถขับ จะขึ้นรถเมล์ จะขี่จักรยาน จะเดิน จะผิวไม่ขาว จะไม่ผอม ก็ไม่มีใครมาดูถูก
จะทำอะไรแตกต่าง ไม่ต้องมีคนมาตั้งคำถาม ระบบสังคมไม่เสี้ยมให้คนไม่ไว้ใจกัน ไม่เสี้ยมให้คนเกลียดกัน
สามารถพูดคุยกับคนในสังคมเดียวกันได้อย่างไม่ต้องมีลับลมคมใน สามารถแสดงความคิดเห็นได้โดยที่คนไม่เอาไปแปลเป็นอื่นทางลบ
อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี ระบบสาธารณูประโภคต่างๆ ดี อยู่ในบ้านเมืองที่จ่ายภาษีเงินได้แล้วมีการนำภาษีนั้นมาคืนสู่สังคมในหลายๆ
ด้านอย่างยุติธรรม สังคมไม่ปากว่าตาขยิบ
สังคมที่เพื่อนบ้านไม่ส่งเสียงรบกวนข้างบ้านด้วยปาร์ตี้ หรือ เครื่องขยายเสียง สังคมที่เพื่อนบ้านไม่มาขอใช้ไวไฟฟรี สังคมที่เพื่อนบ้าน
ไม่เอาขยะมาทิ้งหน้าบ้านคนอื่น สังคมที่คนไม่เอาพื้นที่ทางเดินเท้าสาธารณะมาเป็นพื้นที่ส่วนตัวเพื่อทำการค้านอกระบบ จนคนต้องลงไปเดิน
เสี่ยงตายบนถนน
ออกไปวิ่ง ไปเดินริมทะเล ริมคลอง ตามสวนสาธารณะ ในยามดึกดื่นเที่ยงคืน ไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครมาดักทำร้าย จี้ ปล้น ข่มขืน
ในสังคมนอกเมืองใหญ่ตามชนบท ไม่มีเสียงอึกทึกครึกโครมของวิทยุเสียงตามสาย เสียงเพลง ฯลฯ แต่มีแต่เสียงของธรรมชาติ ทัศนียภาพที่งดงาม
ในสังคมเมือง แม้แต่ย่านธุรกิจ หากไม่ใช่ช่วงเวลาเร่งด่วน ก็มีความเงียบสงบ ไม่ใช่มีแต่เสียงนกหวีด เสียงเพลง เสียงประกาศ เสียงเครื่องขยายเสียง
โฆษนาบ้าบอ
ไม่มีป้ายโฆษนาป้ายหาเสียงบางบนทางเท้า หรือ วางหน้าป้ายรถเมล์
คนตระหนักถึงสิทธิขั้นพื้นฐานของตนเอง และ ของผู้อื่น ตระหนักถึงสภาพแวดล้อมส่วนรวม คนมีจิตสาธารณะ
สังคมที่ประชาชนเจ้าของประเทศไม่ถูกปฏิบัติเยี่ยงพลเมืองชั้นสอง สังคมที่ไม่ยกย่องต่างชาติแต่คนมีความภาคภูมิใจในตนเอง
มีสังคมที่ทุกคนต่างทำหน้าที่ของตนเองอย่างรู้หน้าที่ ไม่ก้าวก่ายไม่กดขี่กัน คนในสังคมเคารพกัน โดยเริ่มจากสถาบันครอบครัว สถาบันการศึกษา
สถาบันเพื่อนบ้าน สถาบันเครือญาติ ผลลัภพ์ที่ได้คือสังคมมีคุณภาพที่แข็งแรง เมื่อสังคมแข็งแรง ความเป็นชาติก็แข็งแกร่ง
มีกฏหมายต่างๆ รวมถึงกฏจราจรที่ใช้งานได้จริง ทางม้าลายชัดเจนศักดิ์สิทธิ์ คนสามารถหยุดรถจอดรถเลี้ยวรถเองได้ เพราะคิดเองเป็น
รู้หน้าที่ของตนเอง โดยที่ไม่ต้องมี รปภ มาเป่านกหวีดปรี๊ดๆ อยู่ทุกหน้าตึก ยาวเรียงกันหัวซอยท้ายซอย เพื่อให้จังหวะ นับเป็นการสร้างมลภาวะทางเสียง
กฏหมายที่ยุติธรรม ไม่เลือกใช้กับคนบางกลุ่มบางฐานะ ไม่ละเว้นใช้กับคนบางกลุ่มบางฐานะ
สังคมมีความโปร่งใส คนรู้สึกมีความปลอดภัยในชีวิต และ ทรัพย์สิน
มีการคมนาคมขนส่งสาธารณะที่สะดวกสบายปลอดภัยทุกคนสามารถเข้าถึงได้ การแบ่งชนชั้นวรรณะไม่แรง การไม่เลือกปฏิบัติ
คนมีอาชีพพนักงานบริการไม่ต้องทำตัวต่ำต้อยไม่ต้องคอยก้มกราบลูกค้า ไม่ว่าจะทำอาชีพไหนทุกคนมีศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกัน
ระบบการศึกษา และ ระบบสังคม เอื้อให้คนมีวิสัยทัศน์ คิดเป็น วิเคราะห์เป็น แยกแยะเป็น ส่งเสริมให้คนมีอิสระเสรีภาพทางด้านความคิด
และ การใช้ชีวิต ที่อยู่ในกรอบของกฏระเบียบ+กฏหมายที่ยุติธรรม
ระบบที่ส่งเสริมคนเก่ง คนดี คนมีประโยชน์ ที่ใครๆ ก็สามารถก้าวไปสู่จุดที่สูงกว่าเดิมได้ หากว่ามีความสามารถ
สนามบินนานาชาติที่ไป-มาสะดวก มีระเบียบแบบแผน ใช้งานง่าย ระบบขนส่งไป-กลับ ที่เอื้ออำนวยต่อการเดินทาง
สนามบินนานาชาติที่ให้ความรู้สึกว่าถูกต้อนรับเข้าประเทศอย่างราบรื่น
เหล่านี้เป็นต้น
____________________________________
" การอยู่เมืองนอก" ไม่ว่าจะไปเรียน ไปทำงานในระดับไหนก็แล้วแต่ หรือ ไปตั้งรกรากสร้างครอบครัว หรือ ไปทำธุรกิจทำกิจการต่างๆ
" ไม่ว่าจะไปอยู่สถานะไหน ไม่มีคำว่าง่าย " ต้องใช้ความพากเพียรสูง ความพยายามสูง ความอดทนสูง ความอะไรต่างๆ นาๆ สูงมาก
ในบางสถานะการณ์ จะนึกถึงประโยคนี้ ที่เห็นในเน็ตบ่อยๆ เห็นแล้วขำ แต่จริง ประเภทว่า
" แถวนี้แม่มเถื่อนจริงๆ ถ้าไม่โหด อยู่ไม่ได้ " 😄 อะไรทำนองนี้นะ
แต่กระนั้นก็ตาม " คนส่วนใหญ่จึงเลือก หรือ ยังคงเลือก ที่จะดิ้นรนไปอยู่ในที่ๆ ไปอยู่แล้วมีความสบายกาย ได้รับความสุขใจ
มีความปลอดภัย ถึงแม้จะต้องแลกด้วยอะไรบางอย่าง หรือ แลกด้วยอะไรหลายๆ อย่างก็ตาม "
ไม่มีใครชาติไหนในโลกนี้ ที่ไม่รักบ้านเกิดเมืองนอน แต่สังคมบางสังคม เมื่อถึงเวลา ก็ต้องช่วยตัวเองก่อน
เพราะเป็นระบบตัวใครตัวมัน ระบบกอบโกย ระบบพวกพ้อง ระบบมือใครยาวสาวได้สาวเอา มนุษย์ย่อมเสาะแสวงหาสิ่งที่ดีเสมอ หากมีโอกาส
บางประเทศ คนก็ต้องดิ้นรนเอาตัวรอด ไปอยู่ที่ที่ปลอดภัยกว่า เพราะผลพวงจากสงคราม หรือ จากภัยธรรมชาติ หรือ จากปัญหาทางด้านการเมือง
หรือ ปัญหาของชนกลุ่มน้อย เป็นต้น
