เชื่อว่าแทบทุกคนที่มีรถยนต์ไว้ในครอบครองต้องรู้จัก พ.ร.บ. รถยนต์ แน่นอนเพราะเป็นการประกันรถยนต์ภาคบังคับ ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ ที่ทุกคนหากนำรถยนต์ไปต่อภาษีประจำปีจะต้องมีประกอบเพื่อขอต่อภาษีทุกคัน โดยหากรถยนต์ของเราไม่มี พ.ร.บ. มีโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาทเลยนะเออ
หลายคนคงเริ่มตั้งคำถามขึ้นมา พ.ร.บ. ดียังไง ทำไมทุกคนต้องทำด้วยล่ะ พ.ร.บ. รถยนต์ จุดประสงค์หลักๆ ก็เพื่อคุ้มครองตัวบุคคลที่ได้รับผลจากอุบัติเหตุบาดเจ็บหรือเสียชีวิต เพื่อให้ได้รับการรักษาได้อย่างรวดเร็ว โดยหากเกิดเหตุขึ้น พ.ร.บ. จะเป็นสิ่งแรกที่ใช้ในการเบิกค่ารักษาพยาบาล ไม่ว่าเราจะเป็นฝ่ายถูกหรือผิดก็ตาม (ไม่รวมรถยนต์และทรัพย์สินที่เสียหายนะจุดนี้) โดยจะคุ้มครองทั้งคู่กรณีและผู้เอาประกันภัยในรูปแบบของเงินชดเชย และค่ารักษาพยาบาลทันทีที่เกิดเหตุ และเป็นหลักประกันให้โรงพยาบาลให้ความช่วยเหลือคนเจ็บว่า จะได้รับค่ารักษาอย่างแน่นอน โดยเงินช่วยเหลือจะแบ่งเป็น
ค่าเสียหายเบื้องต้น (กรณีนี้ไม่ต้องรอว่าถูกหรือผิด) โดยจ่ายภายใน 7 วัน
กรณีบาดเจ็บ จ่ายค่ารักษาพยาบาล สูงสุดไม่เกิน 30,000 บาท/คน
กรณีเสียชีวิต/ทุพพลภาพถาวร/สูญเสียอวัยวะ จ่าย 35,000 บาท/คน
หากสถานการณ์เลวร้ายเกิดทั้ง 2 กรณี จะจ่ายรวมกันแล้วไม่เกิน 65,000 บาท
ค่าสินไหมทดแทน หลังจากพิสูจน์ผิด-ถูกแล้ว (โดยยอดจะรวมกับค่าเสียหายเบื้องต้น)
กรณีบาดเจ็บ จ่ายค่ารักษาพยาบาล สูงสุดไม่เกิน 80,000 บาท/คน
กรณีเสียชีวิต/ทุพพลภาพถาวร จ่าย 300,000 บาท/คน
กรณีสูญเสียอวัยวะ (เป็นไปตามเงื่อนไขตามอัตราที่กำหนด) ขึ้นอยู่กับกรณี จ่าย 200,000 - 300,000 บาท/คน
กรณีนอนรักษาตัวในโรงพยาบาล (ผู้ป่วยใน) จ่ายค่าชดเชย 200 บาท / วัน สูงสุดไม่เกิน 20 วัน
*ข้อนี้สำคัญครับเพราะถ้าเราเป็นฝ่ายผิดจะไม่ได้รับความคุ้มครองในส่วนนี้ครับ* แต่ถ้าคนที่ได้รับบาดเจ็บเป็นผู้โดยสาร หากรถที่ผู้ประสบภัยโดยสารมาด้วยนั้นเป็นฝ่ายผิด และมีการนอนรักษาตัว ในโรงพยาบาล 7 วัน บริษัทประกันภัยจะต้องจ่ายค่าชดเชยรายวันให้ จำนวน 1,400 บาท (200 บาท * 7 วัน) นะครับ
