By มาร์ตี้ แม็คฟราย
*ภาพยนตร์เรื่องนี้จัดอยู่ในหนังจำพวกที่ยิ่งรู้น้อยที่สุดยิ่งดี ดังนั้นหากคิดจะไปดูอยู่ สามารถปิดบทความนี้ไปได้เลย หรือจะอ่านก็ได้ เพราะจะพูดถึงเนื้อเรื่องให้น้อยที่สุด และไม่มีสปอยล์ 100 %
‘The Last Jedi เป็นหนังที่สนุกมาก’
ด้วยความที่เป็นคนคิดค่อนข้างคิดเยอะ ตามปกติแล้วคำพูดแบบนี้จะออกจากปากน้อยมากจริง ๆ แต่ไม่ใช่กับหนังเรื่องนี้ เพราะตลอด 2 ชั่วโมง 32 นาที หนังเต็มไปด้วยองค์ประกอบที่หนังบล็อกบัสเตอร์ชั้นดีควรจะมีครบถ้วนทุกประการอย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง ไม่ว่าจะแอ็คชั่น ลุ้นระทึก ซาบซึ้ง และตลก
นี่คือหนังที่คุณจะไม่มีทางรู้บทสรุป
หลังจากปล่อยทั้งชื่อเรื่อง ตัวอย่างหนัง และภาพต่าง ๆ ให้แฟน ๆ และคนดูคิดไปต่าง ๆ นา ๆ ถึงบทสรุปของปริศนาในเรื่องราวที่เปิดให้เรารู้จักในภาคก่อน ที่เรียกได้ว่าตลอดมา ดิสนีย์และผู้กำกับ ไรอัน จอห์นสัน พยายามปั่นประสาทแฟน ๆ ให้คิดเป็นตุเป็นตะไปเอง
นั่นก็เพราะทางสตูดิโอและผู้กำกับรู้ดีว่า ของจริงในหนังมันมีอะไรมากกว่านั้นเยอะ ซึ่งเป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายไปไกลจนไม่สามารถคาดถึง ไม่ใช่แค่ไคลแมกซ์หรือเฉพาะหนังบางช่วง แต่มีอยู่ตลอดทั้งเรื่อง ให้คุณอ้าปากค้าง อุทาน และประหลาดใจแน่นอน จึงเป็นเหตุผลให้ทุกคนควรหลบสปอยล์ให้ดี และการเข้าไปดูหนังเรื่องนี้โดยที่ไม่รู้อะไรเลย คือเรื่องที่ควรทำอย่างที่สุด
ไรอัน จอห์นสัน
เชื่อว่านาทีนี้ ไรอัน จอห์นสัน คือผู้กำกับที่จะเข้าไปอยู่ในใจแฟน ๆ สตาร์วอร์สทุกคนไปแล้ว จากในภาคที่แล้วผู้กำกับคือ เจ.เจ แอบรัมส์ มาในภาคนี้ได้จอห์นสันเข้ามารับช่วงต่อโดยการรับหน้าที่ทั้งเขียนบทและกำกับ โดยแบกความกดดันในฐานะภาคที่สองของไตรภาค 7-9 โดยไม่สามารถเลี่ยงที่จะถูกนำไปเปรียบเทียบกับ The Empire Strikes Back อันเป็นภาคที่สองของไตรภาค 4-6 ซึ่งหลายคนยกให้เป็น Star Wars ภาคที่ดีที่สุดอย่างเป็นเอกฉันท์
แต่สิ่งที่จอห์นสันทำให้ทุกคนเห็น คือภาพยนตร์ที่สมบูรณ์อย่างยิ่ง ทั้งในแง่บทภาพยนตร์ที่เต็มไปด้วยลูกล่อลูกชน ฉลาด และขับเคลื่อนไปข้างหน้าตลอดเวลา ประกอบกับฝีมือการกำกับอันเด็ดขาดให้ทุกฉากมีความสำคัญ มีพลัง และส่งผลต่ออารมณ์คนดูอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการแอ็คชั่นสู้รบบนอวกาศ ฉากขับยานต่อสู้ จอห์นสันก็สามารถทำออกมาได้สนุก ตื่นเต้น มีพลังสูง จนสามารถยกให้หนังภาคนี้มีฉากสงครามในอวกาศที่ดีที่สุดในแฟรนไชส์ได้เลยจริง ๆ