เรื่องที่ จขกท ถามมา นับเป็นปัญหาคลาสสิค ของหลายๆ ชาติในโลกนี้
_____________________________
//สิ่งต่างๆ ที่เราแสดงความคิดเห็นทั้งหมดนี้ เราเอามาจากประสบการณ์ที่เห็นเอง เจอเอง ประสบเอง ของตนเองโดยตรงบ้าง
หรือ ของคนอื่นคนใกล้ชิดคนรู้จักบ้าง เป็นประสบการณ์ของคนหลายๆ ชาติ หรือ จากการอ่าน การติดตามข่าวสารความเป็นไปต่างๆ
และ จากการอ่านกระทู้ต่างๆ ในพันทิป โดยเฉพาะกระทู้เกี่ยวกับปัญหาสังคม
เราเป็นคนไทยที่มีโอกาสได้ไปอยู่อาศัยในหลายเมืองหลายทวีป เคยอยู่มาในหลายสถานะ หลายบทบาท ในห้วงต่างเวลา และ ต่างวาระกัน
และ ยังเป็นนักท่องเที่ยวนักเดินทางคนหนึ่ง ที่มีโอกาสได้เดินทางไปทั่วโลก และ ไม่เคยตัดขาดจากประเทศไทย
มีโอกาสได้เห็นความเปลี่ยนแปลงความเป็นไป และ วิวัฒนาการของเมืองต่างๆ การอพยพโยกย้ายของผู้คน ในหลายพื้นที่ในโลกนี้
ซึ่งถือเป็นเกียรติมากๆ สำหรับมนุษย์ธรรมดาๆ คนหนึ่ง ที่ได้รับทราบ ได้มีโอกาสออกไปเรียนรู้โลกกว้าง
ไปไหนมาไหน ชอบเดิน ชอบคุยกับคนท้องถิ่น หรือ กับคนต่างชาติที่อาศัยใน ปท อื่นๆ คุยกับคนหลายสาขาอาชีพ เชื้อชาติ ฐานะ
หรือ พักกับคนท้องถิ่น ทำตัวกลมกลืน
ทำให้เราได้รู้ ได้เห็นอะไรกว้างขึ้น ลึกขึ้น ซึ่งหลายๆ อย่าง ถ้าไม่เดิน ถ้าไม่พูด ถ้าไม่คุย ไม่ทำความเข้าใจ ถ้าไม่เข้าถึง ก็จะไม่ทราบเลย
ว่ามีแบบนี้ด้วย หรือ ไม่ทราบที่มาที่ไป หรือ ไม่ทราบข้อเท็จจริง
" เรารักเมืองไทยมากๆ และ เป็นห่วงอนาคตของเมืองไทยมากๆ อยากเห็นเมืองไทยพัฒนาไปในทางที่ดี และ ไม่คิดจะไปอยู่ที่อื่น "
บอกได้สั้นๆ แค่นี้ แต่ไม่อยากหวัง และ ไม่อยากพูดอะไรไปมากกว่านี้
________________________
กระทู้แบบที่เจ้าของกระทู้ว่ามา เราก็เห็นบ่อยๆ ในพันทิป ซึ่งระยะหลังๆ มีมากกว่าเดิม เยอะมากๆ
อันนั้นแค่ที่มีคนตั้งกระทู้ ส่วนที่ไม่ได้มีคนมาตั้งกระทู้ ก็มีคนคิดแนวๆ นั้นเยอะมาก
ความคิดเห็นที่ 6
ความฝันที่เป็นจริงครับ
กล้าออกจาก Comfort Zone เพื่อไปเรียนภาษาอังกฤษ และได้เวิร์ควีซ่าทำงาน ประเทศนิวซีแลนด์
แชร์ประสบการณ์ กล้าออกจาก Comfort Zone ความคิดผมก่อนที่ผมจะกล้าตัดสินใจ ออกจากสิ่งแวดล้อมตัวเอง เป็นเรื่องที่ยากมาก เพราะการไปใช้ชีวิตในต่างประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาทางการ
สำหรับคนที่กลัวภาษาอังกฤษอย่างผม และสื่อสารภาษาอังกฤษแบบงูๆปลาๆ เป็นอะไรที่เป็นไปไม่ได้ แต่ผมก็พิสูจน์ตัวเองโดยใช้เวลา 6 เดือนสามารถสื่อสารในระดับที่พอเข้าใจ ใช้เวลา 10 เดือนกล้าสมัครงานกับบริษัทต่างชาติ ใช้เวลา 1ปี เปลี่ยนจากวีซ่านักเรียน เป็นเวิร์ควีซ่า
ซึ่งความสำเร็จอาจจะไม่มากแต่ก็พอเป็นแนวทางสำหรับคนไม่เก่งภาษาอังกฤษ พื้นฐานครอบครัวฐานะธรรมดา
ข้อมูลการศึกษา
ผมจบคณะเกษตรศาตร์ สาขาสัตวศาสตร์ มช. ปี 2010 เกรด 2.61 เกรดภาษาอังกฤษ C,D เรียนปี 1
ชีวิตนักศึกษาผมใช้ชีวิตปกติทั่วไปครับ และเข้าสู่วัยทำงานผมเริ่มทำงานกับบริษัท เบทาโกร ปี 2010 ตำแหน่งงาน นักวิชาการส่งเสริมการเลี้ยงสุกร
ทำได้ 2ปี ปรับตำแหน่งเป็น นักวิชาการส่งเสริมการเลี้ยงสุกร อาวุโส ทำได้ 4ปีกว่า ปรับตำแหน่งเป็น ผู้จัดการส่วนผลิตโครงการ อายุงานระดับ ผจก. ปีกว่า
อายุงานรวม 6 ปีกว่า แล้วลาออกครับ
ทำไมถึงตัดสินใจลาออก
ความสำเร็จในอาชีพการงานที่ประเทศไทย ในชีวิตผมถือว่าประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย แต่เมื่อเราตำแหน่งงานที่สูงขึ้นหน้าที่ความรับผิดชอบยิ่งสูงด้วย ภาวะความเครียด การมีเวลาให้ครอบครัวน้อยลง การจัดการระหว่างเวลางาน กับเวลาส่วนตัวทำได้ไม่สมบูรณ์ คุณภาพชีวิตขาดสมดุล ความคิดผมถ้าเป็นแบบนี้ระยะยาว จะมีปัญหาตามมาหลายๆเรื่องทั้งครอบครัว สุขภาพ การงาน ส่งผมต่อคุณภาพชีวิต จึงได้ตัดสินใจที่จะลาออกช่วงเดือน เมษายน 2016
" ลาออกจาก ผู้จัดการ อายุ 29 มุ่งสู่ การเรียนภาษาอังกฤษ และทำงานในร้านอาหารไทยประเทศนิวซีแลนด์ "
ทุกคน มีทางเลือก แต่บางครั้งเราก็สับสน ถ้าเรามีความฝันของตัวเองก็ต้องพยายามทำตามความฝัน ไม่ว่าจะกี่ปีก็ต้องทำ ในมุมของผม ผมอยากใช้ชีวิตในต่างแดนและท่องเที่ยวไปจนตาย สิ่งที่ผมทำไม่ได้ คือไม่มีทุนทรัพย์ จึงต้องทำงานที่ไทยไปถึงจุดหนึ่ง
ทำไมถึงเลือกเรียนภาษาอังกฤษ ทั้งที่กลัวภาษาอังกฤษ พอเราอายุใกล้ 30 เราก็จะรู้ว่าไม่ว่าอยู่ที่ไหนบนโลกนี้ ถ้าพูดภาษาอังกฤษได้ ก็สามารถสื่อสารกับคนอื่นรู้เรื่อง คนอื่นอาจจะคิดได้เร็วกว่านี้ครับ
ทำไมถึงเลือกประเทศนิวซีแลนด์ เพราะ วีซ่านักเรียนประเทศนี้ สามารถทำงาน part time ได้ 20 ชม.ต่อสัปดาห์ เราสามารถทำงานเพื่อค่าเรียน $260
ค่าที่พัก $150 ค่ากินอยู่ $50
