วันนี้ผมไม่ค่อยมีอะไรทำผมเลยคิดว่าจะมาเล่าเรื่องของตัวเองในเชิงบ่นแล้วก็ขอคำแนะนำด้วยครับ
ผมตอนนี้อายุ 25 เพิ่งจะ 25 มาไม่ถึงเดือนครับ ผมจบมหาวิทยาลัยในกรุงเทพเป็นเด็กกรุงเทพ มหาลัยที่ผมจบมาก็เป็นมหาลัยที่มีชื่อเสียงครับมหาวิทยาลัยรัฐ แต่คณะก็ไม่ได้เข้ายากมากครับ พอผมจบมาก็เริ่มทำฟรีแลนซ์ก่อนครับ ขอเหตุผลก็คือผมขี้เกียจตื่นเช้า แล้วก็คิดว่าการทำงานออฟฟิศ เป็นเรื่องของคนแก่ พอย้อนกลับไปคิด ก็ฟังดูเป็นความคิดที่ปัญญาอ่อนมากครับ เพราะพอเริ่มทำฟรีแลนซ์ ได้ประมาณปีกว่ากว่า (ผมพิมพ์ด้วยสิรินะครับมันก็เลยภาษาแปลกแปลก) ก็ค้นพบว่าอาชีพนี้ไม่ค่อยมีความแน่นอนเท่าไหร่แล้วก็ไม่เหมาะกับสไตล์ของผมเพราะว่าผมไม่สามารถแบ่งร่างตัวเองไปรับหลายหลายงานได้ครับคือคนที่จะทำฟรีแลนซ์รุ่ง ผมว่าต้องสามารถแบ่งนู่น แบ่งนี่ได้ครับ อีกอย่างคือผมไม่ชอบอาชีพตัวเองอยู่แล้วผมทำอาชีพตัดต่อวิดีโอครับ ซึ่งก็มีรับงานอื่นบ้างอย่างเช่นกล้องหรือแคสติ้ง แต่หลักๆที่รับก็คือพวกตัดต่อครับ ผมไม่ชอบงานเลย แต่ด้วยความกลัวเสียเชิง ที่คิดว่าจบนิเทศก็ต้องทำงานนิเทศสิถ้าเปลี่ยนสายไปรู้สึกจะสู้คนอื่นไม่ได้แล้วก็ไม่เท่ด้วย ผมก็เลยไม่ได้เปลี่ยนงานซะทีครับ ระหว่างนั้นผมก็เริ่มทำธุรกิจของตัวเองเพราะคิดว่าอยากมีธุรกิจที่เป็นชื่อของตัวเอง คือผมเป็นคนชอบสร้างสรรค์น่ะครับ ผมอยากสร้างอะไรที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์ของตัวเองแล้วประสบความสำเร็จ แต่ธุรกิจที่ว่ามันก็เป็นธุรกิจต๊อกต๋อยนะครับเพราะใช้เงินของตัวเอง
ธุรกิจแรกที่ทำก็คือการขายกีตาร์สำหรับผู้หญิงครับเพราะตอนนั้นคิดว่ามันยังไม่มีใครทำนี่นาก็เลยลองทำดูครับ เงินลงทุนแรกคือซื้อกีตาร์มา 2000 บาทซึ่งต้องการจะประหยัดครับก็เลยซื้อมาแค่ตัวเดียวดูเป็นความคิดที่ไม่เสี่ยงดีครับ แต่ปัญหาก็คือผมพลาดครับผมใช้เงินกับการถ่ายรูป promote กีตาร์ทำ Page จ้างนักร้องมาเล่นดนตรีที่ใช้กีตาร์นั้น แล้วก็ซื้อเลนส์ เช่าที่ถ่ายแบบ ค่าจ้างนางแบบค่าจ้างช่างแต่งหน้า สรุปข่าวนั้นผมหมดไปประมาณ 10,000 กว่ากว่าครับ ถึงทุกวันนี้ซึ่งผ่านมาปีกว่ากว่าแล้ว กีตาร์ตัวนั้นก็ยังขายไม่ได้ครับ ตอนนั้นถือว่าผมทำธุรกิจไม่เป็นครับผมใจป้ำมากไปหน่อยเพราะว่าสมัยมหาลัยผมชอบเจอผู้ใหญ่ที่มากดราคาเด็กผมเลยไม่กดราคาใครเลยครับ แต่ผมก็เริ่มเข้าใจจากตอนนี้ครับว่าทำไมเขาต้องกดราคามันจะได้ไม่ขาดทุน แล้วก็เลนส์ที่ซื้อมาเพราะว่าคิดว่าจะได้ใช้ถ่ายต่อครับแต่ก็ไม่ได้ใช้เลย 4000 กว่าบาทเลนส์ fix 50