ในส่วนของบทภาพยนตร์ที่ตัวจอห์นสันเป็นคนเขียนด้วยตนเองคนเดียว เขาก็ได้แสดงศักยภาพของความ ‘เนิร์ด’ ออกมาอย่างลงตัว กล่าวคือจอห์นสันได้ผสานทั้งความแปลกใหม่ เรื่องราวใหม่ ตัวละครและความเชื่อใหม่ที่สร้างขึ้นมา ผสานกับรูปแบบของเก่า ที่เหล่าแฟน ๆ เดนตายต้องจำได้ และรู้สึกถวิลหาด้วยความคิดถึงได้อย่างกลมกล่อมกำลังดี และแน่นอน ฝีมือการเล่าเรื่องที่พลิกผันกลับหัวกลับหางอันน่าประหลาดใจในเรื่อง จอห์นสันได้โชว์ของในจุดนี้ได้ถึงพริกถึงขิงเป็นที่สุด
ที่สุดแล้ว ไรอัน จอห์นสัน จะกลายเป็นตัวอย่างสำคัญในวงการฮอลลีวูดอีกคน ในกรณีที่เป็นผู้กำกับสายอินดี้ ที่ไม่เคยจับหนังฟอร์มใหญ่มาก่อนเลย มารับหน้าที่อันแสนกดดันนี้ เพราะผลงานที่ออกมานั้น เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบที่สุดแล้ว
Say Goodbye Star Wars by George Lucas
หากภาค The Force Awakens คือการปูพื้นฐานให้แฟน ๆ ได้ระลึกถึงอารมณ์หนังเวอร์ชั่นเก่าที่หายไปกว่า 32 ปีนับจาก Return of the Jedi และเป็นการเปิดตัวละครและเรื่องราวใหม่ที่จบลงเพื่อสานต่อมากกว่าที่จะสร้างความแปลกใหม่
The Last Jedi ก็คือจุดเริ่มต้นของการสร้างเรื่องราวใหม่ ที่จะเปลี่ยนเส้นเรื่องในแฟรนไชส์ที่จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
เพราะในภาคนี้คือก้าวเข้าสู่ Star Wars ยุคใหม่ ที่ผู้สร้างคงคิดตรงกันแล้วว่าถึงเวลาที่ต้องปล่อยให้เส้นเรื่อง Star Wars ในแบบ จอร์จ ลูคัส กลายเป็นอดีต และก้าวพ้นขีดจำกัดในเรื่องราวและความเชื่อเดิมได้แล้ว เพื่อให้แฟรนไชส์สามารถเดินได้ต่อไปตามกาลเวลาที่พัดผ่านมากว่า 40 เต็ม นับตั้งแต่ภาค A New Hope เข้าฉายในปี 1977 ... สู่ยุคใหม่ของ Star Wars เสียที
จนทำให้ The Last Jedi สามารถก้าวขึ้นมาเป็นหนัง Star Wars ภาคที่สมบูรณ์แบบที่สุดหากมองในแง่ของภาพยนตร์อย่างไม่ต้องสงสัย โดยเฉือนชนะ The Empire Strikes Back ไปได้หวุดหวิด
กล่าวโดยสรุป นี่คือหนังบล็อกบัสเตอร์ที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งในประวัติศาสตร์
ขอบคุณภาพจาก FB Star Wars
ติดตามบทความจากภาพยนตร์เรื่องอื่น ๆได้ที่
https://www.facebook.com/thelastseatsontheleft
