คำเตือนบทความต่อไปนี้ไม่สามรถหาเเหล่งอ้างอิงที่ถูกต้อง 100 เปอร์เซ็นได้โปรดใช้วิจารณญาณ
(การระบุจำเเนกจะอ้างอิงตามโมเดลหลัก)
ประวัติเต็ม
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B9%87%E0%B8%A11_%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%A3%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B9%8C
หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 1 จนถึงปลายทศวรรษที่ 1920 ถึงกลางทศวรรษที่ 1930 กองทัพสหรัฐต้องการปืนไรเฟิลประจำการในกองทหารราบแบบใหม่ที่ใช้ระบบปฏิบัติการแบบ semi Auto เพื่อหนีให้พ้นข้อเสียเปรียบของปืนไรเฟิลระบบ bolt action ที่ถูกมองว่าล้าสมัยไปแล้วในสหรัฐในขณะที่ประเทศมหาอำนาจด้วยกันในสมัยนั้นยังคงใช้ปืนแบบ bolt action กันอยู่แต่ก็มีโครงการสร้างปืนไรเฟิลแบบ semi Auto ขึ้นมาเหมือนกันแต่ไม่ได้จริงจังและสนใจเท่ากับที่สหรัฐทำปืนไรเฟิล เอ็ม1 กาแรนด์ ออกแบบโดย จอห์น ซี กาแรนด์ (John C. Garand) ชาวแคนาดา เชื้อสายฝรั่งเศสใช้ระบบปฏิบัติการแบบ Gas-operated, rotating bolt บรรจุกระสุนด้วยคลิป 8 นัดเมื่อกระสุนหมดคลิปหนีบกระสุนจะเด้งออกมาจากตัวปืนโดยอัตโนมัติเป็นเสียงดัง ปิ๊ง!!! ซึ่งเป็นการบอกศัตรูให้รู้แล้วว่าปืนกระสุนหมดแต่ในเวลาต่อมาทหาร GI ก็ได้เรียนรู้ที่จะเปลี่ยนเสียงปิ๊ง!!!มรณะนี้ให้กลายเป็นข้อได้เปรียบด้วยการทำให้เกิดเสียงปิ๊ง!!!ขึ้นในปืนเมื่อศัตรูโผล่หัวออกมาเพื่อยิงทหาร GI อีกคนนึงที่รออยู่ก็ยิงให้มันให้ร่วงทันที
ปืนชนิดนี้มีรุ่นต่างๆอยู่ไม่มากแต่หลักหลักก็มีดังนี้
1. เอ็ม1 กาแรนด์ -.30-06 Springfield
2. T26 Tanker กาแรนด์ คาร์ไบน์- .30-06 Springfield
3. เอ็ม1C Sniper -.30-06 Springfield
4.เอ็ม1D Sniper -.30-06 Springfield
ข้อได้เปรียบมหาศาลของทหารสหรัฐในสงครามโลกครั้งที่ 2 กล่าวได้ว่าเกิดจากปืนไรเฟิลก็ไม่ผิดนะเพราะระบบปฏิบัติการแบบ semi Auto นั้นถือเป็นของค่อนข้างจะใหม่มากในตอนนั้นทหารอเมริกัน 1 คนมีกระสุน 8 นัดในพื้นที่พร้อมจะยิงในขณะที่ทหารฝ่ายอักษะมีกระสุนแค่หนึ่งนัดเท่านั้นในการที่จะยิงเพราะปืนพวกเขาใช้นั้นส่วนใหญ่เป็นระบบ bolt action แบบเก่าซึ่งทำให้ต้องทำการขัดกลอนเพื่อบรรจุกระสุนใหม่นายพลแพตตันพูดถึงเอ็ม1 กาแรนด์ว่า
"the greatest battle implement ever devised"
อุปกรณ์พิเศษ M7 Rifle Grenade Launcher
กระสุน
M9A1 22mm Rifle Grenade
M17 22mm Rifle Grenade
ญี่ปุ่นในช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ยึดปืนกาแรนด์บางส่วนมาจากแนวหน้าในแปซิฟิกและฟิลิปปินส์จากนั้นก็นำกลับไปถอดประกอบและศึกษาดูพวกเขามองเห็นถึงความได้เปรียบมหาศาลของปืนไรเฟิลกาแรนด์พวกเขาจึงทำการสร้าง Type 5 เลียนเเบบแบบระบบปฏิบัติการของปืนกาแรนด์แต่ปืนที่พวกเขาสร้างขึ้นมานั้นไม่มีความเสถียรในเรื่องของการใช้งานปัจจุบันกลายเป็นของหายากมากและซื้อขายกันในหมู่นักสะสมในราคาที่สูงลิบ
Type 5- 7.7x58mm บรรจุกระสุน 10 นัด
หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ปืนเอ็ม1 กาแรนด์ก็ได้ถูกนำไปเป็นต้นแบบในการพัฒนาปืนเล็กยาวชนิดใหม่ซึ่งนำไปสู่การสร้าง M14
Springfield T20E2 ใช้ซองกระสุน 20 นัดของ BAR โหมดการยิง semi-auto/full auto