ทำไมถึงเลือกทำงานในร้านอาหารไทย เป็นสิ่งที่ง่ายที่สุดสำหรับคนที่มีภาษาอังกฤษติดตัวระดับเริ่มต้นหรือ 0 และผมเป็นคนชอบทำอาหารโดยเฉพาะอาหารเหนือ
ตัดสินใจมาต่างประเทศ
หลังจากยื่นใบลาออก บริษัทขอให้ทำงานอีก 3 เดือนเพื่อถ่ายงานให้คนอื่นรับช่วงต่อ ช่วงนั้นก็เป็นช่วงที่คิดมากหลายๆเรื่องว่า การตัดสินใจเป็นทางเลือกที่ถูกต้อง ที่ดีแล้วหรือไม่ อนาคตจะเป็นยังไง กำหนดแนวทางชีวิตยังไง หรือเราแค่ใช้อารมณ์ในการตัดสินใจ แต่ยังไงก็ตัดสินใจไปแล้วอะไรจะเกิดขึ้นในชีวิตก็ต้องเกิด
และเวลาว่างก็หาปรึกษาเอเจนซี่ หลากหลายบริษัท หาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตบ้าง ถามเพื่อนๆบ้าง ว่าค่าใช้จ่ายการเรียนเท่าไหร่ ทำงานแบบไหนได้บ้าง รายได้เท่าไหร่ จะพอค่าครองชีพ หรือเปล่า ส่งเงินให้ที่บ้านตามปกติได้หรือเปล่า สุดท้ายพอมีข้อมูลครบ ว่าไปแล้วคุ้ม ตัวผมเองมีวุฒิปริญญาตรี สัตวศาสตร์ และประสบการณ์ 6 ปีกว่าตำแหน่งสุดท้าย ผจก. คิดว่ามีโอกาศได้ทำงานกับบริษัทต่างชาติ แต่ไม่รู้จะเมื่อไหร่ลองไปดู ค่าเรียนจ่ายไปสัปดาห์ละ $260 นิวซีแลนด์ ค่าที่พักหาเองสัปดาห์ละ $120 ต่อคน ค่ากินตอนนั้นตั้งไว้ $50 แต่พอได้ทำงานร้านอาหารก็ประหยัดได้เยอะ เพราะกินข้าวฟรี ค่าทำวีซ่าของเอเจนซี่ ไม่คิดนะครับ อันนี้ดูดีๆ
วันที่ 15 กันยายน 2016 เดินทางสูงประเทศนิวซีแลนด์
วันที่ครอบครัวฝากความหวังกับผมต้องประสบความสำเร็จในต่างประเทศให้ได้
เรียนภาษา และทำงานที่ประเทศนิวซีแลนด์ รายได้ขั้นต่ำประเทศนิวซีแลนด์อยู่ที่ $15.75 NZ
การเลือกโรงเรียนมีผลกับวีซ่า ถ้าเราเลือก ระดับมาตรฐาน Cat 1 วีซ่าก็สามารถทำงาน part time ได้ 20 ชม.ต่อสัปดาห์ โรงเรียนที่ระดับมาตรฐานต่ำกว่า Cat 1 ก็จะมีข้อกำหนดเรื่องการทำงาน การเรียนการสอนแต่ละโรงเรียนจะเรียนวันละ 4-5 ชม.เริ่ม 8.30-12.45 หรือเริ่ม 9.00-14.30 หรือเรียนภาคค่ำ สิ่งที่สำคัญคือการเข้าเรียนอย่างน้อยต้อง 90% ถ้าเป็นไปได้ อยากให้เข้าเรียน 100% เพราะมีผลต่อวีซ่าปัจจุบัน และการต่อวีซ่าในอนาคต หลังจากเลิกเรียนก็สามารถหางาน part time ทำได้ ก่อนจะสมัครงาน ควรติดต่อโรงเรียนเพื่อขอทำ IRD ระบบเสียภาษีของประเทศนิวซีแลนด์ การสมัครงานก็จะมีในกลุ่ม Facebook คนไทย หรือเดินไปทิ้ง CV ตามร้านต่างๆ หรือเว็บไซต์ seek.co.nz หรือ trademe.co.nz ซึ่งถ้าทำงานร้านอาหารไทยเรื่องรายได้ก็ตามที่รู้ๆกันครับ แต่ผมก็สามารถพิสูจน์ตัวเองกับร้านอาหารไทย จนได้ค่าแรงขั้นต่ำ ที่ $15.75 NZ จนได้ เพราะผมเป็นคนชอบเรียนรู้ และได้เรียนรู้การทำอาหารกับเชฟไทยที่นั้น จนสามารถทำอาหารได้เกือบครบทุกเมนู ทอด แกง ผัด ทำซอล ทำอาหารว่าง เตรียมวัตถุดิบก่อนขาย
สำหรับตัวผมเอง ไม่ได้เป็นคนตั้งใจขยันที่จะให้พูดภาษาอังกฤษได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว เวลาผมเรียนก็จะไม่เครียดมาก ผมเริ่มระดับต่ำสุด Beginners และ Elementary เพราะไม่รู้อะไรเลยทั้งคำศัพท์ แกรมม่า ประโยคต่างๆ ข้อดีของการเรียนต่างประเทศคือ คุณจะใช้ภาษาอังกฤษมากกว่า 80% ในแต่ละวัน ในห้องเรียนถ้ามีคนไทยก็อย่าพูดภาษาไทย ครูคนสอนก็จะพยายามบอกอยู่แล้ว แต่ตัวเราเองก็ต้องบอกเพื่อนว่าพูดอังกฤษมาเลย ในห้องเรียนอย่าแปลคำศัพท์ เป็นความหมายภาษาไทย ให้ใช้วีธีถามเพื่อนหรือครู หรือนอกห้องเรียนก็พยายามแปลอังกฤษเป็นอังกฤษ เพราะเวลาใช้งานจริงเพื่อนต่างชาติไม่รู้ความหมายไทย ฝึกฝนง่ายๆ
1. ฝึกฝนด้วยตนเองเช่น ฟังเพลงสากล ดูหนังภาษาอังกฤษ ดูคลิปต่างๆทั้งของคนไทยเองและต่างชาติ ก่อนหน้านี้ผมฟังหรือดูได้ไม่เกิน 5 นาทีครับ แต่หลังจากทำไป 2-3 เดือนเริ่มชิน ดูหนังจบเรื่อง ฟังเพลงได้เป็นชั่วโมง ดูคลิปจนจบถึงจะไม่รู้เรื่องก็ตาม
2. การทบทวนหลังเลิกเรียนอันนี้ตัวผมเองทำแค่20% เช่น การท่องคำศัพท์ตามบทเรียน ทบทวนแกรมม่า อ่านบนสนทนา เขียนบนความสั้นๆ ถ้าคุณตั้งใจ ผมว่าคุณทำได้ 100%
3. หาเพื่อนต่างชาติเพื่อฝึกฝนการสื่อสาร ชวนเพื่อนไปท่องเที่ยว กินข้าว หรือทำกับข้าวกินกันเอง ใช้ชีวิตกับชาวต่างชาติมากๆภาษาจะพัฒนาได้เร็ว หรือจะพักกับต่างชาติก็จะดีมากๆ
4. กล้าที่จะพูดภาษาอังกฤษ การแสดงความเห็นในชั้นเรียน เมื่อเราพูดคำศัพท์ หรือการออกเสียงผิด ครูและเพื่อนจะเป็นคนแก้ไขให้เราก็จะจำได้ดี
สุดท้ายอย่าคาดหวังมากเกินไป เพราะต้นทุนการเรียนภาษาต่างกัน ตย.ผมเรียนภาษาอังกฤษตอน ป.4 ถึงมหาวิทยาลัยยังไม่รู้เรื่องเลย นี้แค่มาเรียน 3 เดือน 6 เดือน คาดหวังที่จะพูดได้เหมือนเจ้าของภาษา
ผมใช้เวลา 4 เดือนสอบเลื่อนระดับได้ Pre-Intermediate ใช้เวลา 6 เดือนได้ Intermediate ลองสอบไอเอล ได้ 4.0 ในความคิดผมถือว่าประสบความสำเร็จเรื่องภาษาแล้วครับ จาก 0 สามารถสื่อสารได้ กับต่างชาติ