[Review] Star Wars: The Last Jedi: ที่สุดแห่งสงครามอวกาศ
By มาร์ตี้ แม็คฟราย
*ภาพยนตร์เรื่องนี้จัดอยู่ในหนังจำพวกที่ยิ่งรู้น้อยที่สุดยิ่งดี ดังนั้นหากคิดจะไปดูอยู่ สามารถปิดบทความนี้ไปได้เลย หรือจะอ่านก็ได้ เพราะจะพูดถึงเนื้อเรื่องให้น้อยที่สุด และไม่มีสปอยล์ 100 %
‘The Last Jedi เป็นหนังที่สนุกมาก’
ด้วยความที่เป็นคนคิดค่อนข้างคิดเยอะ ตามปกติแล้วคำพูดแบบนี้จะออกจากปากน้อยมากจริง ๆ แต่ไม่ใช่กับหนังเรื่องนี้ เพราะตลอด 2 ชั่วโมง 32 นาที หนังเต็มไปด้วยองค์ประกอบที่หนังบล็อกบัสเตอร์ชั้นดีควรจะมีครบถ้วนทุกประการอย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง ไม่ว่าจะแอ็คชั่น ลุ้นระทึก ซาบซึ้ง และตลก
นี่คือหนังที่คุณจะไม่มีทางรู้บทสรุป
หลังจากปล่อยทั้งชื่อเรื่อง ตัวอย่างหนัง และภาพต่าง ๆ ให้แฟน ๆ และคนดูคิดไปต่าง ๆ นา ๆ ถึงบทสรุปของปริศนาในเรื่องราวที่เปิดให้เรารู้จักในภาคก่อน ที่เรียกได้ว่าตลอดมา ดิสนีย์และผู้กำกับ ไรอัน จอห์นสัน พยายามปั่นประสาทแฟน ๆ ให้คิดเป็นตุเป็นตะไปเอง
นั่นก็เพราะทางสตูดิโอและผู้กำกับรู้ดีว่า ของจริงในหนังมันมีอะไรมากกว่านั้นเยอะ ซึ่งเป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายไปไกลจนไม่สามารถคาดถึง ไม่ใช่แค่ไคลแมกซ์หรือเฉพาะหนังบางช่วง แต่มีอยู่ตลอดทั้งเรื่อง ให้คุณอ้าปากค้าง อุทาน และประหลาดใจแน่นอน จึงเป็นเหตุผลให้ทุกคนควรหลบสปอยล์ให้ดี และการเข้าไปดูหนังเรื่องนี้โดยที่ไม่รู้อะไรเลย คือเรื่องที่ควรทำอย่างที่สุด
ไรอัน จอห์นสัน
เชื่อว่านาทีนี้ ไรอัน จอห์นสัน คือผู้กำกับที่จะเข้าไปอยู่ในใจแฟน ๆ สตาร์วอร์สทุกคนไปแล้ว จากในภาคที่แล้วผู้กำกับคือ เจ.เจ แอบรัมส์ มาในภาคนี้ได้จอห์นสันเข้ามารับช่วงต่อโดยการรับหน้าที่ทั้งเขียนบทและกำกับ โดยแบกความกดดันในฐานะภาคที่สองของไตรภาค 7-9 โดยไม่สามารถเลี่ยงที่จะถูกนำไปเปรียบเทียบกับ The Empire Strikes Back อันเป็นภาคที่สองของไตรภาค 4-6 ซึ่งหลายคนยกให้เป็น Star Wars ภาคที่ดีที่สุดอย่างเป็นเอกฉันท์
แต่สิ่งที่จอห์นสันทำให้ทุกคนเห็น คือภาพยนตร์ที่สมบูรณ์อย่างยิ่ง ทั้งในแง่บทภาพยนตร์ที่เต็มไปด้วยลูกล่อลูกชน ฉลาด และขับเคลื่อนไปข้างหน้าตลอดเวลา ประกอบกับฝีมือการกำกับอันเด็ดขาดให้ทุกฉากมีความสำคัญ มีพลัง และส่งผลต่ออารมณ์คนดูอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการแอ็คชั่นสู้รบบนอวกาศ ฉากขับยานต่อสู้ จอห์นสันก็สามารถทำออกมาได้สนุก ตื่นเต้น มีพลังสูง จนสามารถยกให้หนังภาคนี้มีฉากสงครามในอวกาศที่ดีที่สุดในแฟรนไชส์ได้เลยจริง ๆ