ถ้าหากรถที่มาชนเราไม่มี พ.ร.บ. ล่ะ จริงๆ แล้วเราก็สามารถติดต่อ “กองทุนทดแทนผู้ประสบภัย” ที่จัดตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 2535 เพื่อดูแลค่ารักษาเบื้องต้นได้เลยครับ เช่นกรณีถูกชนแล้วหนี ก็จะได้รับเงินช่วยเหลือคล้ายกับการได้รับค่าเสียหายเบื้องต้น แต่จะได้จากกองทุนทดแทนผู้ประสบภัย แต่ถ้าชนแล้วไม่หนีล่ะ แต่ก็ไม่มี พ.ร.บ. เช่นกันนะ เจ้าของรถต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาล หรือถ้าเสียชีวิตต้องรับผิดชอบค่าปลงศพ อย่างน้อยต้องไม่ต่ำกว่าจำนวนที่กฎหมายกำหนดไว้ (กรณีบาดเจ็บเท่าที่รักษาจริงจะไม่เกิน 30,000 บาท หากเสียชีวิต 35,000 บาท )
พอฟังความคุ้มครองแล้วนำไปเทียบกับเบี้ยประกัน ยกตัวอย่าง รถยนต์นั่งไม่เกิน 7 คน ค่าเบี้ยจะอยู่ที่ประมาณ 600 บาทเท่านั้น ถือว่าคุ้มค่ามากเลยนะครับ ยิ่งสำหรับคนที่ทำประกันแบบสมัครใจด้วยแล้วยิ่งทำให้วงเงินคุ้มครองยิ่งมากขึ้นตามไปด้วย สำหรับการเบิกจ่ายเพื่อนๆสามารถเข้าไปดูรายละเอียดกันได้ที่
http://www.rvp.co.th/makingaclaim.php ได้เลยครับ
K-Expert ขออวยพรให้ทุกคนไม่ต้องใช้ พ.ร.บ. รถยนต์ กันนะครับ แต่ถ้าจำเป็นต้องใช้จริงๆ ก็อย่าลืมใช้สิทธิตรงนี้กันด้วย หรือถ้าเพื่อนๆ เคยมีประสบการณ์ในส่วนนี้ก็ร่วมกันแชร์ได้เลยนะครับ
พ.ร.บ. รถยนต์ไม่ใช่มีดี แค่ไว้ต่อภาษี
เชื่อว่าแทบทุกคนที่มีรถยนต์ไว้ในครอบครองต้องรู้จัก พ.ร.บ. รถยนต์ แน่นอนเพราะเป็นการประกันรถยนต์ภาคบังคับ ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ ที่ทุกคนหากนำรถยนต์ไปต่อภาษีประจำปีจะต้องมีประกอบเพื่อขอต่อภาษีทุกคัน โดยหากรถยนต์ของเราไม่มี พ.ร.บ. มีโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาทเลยนะเออ
หลายคนคงเริ่มตั้งคำถามขึ้นมา พ.ร.บ. ดียังไง ทำไมทุกคนต้องทำด้วยล่ะ พ.ร.บ. รถยนต์ จุดประสงค์หลักๆ ก็เพื่อคุ้มครองตัวบุคคลที่ได้รับผลจากอุบัติเหตุบาดเจ็บหรือเสียชีวิต เพื่อให้ได้รับการรักษาได้อย่างรวดเร็ว โดยหากเกิดเหตุขึ้น พ.ร.บ. จะเป็นสิ่งแรกที่ใช้ในการเบิกค่ารักษาพยาบาล ไม่ว่าเราจะเป็นฝ่ายถูกหรือผิดก็ตาม (ไม่รวมรถยนต์และทรัพย์สินที่เสียหายนะจุดนี้) โดยจะคุ้มครองทั้งคู่กรณีและผู้เอาประกันภัยในรูปแบบของเงินชดเชย และค่ารักษาพยาบาลทันทีที่เกิดเหตุ และเป็นหลักประกันให้โรงพยาบาลให้ความช่วยเหลือคนเจ็บว่า จะได้รับค่ารักษาอย่างแน่นอน โดยเงินช่วยเหลือจะแบ่งเป็น
ค่าเสียหายเบื้องต้น (กรณีนี้ไม่ต้องรอว่าถูกหรือผิด) โดยจ่ายภายใน 7 วัน