Beretta BM59 อิตาลี copy เอ็ม1 กาแรนด์ 7.62x51 mm NATO ซองกระสุน 20 นัด โหมดการยิง semi-auto/full auto
ประจำการในกองทัพอิตาลี 1959-1990
สวัสดีครับ
สารานุกรมปืนตอนที่ 62 เปิดตระกูลปืนไรเฟิล เอ็ม1 กาแรนด์
(การระบุจำเเนกจะอ้างอิงตามโมเดลหลัก)
ประวัติเต็ม
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 1 จนถึงปลายทศวรรษที่ 1920 ถึงกลางทศวรรษที่ 1930 กองทัพสหรัฐต้องการปืนไรเฟิลประจำการในกองทหารราบแบบใหม่ที่ใช้ระบบปฏิบัติการแบบ semi Auto เพื่อหนีให้พ้นข้อเสียเปรียบของปืนไรเฟิลระบบ bolt action ที่ถูกมองว่าล้าสมัยไปแล้วในสหรัฐในขณะที่ประเทศมหาอำนาจด้วยกันในสมัยนั้นยังคงใช้ปืนแบบ bolt action กันอยู่แต่ก็มีโครงการสร้างปืนไรเฟิลแบบ semi Auto ขึ้นมาเหมือนกันแต่ไม่ได้จริงจังและสนใจเท่ากับที่สหรัฐทำปืนไรเฟิล เอ็ม1 กาแรนด์ ออกแบบโดย จอห์น ซี กาแรนด์ (John C. Garand) ชาวแคนาดา เชื้อสายฝรั่งเศสใช้ระบบปฏิบัติการแบบ Gas-operated, rotating bolt บรรจุกระสุนด้วยคลิป 8 นัดเมื่อกระสุนหมดคลิปหนีบกระสุนจะเด้งออกมาจากตัวปืนโดยอัตโนมัติเป็นเสียงดัง ปิ๊ง!!! ซึ่งเป็นการบอกศัตรูให้รู้แล้วว่าปืนกระสุนหมดแต่ในเวลาต่อมาทหาร GI ก็ได้เรียนรู้ที่จะเปลี่ยนเสียงปิ๊ง!!!มรณะนี้ให้กลายเป็นข้อได้เปรียบด้วยการทำให้เกิดเสียงปิ๊ง!!!ขึ้นในปืนเมื่อศัตรูโผล่หัวออกมาเพื่อยิงทหาร GI อีกคนนึงที่รออยู่ก็ยิงให้มันให้ร่วงทันที
ปืนชนิดนี้มีรุ่นต่างๆอยู่ไม่มากแต่หลักหลักก็มีดังนี้
1. เอ็ม1 กาแรนด์ -.30-06 Springfield
2. T26 Tanker กาแรนด์ คาร์ไบน์- .30-06 Springfield
3. เอ็ม1C Sniper -.30-06 Springfield
4.เอ็ม1D Sniper -.30-06 Springfield
ข้อได้เปรียบมหาศาลของทหารสหรัฐในสงครามโลกครั้งที่ 2 กล่าวได้ว่าเกิดจากปืนไรเฟิลก็ไม่ผิดนะเพราะระบบปฏิบัติการแบบ semi Auto นั้นถือเป็นของค่อนข้างจะใหม่มากในตอนนั้นทหารอเมริกัน 1 คนมีกระสุน 8 นัดในพื้นที่พร้อมจะยิงในขณะที่ทหารฝ่ายอักษะมีกระสุนแค่หนึ่งนัดเท่านั้นในการที่จะยิงเพราะปืนพวกเขาใช้นั้นส่วนใหญ่เป็นระบบ bolt action แบบเก่าซึ่งทำให้ต้องทำการขัดกลอนเพื่อบรรจุกระสุนใหม่นายพลแพตตันพูดถึงเอ็ม1 กาแรนด์ว่า
อุปกรณ์พิเศษ M7 Rifle Grenade Launcher
กระสุน
M9A1 22mm Rifle Grenade
M17 22mm Rifle Grenade
ญี่ปุ่นในช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ยึดปืนกาแรนด์บางส่วนมาจากแนวหน้าในแปซิฟิกและฟิลิปปินส์จากนั้นก็นำกลับไปถอดประกอบและศึกษาดูพวกเขามองเห็นถึงความได้เปรียบมหาศาลของปืนไรเฟิลกาแรนด์พวกเขาจึงทำการสร้าง Type 5 เลียนเเบบแบบระบบปฏิบัติการของปืนกาแรนด์แต่ปืนที่พวกเขาสร้างขึ้นมานั้นไม่มีความเสถียรในเรื่องของการใช้งานปัจจุบันกลายเป็นของหายากมากและซื้อขายกันในหมู่นักสะสมในราคาที่สูงลิบ
Type 5- 7.7x58mm บรรจุกระสุน 10 นัด
หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ปืนเอ็ม1 กาแรนด์ก็ได้ถูกนำไปเป็นต้นแบบในการพัฒนาปืนเล็กยาวชนิดใหม่ซึ่งนำไปสู่การสร้าง M14
Springfield T20E2 ใช้ซองกระสุน 20 นัดของ BAR โหมดการยิง semi-auto/full auto
Beretta BM59 อิตาลี copy เอ็ม1 กาแรนด์ 7.62x51 mm NATO ซองกระสุน 20 นัด โหมดการยิง semi-auto/full auto
ประจำการในกองทัพอิตาลี 1959-1990