ขั้นตอนสมัครงาน เอกสารต่างๆ
เมื่อผมมั่นใจเรื่องภาษาอังกฤษเในระดับหนึ่งระดับ Intermediate จากนั้นก็หาสมัครงานใรเว็บไซต์ http://trademe.co.nz หรือhttp://seek.co.nz สิ่งที่ควรเตรียม
1. ข้อมูลส่วนตัว CV และ cover letter
2. วุฒิการศึกษา
3. ใบรับรองการทำงาน ฉบับภาษาอังกฤษ
ศึกษาตำแหน่งงานของประเทศนิวซีแลนด์ ที่สามารถออก เวิร์ควีซ่าให้คนต่างชาติได้ https://www.immigration.govt.nz/employ-migrants/explore-your-options/explore-visa-options/skill-shortages
การสมัครงานส่วนใหญ่จะสมัครช่องทาง อีเมล์
หรือกดสมัครผ่านเว็บได้เลย ตัวผมเองก็ส่งใบสมัครวันละ 2-3 ฉบับ เพื่อฝึกฝนการส่งอีเมล์ ตอบอีเมล์ ซึ่งตอนแรงผมก็สมัครงานที่ไม่มีประสบการณ์ และได้อีเมลล์ปฏิเสธตลอด เลยรอเวลาที่มีตำแหน่งงานที่ผมมีประบการณ์ คืองานเกี่ยวกับอุตสาหกรรมการเลี้ยงสุกร
ส่งอีเมล์ภาษาอังกฤษแบบบ้านๆเลยครับ ผมคิดว่าคนอื่นน่าจะทำได้ดีกว่าผมอีกครับ
จบผมได้อีเมลล์ฉบับนี้ ตอนนั้นดีใจมาก
สัมภาษณ์งานกับบริษัทต่างชาติ โดยเจ้าของบริษัท โดย Skype คุยกับเห็นหน้า ประมาณ 30 นาที ซึ่งผมก็ได้ข้อมูลเกี่ยวกับประสบการณ์ที่เคยทำมา วางในอนาคต สอบถามการดำเนินการออกวีซ่า เวิร์ควีซ่า ผมรอบแรกคือผ่าน และให้ไปสัมภาษณ์ที่ฟาร์มจริงๆในเวลาต่อมาครับ
บริษัทที่ผมสมัครงานตั้งอยู่เกาะใต้ เมือง christchurch ประเทศนิวซีแลนด์ หลังจากนัดหมายผมก็เตรียมตัว ข้อมูลต่างๆ จนถึงวันจริงก็เดินทางไปเที่ยวรอบเกาะใต้ และไปสัมภาษณ์งาน ในวันที่ 19 กรกฎาคม 2017 ใช้เวลาสัมภาษณ์กับเจ้าของบริษัทและขับรถรอบฟาร์ม ประมาณ 1 ชั่วโมง โดยอธิบายการทำงาน และประสบการณ์ที่เมืองไทย ซึ่งมีความเหมือนและตากต่างกันอยู่บ้าง ซึ่งเจ้าของบริษัทบอกว่าจะแจ้งผมอีกประมาณ 5วัน
หลังจากนั้นวันที่ 25 กรกฎาคม 2017 ได้รับอีเมล์ ฉบับนี้ ผมคือได้งาน ตอนนั้นดีใจมากคิดว่าตัวเองทำตามความฝันได้แล้ว
ขั้นตอนยื่นขอเวิร์ควีซ่า
หลังจากผมสัมภาษณ์ บริษัทได้ให้เอกสาร Job offer JD และหนังสือสัญญาการจ้างงาน ปกติประเทศนิวซีแลนด์ นายจ้างเค้าจะจ้างบริษัทจัดทำวีซ่า เรามีหน้าที่เตรียมเอกสารให้ครับเช่น วุฒิการศึกษา ใบรับรองการทำงาน ใบรับรองพฤติกรรม ใบขับขี่สำหรับงานที่ต้องขับรถ เอกสารทุกอย่างแปลเป็นภาษาอังกฤษ และตรวจสุขภาพตามข้อกำหนดประเทศนิวซีแลนด์ ระยะเวลาก่อนรอวีซ่าประมาณ 21-30 วัน
การทำงานบริษัทต่างชาติ แน่นอนว่าภาษาเราจะพัฒนาเร็วมากเพราะเราได้ใช้ทุกวัน ทุกเวลา เรื่องรายได้ก็ถือว่าโอเค คิดเป็นเงินไทยก็เกือบแสน แต่ภาษีค่อยข้างโหด 17.5% นอนจากนี้จะได้เรื่องคุณภาพชีวิต รวมถึงถ้ามีโอกาศทำงานวันหยุด หรือเสาร์ อาทิตย์ ก็ได้ค่าแรง 1.5 เท่า ตอนนี้ผมทำงานเข้าเดือนที่ 4 แล้วถือว่าได้ประสบการณ์ชีวิต ครับ
กล้าออกจาก Comfort Zone เพื่อไปเรียนภาษาอังกฤษ และได้เวิร์ควีซ่าทำงาน ประเทศนิวซีแลนด์
แชร์ประสบการณ์ กล้าออกจาก Comfort Zone ความคิดผมก่อนที่ผมจะกล้าตัดสินใจ ออกจากสิ่งแวดล้อมตัวเอง เป็นเรื่องที่ยากมาก เพราะการไปใช้ชีวิตในต่างประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาทางการ
สำหรับคนที่กลัวภาษาอังกฤษอย่างผม และสื่อสารภาษาอังกฤษแบบงูๆปลาๆ เป็นอะไรที่เป็นไปไม่ได้ แต่ผมก็พิสูจน์ตัวเองโดยใช้เวลา 6 เดือนสามารถสื่อสารในระดับที่พอเข้าใจ ใช้เวลา 10 เดือนกล้าสมัครงานกับบริษัทต่างชาติ ใช้เวลา 1ปี เปลี่ยนจากวีซ่านักเรียน เป็นเวิร์ควีซ่า
ซึ่งความสำเร็จอาจจะไม่มากแต่ก็พอเป็นแนวทางสำหรับคนไม่เก่งภาษาอังกฤษ พื้นฐานครอบครัวฐานะธรรมดา
ข้อมูลการศึกษา
ผมจบคณะเกษตรศาตร์ สาขาสัตวศาสตร์ มช. ปี 2010 เกรด 2.61 เกรดภาษาอังกฤษ C,D เรียนปี 1
ชีวิตนักศึกษาผมใช้ชีวิตปกติทั่วไปครับ และเข้าสู่วัยทำงานผมเริ่มทำงานกับบริษัท เบทาโกร ปี 2010 ตำแหน่งงาน นักวิชาการส่งเสริมการเลี้ยงสุกร
ทำได้ 2ปี ปรับตำแหน่งเป็น นักวิชาการส่งเสริมการเลี้ยงสุกร อาวุโส ทำได้ 4ปีกว่า ปรับตำแหน่งเป็น ผู้จัดการส่วนผลิตโครงการ อายุงานระดับ ผจก. ปีกว่า
อายุงานรวม 6 ปีกว่า แล้วลาออกครับ
ทำไมถึงตัดสินใจลาออก
ความสำเร็จในอาชีพการงานที่ประเทศไทย ในชีวิตผมถือว่าประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย แต่เมื่อเราตำแหน่งงานที่สูงขึ้นหน้าที่ความรับผิดชอบยิ่งสูงด้วย ภาวะความเครียด การมีเวลาให้ครอบครัวน้อยลง การจัดการระหว่างเวลางาน กับเวลาส่วนตัวทำได้ไม่สมบูรณ์ คุณภาพชีวิตขาดสมดุล ความคิดผมถ้าเป็นแบบนี้ระยะยาว จะมีปัญหาตามมาหลายๆเรื่องทั้งครอบครัว สุขภาพ การงาน ส่งผมต่อคุณภาพชีวิต จึงได้ตัดสินใจที่จะลาออกช่วงเดือน เมษายน 2016