กรณีบาดเจ็บ จ่ายค่ารักษาพยาบาล สูงสุดไม่เกิน 30,000 บาท/คน
กรณีเสียชีวิต/ทุพพลภาพถาวร/สูญเสียอวัยวะ จ่าย 35,000 บาท/คน
หากสถานการณ์เลวร้ายเกิดทั้ง 2 กรณี จะจ่ายรวมกันแล้วไม่เกิน 65,000 บาท
ค่าสินไหมทดแทน หลังจากพิสูจน์ผิด-ถูกแล้ว (โดยยอดจะรวมกับค่าเสียหายเบื้องต้น)
กรณีบาดเจ็บ จ่ายค่ารักษาพยาบาล สูงสุดไม่เกิน 80,000 บาท/คน
กรณีเสียชีวิต/ทุพพลภาพถาวร จ่าย 300,000 บาท/คน
กรณีสูญเสียอวัยวะ (เป็นไปตามเงื่อนไขตามอัตราที่กำหนด) ขึ้นอยู่กับกรณี จ่าย 200,000 - 300,000 บาท/คน
กรณีนอนรักษาตัวในโรงพยาบาล (ผู้ป่วยใน) จ่ายค่าชดเชย 200 บาท / วัน สูงสุดไม่เกิน 20 วัน
*ข้อนี้สำคัญครับเพราะถ้าเราเป็นฝ่ายผิดจะไม่ได้รับความคุ้มครองในส่วนนี้ครับ* แต่ถ้าคนที่ได้รับบาดเจ็บเป็นผู้โดยสาร หากรถที่ผู้ประสบภัยโดยสารมาด้วยนั้นเป็นฝ่ายผิด และมีการนอนรักษาตัว ในโรงพยาบาล 7 วัน บริษัทประกันภัยจะต้องจ่ายค่าชดเชยรายวันให้ จำนวน 1,400 บาท (200 บาท * 7 วัน) นะครับ
ถ้าหากรถที่มาชนเราไม่มี พ.ร.บ. ล่ะ จริงๆ แล้วเราก็สามารถติดต่อ “กองทุนทดแทนผู้ประสบภัย” ที่จัดตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 2535 เพื่อดูแลค่ารักษาเบื้องต้นได้เลยครับ เช่นกรณีถูกชนแล้วหนี ก็จะได้รับเงินช่วยเหลือคล้ายกับการได้รับค่าเสียหายเบื้องต้น แต่จะได้จากกองทุนทดแทนผู้ประสบภัย แต่ถ้าชนแล้วไม่หนีล่ะ แต่ก็ไม่มี พ.ร.บ. เช่นกันนะ เจ้าของรถต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาล หรือถ้าเสียชีวิตต้องรับผิดชอบค่าปลงศพ อย่างน้อยต้องไม่ต่ำกว่าจำนวนที่กฎหมายกำหนดไว้ (กรณีบาดเจ็บเท่าที่รักษาจริงจะไม่เกิน 30,000 บาท หากเสียชีวิต 35,000 บาท )
พอฟังความคุ้มครองแล้วนำไปเทียบกับเบี้ยประกัน ยกตัวอย่าง รถยนต์นั่งไม่เกิน 7 คน ค่าเบี้ยจะอยู่ที่ประมาณ 600 บาทเท่านั้น ถือว่าคุ้มค่ามากเลยนะครับ ยิ่งสำหรับคนที่ทำประกันแบบสมัครใจด้วยแล้วยิ่งทำให้วงเงินคุ้มครองยิ่งมากขึ้นตามไปด้วย สำหรับการเบิกจ่ายเพื่อนๆสามารถเข้าไปดูรายละเอียดกันได้ที่ http://www.rvp.co.th/makingaclaim.php ได้เลยครับ
K-Expert ขออวยพรให้ทุกคนไม่ต้องใช้ พ.ร.บ. รถยนต์ กันนะครับ แต่ถ้าจำเป็นต้องใช้จริงๆ ก็อย่าลืมใช้สิทธิตรงนี้กันด้วย หรือถ้าเพื่อนๆ เคยมีประสบการณ์ในส่วนนี้ก็ร่วมกันแชร์ได้เลยนะครับ