ในส่วนของบทภาพยนตร์ที่ตัวจอห์นสันเป็นคนเขียนด้วยตนเองคนเดียว เขาก็ได้แสดงศักยภาพของความ ‘เนิร์ด’ ออกมาอย่างลงตัว กล่าวคือจอห์นสันได้ผสานทั้งความแปลกใหม่ เรื่องราวใหม่ ตัวละครและความเชื่อใหม่ที่สร้างขึ้นมา ผสานกับรูปแบบของเก่า ที่เหล่าแฟน ๆ เดนตายต้องจำได้ และรู้สึกถวิลหาด้วยความคิดถึงได้อย่างกลมกล่อมกำลังดี และแน่นอน ฝีมือการเล่าเรื่องที่พลิกผันกลับหัวกลับหางอันน่าประหลาดใจในเรื่อง จอห์นสันได้โชว์ของในจุดนี้ได้ถึงพริกถึงขิงเป็นที่สุด
ที่สุดแล้ว ไรอัน จอห์นสัน จะกลายเป็นตัวอย่างสำคัญในวงการฮอลลีวูดอีกคน ในกรณีที่เป็นผู้กำกับสายอินดี้ ที่ไม่เคยจับหนังฟอร์มใหญ่มาก่อนเลย มารับหน้าที่อันแสนกดดันนี้ เพราะผลงานที่ออกมานั้น เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบที่สุดแล้ว
Say Goodbye Star Wars by George Lucas
หากภาค The Force Awakens คือการปูพื้นฐานให้แฟน ๆ ได้ระลึกถึงอารมณ์หนังเวอร์ชั่นเก่าที่หายไปกว่า 32 ปีนับจาก Return of the Jedi และเป็นการเปิดตัวละครและเรื่องราวใหม่ที่จบลงเพื่อสานต่อมากกว่าที่จะสร้างความแปลกใหม่
The Last Jedi ก็คือจุดเริ่มต้นของการสร้างเรื่องราวใหม่ ที่จะเปลี่ยนเส้นเรื่องในแฟรนไชส์ที่จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
เพราะในภาคนี้คือก้าวเข้าสู่ Star Wars ยุคใหม่ ที่ผู้สร้างคงคิดตรงกันแล้วว่าถึงเวลาที่ต้องปล่อยให้เส้นเรื่อง Star Wars ในแบบ จอร์จ ลูคัส กลายเป็นอดีต และก้าวพ้นขีดจำกัดในเรื่องราวและความเชื่อเดิมได้แล้ว เพื่อให้แฟรนไชส์สามารถเดินได้ต่อไปตามกาลเวลาที่พัดผ่านมากว่า 40 เต็ม นับตั้งแต่ภาค A New Hope เข้าฉายในปี 1977 ... สู่ยุคใหม่ของ Star Wars เสียที
จนทำให้ The Last Jedi สามารถก้าวขึ้นมาเป็นหนัง Star Wars ภาคที่สมบูรณ์แบบที่สุดหากมองในแง่ของภาพยนตร์อย่างไม่ต้องสงสัย โดยเฉือนชนะ The Empire Strikes Back ไปได้หวุดหวิด
กล่าวโดยสรุป นี่คือหนังบล็อกบัสเตอร์ที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งในประวัติศาสตร์
ขอบคุณภาพจาก FB Star Wars
ติดตามบทความจากภาพยนตร์เรื่องอื่น ๆได้ที่ https://www.facebook.com/thelastseatsontheleft