" ลาออกจาก ผู้จัดการ อายุ 29 มุ่งสู่ การเรียนภาษาอังกฤษ และทำงานในร้านอาหารไทยประเทศนิวซีแลนด์ "
ทุกคน มีทางเลือก แต่บางครั้งเราก็สับสน ถ้าเรามีความฝันของตัวเองก็ต้องพยายามทำตามความฝัน ไม่ว่าจะกี่ปีก็ต้องทำ ในมุมของผม ผมอยากใช้ชีวิตในต่างแดนและท่องเที่ยวไปจนตาย สิ่งที่ผมทำไม่ได้ คือไม่มีทุนทรัพย์ จึงต้องทำงานที่ไทยไปถึงจุดหนึ่ง
ทำไมถึงเลือกเรียนภาษาอังกฤษ ทั้งที่กลัวภาษาอังกฤษ พอเราอายุใกล้ 30 เราก็จะรู้ว่าไม่ว่าอยู่ที่ไหนบนโลกนี้ ถ้าพูดภาษาอังกฤษได้ ก็สามารถสื่อสารกับคนอื่นรู้เรื่อง คนอื่นอาจจะคิดได้เร็วกว่านี้ครับ
ทำไมถึงเลือกประเทศนิวซีแลนด์ เพราะ วีซ่านักเรียนประเทศนี้ สามารถทำงาน part time ได้ 20 ชม.ต่อสัปดาห์ เราสามารถทำงานเพื่อค่าเรียน $260
ค่าที่พัก $150 ค่ากินอยู่ $50
ทำไมถึงเลือกทำงานในร้านอาหารไทย เป็นสิ่งที่ง่ายที่สุดสำหรับคนที่มีภาษาอังกฤษติดตัวระดับเริ่มต้นหรือ 0 และผมเป็นคนชอบทำอาหารโดยเฉพาะอาหารเหนือ
ตัดสินใจมาต่างประเทศ
หลังจากยื่นใบลาออก บริษัทขอให้ทำงานอีก 3 เดือนเพื่อถ่ายงานให้คนอื่นรับช่วงต่อ ช่วงนั้นก็เป็นช่วงที่คิดมากหลายๆเรื่องว่า การตัดสินใจเป็นทางเลือกที่ถูกต้อง ที่ดีแล้วหรือไม่ อนาคตจะเป็นยังไง กำหนดแนวทางชีวิตยังไง หรือเราแค่ใช้อารมณ์ในการตัดสินใจ แต่ยังไงก็ตัดสินใจไปแล้วอะไรจะเกิดขึ้นในชีวิตก็ต้องเกิด
และเวลาว่างก็หาปรึกษาเอเจนซี่ หลากหลายบริษัท หาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตบ้าง ถามเพื่อนๆบ้าง ว่าค่าใช้จ่ายการเรียนเท่าไหร่ ทำงานแบบไหนได้บ้าง รายได้เท่าไหร่ จะพอค่าครองชีพ หรือเปล่า ส่งเงินให้ที่บ้านตามปกติได้หรือเปล่า สุดท้ายพอมีข้อมูลครบ ว่าไปแล้วคุ้ม ตัวผมเองมีวุฒิปริญญาตรี สัตวศาสตร์ และประสบการณ์ 6 ปีกว่าตำแหน่งสุดท้าย ผจก. คิดว่ามีโอกาศได้ทำงานกับบริษัทต่างชาติ แต่ไม่รู้จะเมื่อไหร่ลองไปดู ค่าเรียนจ่ายไปสัปดาห์ละ $260 นิวซีแลนด์ ค่าที่พักหาเองสัปดาห์ละ $120 ต่อคน ค่ากินตอนนั้นตั้งไว้ $50 แต่พอได้ทำงานร้านอาหารก็ประหยัดได้เยอะ เพราะกินข้าวฟรี ค่าทำวีซ่าของเอเจนซี่ ไม่คิดนะครับ อันนี้ดูดีๆ
วันที่ 15 กันยายน 2016 เดินทางสูงประเทศนิวซีแลนด์
วันที่ครอบครัวฝากความหวังกับผมต้องประสบความสำเร็จในต่างประเทศให้ได้
เรียนภาษา และทำงานที่ประเทศนิวซีแลนด์ รายได้ขั้นต่ำประเทศนิวซีแลนด์อยู่ที่ $15.75 NZ
การเลือกโรงเรียนมีผลกับวีซ่า ถ้าเราเลือก ระดับมาตรฐาน Cat 1 วีซ่าก็สามารถทำงาน part time ได้ 20 ชม.ต่อสัปดาห์ โรงเรียนที่ระดับมาตรฐานต่ำกว่า Cat 1 ก็จะมีข้อกำหนดเรื่องการทำงาน การเรียนการสอนแต่ละโรงเรียนจะเรียนวันละ 4-5 ชม.เริ่ม 8.30-12.45 หรือเริ่ม 9.00-14.30 หรือเรียนภาคค่ำ สิ่งที่สำคัญคือการเข้าเรียนอย่างน้อยต้อง 90% ถ้าเป็นไปได้ อยากให้เข้าเรียน 100% เพราะมีผลต่อวีซ่าปัจจุบัน และการต่อวีซ่าในอนาคต หลังจากเลิกเรียนก็สามารถหางาน part time ทำได้ ก่อนจะสมัครงาน ควรติดต่อโรงเรียนเพื่อขอทำ IRD ระบบเสียภาษีของประเทศนิวซีแลนด์ การสมัครงานก็จะมีในกลุ่ม Facebook คนไทย หรือเดินไปทิ้ง CV ตามร้านต่างๆ หรือเว็บไซต์ seek.co.nz หรือ trademe.co.nz ซึ่งถ้าทำงานร้านอาหารไทยเรื่องรายได้ก็ตามที่รู้ๆกันครับ แต่ผมก็สามารถพิสูจน์ตัวเองกับร้านอาหารไทย จนได้ค่าแรงขั้นต่ำ ที่ $15.75 NZ จนได้ เพราะผมเป็นคนชอบเรียนรู้ และได้เรียนรู้การทำอาหารกับเชฟไทยที่นั้น จนสามารถทำอาหารได้เกือบครบทุกเมนู ทอด แกง ผัด ทำซอล ทำอาหารว่าง เตรียมวัตถุดิบก่อนขาย
สำหรับตัวผมเอง ไม่ได้เป็นคนตั้งใจขยันที่จะให้พูดภาษาอังกฤษได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว เวลาผมเรียนก็จะไม่เครียดมาก ผมเริ่มระดับต่ำสุด Beginners และ Elementary เพราะไม่รู้อะไรเลยทั้งคำศัพท์ แกรมม่า ประโยคต่างๆ ข้อดีของการเรียนต่างประเทศคือ คุณจะใช้ภาษาอังกฤษมากกว่า 80% ในแต่ละวัน ในห้องเรียนถ้ามีคนไทยก็อย่าพูดภาษาไทย ครูคนสอนก็จะพยายามบอกอยู่แล้ว แต่ตัวเราเองก็ต้องบอกเพื่อนว่าพูดอังกฤษมาเลย ในห้องเรียนอย่าแปลคำศัพท์ เป็นความหมายภาษาไทย ให้ใช้วีธีถามเพื่อนหรือครู หรือนอกห้องเรียนก็พยายามแปลอังกฤษเป็นอังกฤษ เพราะเวลาใช้งานจริงเพื่อนต่างชาติไม่รู้ความหมายไทย ฝึกฝนง่ายๆ
1. ฝึกฝนด้วยตนเองเช่น ฟังเพลงสากล ดูหนังภาษาอังกฤษ ดูคลิปต่างๆทั้งของคนไทยเองและต่างชาติ ก่อนหน้านี้ผมฟังหรือดูได้ไม่เกิน 5 นาทีครับ แต่หลังจากทำไป 2-3 เดือนเริ่มชิน ดูหนังจบเรื่อง ฟังเพลงได้เป็นชั่วโมง ดูคลิปจนจบถึงจะไม่รู้เรื่องก็ตาม
2. การทบทวนหลังเลิกเรียนอันนี้ตัวผมเองทำแค่20% เช่น การท่องคำศัพท์ตามบทเรียน ทบทวนแกรมม่า อ่านบนสนทนา เขียนบนความสั้นๆ ถ้าคุณตั้งใจ ผมว่าคุณทำได้ 100%
3. หาเพื่อนต่างชาติเพื่อฝึกฝนการสื่อสาร ชวนเพื่อนไปท่องเที่ยว กินข้าว หรือทำกับข้าวกินกันเอง ใช้ชีวิตกับชาวต่างชาติมากๆภาษาจะพัฒนาได้เร็ว หรือจะพักกับต่างชาติก็จะดีมากๆ
4. กล้าที่จะพูดภาษาอังกฤษ การแสดงความเห็นในชั้นเรียน เมื่อเราพูดคำศัพท์ หรือการออกเสียงผิด ครูและเพื่อนจะเป็นคนแก้ไขให้เราก็จะจำได้ดี
สุดท้ายอย่าคาดหวังมากเกินไป เพราะต้นทุนการเรียนภาษาต่างกัน ตย.ผมเรียนภาษาอังกฤษตอน ป.4 ถึงมหาวิทยาลัยยังไม่รู้เรื่องเลย นี้แค่มาเรียน 3 เดือน 6 เดือน คาดหวังที่จะพูดได้เหมือนเจ้าของภาษา
ผมใช้เวลา 4 เดือนสอบเลื่อนระดับได้ Pre-Intermediate ใช้เวลา 6 เดือนได้ Intermediate ลองสอบไอเอล ได้ 4.0 ในความคิดผมถือว่าประสบความสำเร็จเรื่องภาษาแล้วครับ จาก 0 สามารถสื่อสารได้ กับต่างชาติ
ขั้นตอนสมัครงาน เอกสารต่างๆ
เมื่อผมมั่นใจเรื่องภาษาอังกฤษเในระดับหนึ่งระดับ Intermediate จากนั้นก็หาสมัครงานใรเว็บไซต์ http://trademe.co.nz หรือhttp://seek.co.nz สิ่งที่ควรเตรียม
1. ข้อมูลส่วนตัว CV และ cover letter
2. วุฒิการศึกษา
3. ใบรับรองการทำงาน ฉบับภาษาอังกฤษ
ศึกษาตำแหน่งงานของประเทศนิวซีแลนด์ ที่สามารถออก เวิร์ควีซ่าให้คนต่างชาติได้ https://www.immigration.govt.nz/employ-migrants/explore-your-options/explore-visa-options/skill-shortages
การสมัครงานส่วนใหญ่จะสมัครช่องทาง อีเมล์
หรือกดสมัครผ่านเว็บได้เลย ตัวผมเองก็ส่งใบสมัครวันละ 2-3 ฉบับ เพื่อฝึกฝนการส่งอีเมล์ ตอบอีเมล์ ซึ่งตอนแรงผมก็สมัครงานที่ไม่มีประสบการณ์ และได้อีเมลล์ปฏิเสธตลอด เลยรอเวลาที่มีตำแหน่งงานที่ผมมีประบการณ์ คืองานเกี่ยวกับอุตสาหกรรมการเลี้ยงสุกร
ส่งอีเมล์ภาษาอังกฤษแบบบ้านๆเลยครับ ผมคิดว่าคนอื่นน่าจะทำได้ดีกว่าผมอีกครับ
จบผมได้อีเมลล์ฉบับนี้ ตอนนั้นดีใจมาก
สัมภาษณ์งานกับบริษัทต่างชาติ โดยเจ้าของบริษัท โดย Skype คุยกับเห็นหน้า ประมาณ 30 นาที ซึ่งผมก็ได้ข้อมูลเกี่ยวกับประสบการณ์ที่เคยทำมา วางในอนาคต สอบถามการดำเนินการออกวีซ่า เวิร์ควีซ่า ผมรอบแรกคือผ่าน และให้ไปสัมภาษณ์ที่ฟาร์มจริงๆในเวลาต่อมาครับ
บริษัทที่ผมสมัครงานตั้งอยู่เกาะใต้ เมือง christchurch ประเทศนิวซีแลนด์ หลังจากนัดหมายผมก็เตรียมตัว ข้อมูลต่างๆ จนถึงวันจริงก็เดินทางไปเที่ยวรอบเกาะใต้ และไปสัมภาษณ์งาน ในวันที่ 19 กรกฎาคม 2017 ใช้เวลาสัมภาษณ์กับเจ้าของบริษัทและขับรถรอบฟาร์ม ประมาณ 1 ชั่วโมง โดยอธิบายการทำงาน และประสบการณ์ที่เมืองไทย ซึ่งมีความเหมือนและตากต่างกันอยู่บ้าง ซึ่งเจ้าของบริษัทบอกว่าจะแจ้งผมอีกประมาณ 5วัน
หลังจากนั้นวันที่ 25 กรกฎาคม 2017 ได้รับอีเมล์ ฉบับนี้ ผมคือได้งาน ตอนนั้นดีใจมากคิดว่าตัวเองทำตามความฝันได้แล้ว
ขั้นตอนยื่นขอเวิร์ควีซ่า
หลังจากผมสัมภาษณ์ บริษัทได้ให้เอกสาร Job offer JD และหนังสือสัญญาการจ้างงาน ปกติประเทศนิวซีแลนด์ นายจ้างเค้าจะจ้างบริษัทจัดทำวีซ่า เรามีหน้าที่เตรียมเอกสารให้ครับเช่น วุฒิการศึกษา ใบรับรองการทำงาน ใบรับรองพฤติกรรม ใบขับขี่สำหรับงานที่ต้องขับรถ เอกสารทุกอย่างแปลเป็นภาษาอังกฤษ และตรวจสุขภาพตามข้อกำหนดประเทศนิวซีแลนด์ ระยะเวลาก่อนรอวีซ่าประมาณ 21-30 วัน
การทำงานบริษัทต่างชาติ แน่นอนว่าภาษาเราจะพัฒนาเร็วมากเพราะเราได้ใช้ทุกวัน ทุกเวลา เรื่องรายได้ก็ถือว่าโอเค คิดเป็นเงินไทยก็เกือบแสน แต่ภาษีค่อยข้างโหด 17.5% นอนจากนี้จะได้เรื่องคุณภาพชีวิต รวมถึงถ้ามีโอกาศทำงานวันหยุด หรือเสาร์ อาทิตย์ ก็ได้ค่าแรง 1.5 เท่า ตอนนี้ผมทำงานเข้าเดือนที่ 4 แล้วถือว่าได้ประสบการณ์ชีวิต ครับ
ความคิดเห็นที่ 4
ภาพวาดอเมริกาในฝัน - ตึกสูง ทุกอย่างไฮเทค แต่งตัวเริศๆ ชิคๆ หิมะตก หนาว เดินจิบกาแฟ
สถาพจริง - Texas ทุกอย่างราบเรียบ ตึกสูงมีอยู่แค่หย่อมเดียว แต่ละที่ห่างไกล มองไปทางไหนเจอแต่กอหญ้าเตี้ยๆ รถเมล์ไม่สะดวก ไม่มีรถเท่ากับตัดแขนขา ไปไหนแทบไม่ได้ หน้าร้อนอากาศร้อนเหมือนตัวจะละลาย หน้าหนาวหิมะไม่มี ของไทยพอหาได้ แต่แพงบรรลัย ปลาทูจากไทย 2 ตัว 700 บาท, หัวหอมหัวละ 35 บาท ย้ำ! หัวละ
กินข้าวนอกบ้านอาทิตย์ละวันนี่ก็ดีใจมากทั้งๆที่อาหารพื้นๆ แต่ละมื้อ 2 คนไม่ต่ำกว่า 1,500 บาท อยู่ไทยกินของสดใหม่ตลอด อยู่ที่นี่ทำแล้วแช่ตู้เย็นกินกันไป 2-3 วัน นี่ยังมีปลาเค็มแช่ช่องฟรีสไว้ กะว่าเก็บไว้กินได้หลายเดือน ถ้าไม่ทำกับข้าวทิ้งไว้ เกิดหิวขึ้นมา กัดขนมปังรองท้องไป เพราะข้างถนนไม่มีอะไรขาย ไม่สามารถออกไปเดินซื้อข้าวกล่อง กํวยเตี๋ยว
- 7-11 ถือเป็นร้านเล็กในบางปั๊มน้ำมันเท่านั้น ไม่มีครบวงจร มีแค่ของกินเล่นประทังชีวิต ไม่สามารตพึ่งพาเพื่ออยุ่รอดได้ -
ซื้อของตอนแรกคิดว่าถูก อ้าว ! ต้องบวก Tax อีก 8.25%
- ประกันสุขภาพ ใกล้ตายเท่านั้นถึงจะได้ใช้ หาหมอถ้ายอดไม่ถึง $3,500 จ่ายเอง เกินกง่านั้นประกันถึงจะจ่าย แต่ก็จ่ายแค่ 80% ตอนยังเป็นนักเรียนไม่มีประกันเป็นไข้หลายวันไม่หาย เลยยอมไปหาหมอ โดนไป $300 สบายตัว
- ข้อดีคือ ไม่มีใครยุ่งเรื่องใคร อยากทำไร ไม่ต้องมีขนบธรรมเนียม หรือหน้าตาครอบครัวมาตีกรอบ ไม่แต่งหน้าออกไปไหนก็ได้ อยู่ไทยนี่ หน้าไม่เต็ม แต่งตัวไม่ครบอย่าคิดจะไปเดินห้าง ของใช้ไม่ต้องแข่งแบรนด์เนมกับใคร เพราะที่นี่ถ้าทำออกมาขายยังไงก็คุณภาพ ไม่ชอบไม่ถูกใจคืนได้ หรือคอมเพลนได้เต็มที่
- ถ้าถามว่าอยู่ไหน ก็ยังจะตอบว่าอยู่ที่นี่ สบายใจกว่าด้วยวภาพแวดล้อม และผู้คน
-- อยากจะมาต้องแกร่ง รอความช่วยเหลือจากคนอื่นไม่ได้ อะไรไม่เคยทำต้องทำ ไม่เข้าใจสงสัยต้องถาม จะมานั่งรอมีคนมาบอกให้ถึงที่ไม่ได้
----จะมาแนะนำว่าต้องมีทุนมาพอสมควร แบบมาตายเอาดาบหน้าหมดยุคแล้วค่พ ส่วนใครที่หน่ที่การงานดีอยู่แล้ว หวังจะมาแค่ทำงานร้านอาหาร ส่งเงินมากกว่ากลับไทย อย่าเลยค่ะ อาจได้ไม่คุ้มเสีย เงินเยอะ แต่อยู่แบบอดๆ อยากๆ กับอยู่ไทยเงินพอใช้ แค่มีกินอุดมสมบูรณ์ทุกมื้อ
สถาพจริง - Texas ทุกอย่างราบเรียบ ตึกสูงมีอยู่แค่หย่อมเดียว แต่ละที่ห่างไกล มองไปทางไหนเจอแต่กอหญ้าเตี้ยๆ รถเมล์ไม่สะดวก ไม่มีรถเท่ากับตัดแขนขา ไปไหนแทบไม่ได้ หน้าร้อนอากาศร้อนเหมือนตัวจะละลาย หน้าหนาวหิมะไม่มี ของไทยพอหาได้ แต่แพงบรรลัย ปลาทูจากไทย 2 ตัว 700 บาท, หัวหอมหัวละ 35 บาท ย้ำ! หัวละ
กินข้าวนอกบ้านอาทิตย์ละวันนี่ก็ดีใจมากทั้งๆที่อาหารพื้นๆ แต่ละมื้อ 2 คนไม่ต่ำกว่า 1,500 บาท อยู่ไทยกินของสดใหม่ตลอด อยู่ที่นี่ทำแล้วแช่ตู้เย็นกินกันไป 2-3 วัน นี่ยังมีปลาเค็มแช่ช่องฟรีสไว้ กะว่าเก็บไว้กินได้หลายเดือน ถ้าไม่ทำกับข้าวทิ้งไว้ เกิดหิวขึ้นมา กัดขนมปังรองท้องไป เพราะข้างถนนไม่มีอะไรขาย ไม่สามารถออกไปเดินซื้อข้าวกล่อง กํวยเตี๋ยว
- 7-11 ถือเป็นร้านเล็กในบางปั๊มน้ำมันเท่านั้น ไม่มีครบวงจร มีแค่ของกินเล่นประทังชีวิต ไม่สามารตพึ่งพาเพื่ออยุ่รอดได้ -
ซื้อของตอนแรกคิดว่าถูก อ้าว ! ต้องบวก Tax อีก 8.25%
- ประกันสุขภาพ ใกล้ตายเท่านั้นถึงจะได้ใช้ หาหมอถ้ายอดไม่ถึง $3,500 จ่ายเอง เกินกง่านั้นประกันถึงจะจ่าย แต่ก็จ่ายแค่ 80% ตอนยังเป็นนักเรียนไม่มีประกันเป็นไข้หลายวันไม่หาย เลยยอมไปหาหมอ โดนไป $300 สบายตัว
- ข้อดีคือ ไม่มีใครยุ่งเรื่องใคร อยากทำไร ไม่ต้องมีขนบธรรมเนียม หรือหน้าตาครอบครัวมาตีกรอบ ไม่แต่งหน้าออกไปไหนก็ได้ อยู่ไทยนี่ หน้าไม่เต็ม แต่งตัวไม่ครบอย่าคิดจะไปเดินห้าง ของใช้ไม่ต้องแข่งแบรนด์เนมกับใคร เพราะที่นี่ถ้าทำออกมาขายยังไงก็คุณภาพ ไม่ชอบไม่ถูกใจคืนได้ หรือคอมเพลนได้เต็มที่
- ถ้าถามว่าอยู่ไหน ก็ยังจะตอบว่าอยู่ที่นี่ สบายใจกว่าด้วยวภาพแวดล้อม และผู้คน
-- อยากจะมาต้องแกร่ง รอความช่วยเหลือจากคนอื่นไม่ได้ อะไรไม่เคยทำต้องทำ ไม่เข้าใจสงสัยต้องถาม จะมานั่งรอมีคนมาบอกให้ถึงที่ไม่ได้
----จะมาแนะนำว่าต้องมีทุนมาพอสมควร แบบมาตายเอาดาบหน้าหมดยุคแล้วค่พ ส่วนใครที่หน่ที่การงานดีอยู่แล้ว หวังจะมาแค่ทำงานร้านอาหาร ส่งเงินมากกว่ากลับไทย อย่าเลยค่ะ อาจได้ไม่คุ้มเสีย เงินเยอะ แต่อยู่แบบอดๆ อยากๆ กับอยู่ไทยเงินพอใช้ แค่มีกินอุดมสมบูรณ์ทุกมื้อ
ความคิดเห็นที่ 2
ขอตอบจากประสบการณ์ที่ไปเรียนอยู่ที่อเมริกาอยู่หลายปี และได้มีโอกาสทำงานหลังเรียนอยู่อีก 1ปี
1. ชีวิตจริงเป็นเหมือนในฝันไหม เป็นฝันดีหรือฝันร้าย
- ในชีวิตจริงมันมีทั้งด้านดีและไม่ดีปนๆกันไปค่ะ แต่โดยรวมถือว่าดีกว่าเมืองไทยมากๆๆๆๆๆๆ
2. ต้องเผชิญหน้ากับอะไรบ้าง
-อย่างแรกเลยคือเรื่องวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน ขอยกตัวอย่างที่ นิวยอร์คละกันนะคะ ด้วยความที่เป็นรัฐใหญ่และมีความหลากหลายทางวัฒนธรรม จึงทำให้เราต้องค่อยๆศึกษาผู้คนในแต่ละเชื้อชาติเพื่อจะได้อยู่ด้วยกันได้ แบบไม่มีปัญหา อีกอย่างด้วยความที่เป็นเมืองมากๆนี้ทำให้เราต้องทำอะไรให้รวดเร็ว ต้องตรงเวลา ไม่มีคำว่าช้า หรือเฉื่อย ต้อง active ตลอดเวลา ซึ่งถ้าคนมาใหม่ๆอาจจะรู้สึกว่าทำไมทุกอย่างดูเร่งรีบไปหมด อาจจะรู้สึกเหนื่อยและท้อได้ แต่สิ่งที่ดีคือคนที่นี่แต่ละคนจะรู้จักหน้าที่ของตัวเองดี จะไม่มีการก้าวก่ายและยุ่งเรื่องของคนอื่นเลย ถ้าจะมีส่วนใหญ่จะเป็นคนเอเชียที่จะมีพฤติกรรมแบบนี้
- อีกหนึ่งสิ่งส่วนใหญ่ผู้หญิงจะเจอคือการเหยียดคนเอเชีย คืออาจจะมีการใช้คำพูดที่ไม่ดีบ้าง เราก็แค่อย่าไปสนใจ แต่ถ้ามันมากเกินไปก็ต้องมีตอบโต้บ้าง (อันนี้ด่ากลับไปจน ไม่กล้ามาดูถูกอีกเลย)
- สิ่งที่เผชิญหนักๆอีกเรื่องคือสภาพอากาศ ที่ต่างจากบ้านเราอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็น snow storm, hurricane ยิ่งsummer จะมีแค่1-2เดือน แต่ว่าความร้อนระอุนี่สุดๆๆๆๆๆๆๆ แดดดอาจจะไม่แรงเท่าไทยแต่มันระอุกว่ามากๆๆๆๆ เพราะที่เหลือจากนี้จะเป็นอากาศเย็นสบายไปจนถึงหนาวจัดแบบติดลบ
ป.ล. จะบอกว่าจริงๆสิ่งที่เผชิญมันมีเยอะมาก จะให้พิมพ์คงไม่ไหว เอาเป็นว่าคร่าวๆตามที่ได้บอกไปละกันนะคะ
3.มีอะไรแนะนำหรือประสบการณ์แบ่งปันให้กับคนที่ใฝ่ฝันอยากไปใช้ชีวิตในต่างประเทศบ้างไหม
- ความตั้งใจ ความอดทนต้องมีมากๆ การใช้ชีวิตในต่างประเทศไม่ใช่เรื่องง่าย และไม่ได้สวยหรูแบบที่ใครๆเค้าพูดกัน ในชีวิตจริงมันมีรายละเอียดเยอะ แต่ถ้าถามว่าอยู่แล้วรู้สึกสบายและมีความสุขกว่าเมืองไทยมั้ย อันนี้ตอบได้อย่างไม่ลังเลเลยว่า มันดีกว่ามาก ในทุกๆเรื่อง ยกเว้นคือต้องห่างจากครอบครัว
ป.ล. ถ้า จขกท อยากมาเรียนต่างประเทศก็ต้องมีความตั้งใจจริง อย่าคิดแค่ว่ามันดูเท่ เป็นเรื่องง่ายๆ ความอดทนต้องมีเยอะๆ เพราะเรามาอยู่ในประเทศที่ภาษาก็ต่าง วัฒนธรรม ความเป็นอยู่ สภาพแวดล้อม ที่แตกต่างมากๆ แรกอาจจะเกิด culture shock หรือ homesick แต่ถ้ามีความตั้งใจและอดทน ยังไงก็อยู่ได้ค่ะ เป็นกำลังใจให้นะคะ
1. ชีวิตจริงเป็นเหมือนในฝันไหม เป็นฝันดีหรือฝันร้าย
- ในชีวิตจริงมันมีทั้งด้านดีและไม่ดีปนๆกันไปค่ะ แต่โดยรวมถือว่าดีกว่าเมืองไทยมากๆๆๆๆๆๆ
2. ต้องเผชิญหน้ากับอะไรบ้าง
-อย่างแรกเลยคือเรื่องวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน ขอยกตัวอย่างที่ นิวยอร์คละกันนะคะ ด้วยความที่เป็นรัฐใหญ่และมีความหลากหลายทางวัฒนธรรม จึงทำให้เราต้องค่อยๆศึกษาผู้คนในแต่ละเชื้อชาติเพื่อจะได้อยู่ด้วยกันได้ แบบไม่มีปัญหา อีกอย่างด้วยความที่เป็นเมืองมากๆนี้ทำให้เราต้องทำอะไรให้รวดเร็ว ต้องตรงเวลา ไม่มีคำว่าช้า หรือเฉื่อย ต้อง active ตลอดเวลา ซึ่งถ้าคนมาใหม่ๆอาจจะรู้สึกว่าทำไมทุกอย่างดูเร่งรีบไปหมด อาจจะรู้สึกเหนื่อยและท้อได้ แต่สิ่งที่ดีคือคนที่นี่แต่ละคนจะรู้จักหน้าที่ของตัวเองดี จะไม่มีการก้าวก่ายและยุ่งเรื่องของคนอื่นเลย ถ้าจะมีส่วนใหญ่จะเป็นคนเอเชียที่จะมีพฤติกรรมแบบนี้
- อีกหนึ่งสิ่งส่วนใหญ่ผู้หญิงจะเจอคือการเหยียดคนเอเชีย คืออาจจะมีการใช้คำพูดที่ไม่ดีบ้าง เราก็แค่อย่าไปสนใจ แต่ถ้ามันมากเกินไปก็ต้องมีตอบโต้บ้าง (อันนี้ด่ากลับไปจน ไม่กล้ามาดูถูกอีกเลย)
- สิ่งที่เผชิญหนักๆอีกเรื่องคือสภาพอากาศ ที่ต่างจากบ้านเราอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็น snow storm, hurricane ยิ่งsummer จะมีแค่1-2เดือน แต่ว่าความร้อนระอุนี่สุดๆๆๆๆๆๆๆ แดดดอาจจะไม่แรงเท่าไทยแต่มันระอุกว่ามากๆๆๆๆ เพราะที่เหลือจากนี้จะเป็นอากาศเย็นสบายไปจนถึงหนาวจัดแบบติดลบ
ป.ล. จะบอกว่าจริงๆสิ่งที่เผชิญมันมีเยอะมาก จะให้พิมพ์คงไม่ไหว เอาเป็นว่าคร่าวๆตามที่ได้บอกไปละกันนะคะ
3.มีอะไรแนะนำหรือประสบการณ์แบ่งปันให้กับคนที่ใฝ่ฝันอยากไปใช้ชีวิตในต่างประเทศบ้างไหม
- ความตั้งใจ ความอดทนต้องมีมากๆ การใช้ชีวิตในต่างประเทศไม่ใช่เรื่องง่าย และไม่ได้สวยหรูแบบที่ใครๆเค้าพูดกัน ในชีวิตจริงมันมีรายละเอียดเยอะ แต่ถ้าถามว่าอยู่แล้วรู้สึกสบายและมีความสุขกว่าเมืองไทยมั้ย อันนี้ตอบได้อย่างไม่ลังเลเลยว่า มันดีกว่ามาก ในทุกๆเรื่อง ยกเว้นคือต้องห่างจากครอบครัว
ป.ล. ถ้า จขกท อยากมาเรียนต่างประเทศก็ต้องมีความตั้งใจจริง อย่าคิดแค่ว่ามันดูเท่ เป็นเรื่องง่ายๆ ความอดทนต้องมีเยอะๆ เพราะเรามาอยู่ในประเทศที่ภาษาก็ต่าง วัฒนธรรม ความเป็นอยู่ สภาพแวดล้อม ที่แตกต่างมากๆ แรกอาจจะเกิด culture shock หรือ homesick แต่ถ้ามีความตั้งใจและอดทน ยังไงก็อยู่ได้ค่ะ เป็นกำลังใจให้นะคะ
แสดงความคิดเห็น
ใครเคยไปใช้ชีวิตที่ประเทศที่ตัวเองใฝ่ฝันเช่นญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา หรือ ยุโรปบ้าง แล้วชีวิตจริงเหมือนในฝันกันไหม
หลายคนใฝ่ฝันอยากไปอยู่อาศัย ใช้ชีวิตในต่างประเทศ
เช่น ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา หรือ ประเทศในแถบยุโรป
จุดประสงค์ก็ต่างกันไปเช่น เพื่อเก็บเงินส่งกลับบ้าน เพื่อหาประสบการณ์
หลายคนพยายามไปด้วยวิธีการต่างๆ เช่น ไปเรียนเมื่อเรียนจบก็หางานทำต่อ
ไปลงทุน ไปหางาน หรือแม้แต่แต่งงานกับคนในประเทศนั้นๆ
มันเลยทำให้ผมสงสัยว่าบรรดาคนที่ได้ไปอยู่อาศัยจริงในประเทศที่ตนเองใฝ่ฝัน
ไม่ด้วยจะวิธีการใดก็ตาม
1.ชีวิตจริงเป็นเหมือนในฝันไหม เป็นฝันดีหรือฝันร้าย
2.ต้องเผชิญหน้ากับอะไรบ้าง
3.มีอะไรแนะนำหรือประสบการณ์แบ่งปันให้กับคนที่ใฝ่ฝันอยากไปใช้ชีวิตในต่างประเทศบ้างไหม
ขอบคุณครับ