กลับมาที่อาชีพผมต่อนะครับ รายได้ของผมประมาณตั้งแต่ 20,000 ถึง 25,000 ครับ ตอนนั้นบังเอิญได้งานที่เงินดีครับ 25,000 ติดกันตั้งสี่เดือน นั่นก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ผมไม่ยอมทำงานประจำครับ แต่ที่ยอมมาทำประจำทีหลังก็เพราะว่ามีอยู่เดือนนึงได้ค่าจ้างแค่ 10,000 เดียวครับ ซึ่งตอนแรกเค้าจะให้ 4,000 แต่ว่าเค้าสงสาร ผมก็เลยคิดว่าไม่ไหวไม่ได้แล้ว อันตรายเกินไปแถมมันก็เหนื่อยในการหางานนะครับ คือคาแรกเตอร์ผมมันไม่ใช่คนที่แบบชอบโพสต์ว่าตัวเองทำงานอะไรอยู่แล้วก็ใส่แคปชั่นว่ามีอะไรจ้างได้แบบมันโพสต์ขายตัวเองครับ คือผมไม่เก่งแบบนั้นน่ะครับ แล้วก็ผมเป็นคนที่ขี้เกียจคุยกับชาวบ้านน่ะครับไม่ค่อยชอบรู้จักคนใหม่ใหม่มันก็เลยไม่ค่อยเหมาะกับผมเท่าไหร่ที่จะต้องอาศัยคอนเน็คชั่นส์
ตอนนั้นมีเงินเก็บอยู่ประมาณ 65,000 ก็เลยมีความฝันว่าอยากลงมาทำเต็มตัวผมอยากทำ YouTube เต็มตัวอะไรแบบนี้อ่ะครับอยากเป็น creator ก็เลยออกมาทำเต็มตัวครับเพราะคิดว่ามีเงินเก็บอยู่ประมาณหนึ่งเงินพวกนี้ก็ไม่ได้ใช้ทำอะไรหรอกครับก็เอามาใช้ให้เราใช้ชีวิตอยู่ได้โดยไม่ต้องทำงานนั่นแหละครับ แต่มันก็ไม่เวิร์คครับผมไม่รู้ว่าผมทำอะไรผิดแต่ผมก็คงไม่มีความสามารถจริงๆ เวลาผ่านไปหลายเดือนเหมือนกันครับผมก็เห็นว่าเงินมันจะหมดแล้วก็เลยเริ่มสมัครงานครับ เป็นช่วงเวลาที่ เปิดโลกมากครับเพราะว่ามีงานเยอะมากแต่มันก็ทำให้ผมรู้ว่าปริญญานิเทศเนี่ยมันค่อนข้างทำอะไรไม่ค่อยได้เท่าไหร่ครับ มันไม่ได้เฉพาะทางแบบปริญญาวิศวะอะไรแบบนั้นน่ะครับ มันก็ทำให้ผมเข้าใจเรื่องจำนวนเด็กที่จบออกมาแล้วตกงาน เพราะว่าจำนวนใบปริญญามันล้นตลาด
ผมใช้เวลาศึกษาเว็บหางานอยู่นานครับว่าจะต้องทำยังไง มีงานแบบไหนบ้าง งานที่ผมอยากทำมาตลอดคืองานเกี่ยวกับด้านการตลาดครับหรือไม่ก็เป็นพวกการแปลการใช้ภาษาอังกฤษเพราะว่าผมนึกว่าถ้าภาษาอังกฤษดีอาจจะเรียกเงินสูงๆ และทำงานสบายสบายได้ครับ หลังจากที่คิดโน่นคิดนี่อยู่หลายตลบ เช่นทำงานใกล้ใกล้ที่พักเงินเดือนน้อยๆ แล้วลุยทำของตัวเองต่อหรือว่าทำงานที่สามารถมี career path ได้เผื่อว่าธุรกิจเราจะไม่เวิร์ค ผมก็เริ่มสมัครงานครับใช้เวลาผ่านพ้นอะไรหลายอย่างเหมือนกันครับการสัมภาษณ์ไม่ผ่านเรียนรู้การสัมภาษณ์ได้เจองานหลายหลายแบบที่ได้ไปสัมภาษณ์มา ผมก็ไปสอบโทอิคมาด้วย ผมได้ 850 แบบไม่ได้อ่านเลยครับซึ่งผมคิดว่าผมเก่งมากในตอนนั้นแต่จริงๆแล้วมันก็ไม่มีอะไรและภาษาอังกฤษก็ไม่ได้เรียกเงินได้มากมายถ้าเราไม่ได้ใช้เป็นเครื่องมือเสริมถ้าเราใช้เป็นเครื่องมือหลักมันก็ไม่มีค่าอะไรครับสำหรับที่ผมเจอมานะ ถ้าผมจบวิศวะหรือ Marketing แล้วมีโทอิคไปยื่น ก็อาจจะเรียกเงินเดือนสูงกว่านี้ก็ได้แต่อย่างว่าครับผมเป็นคนที่อยากใช้ความคิดสร้างสรรค์ของตัวเองประกอบอาชีพมันก็เลยมาจบที่นิเทศครับ
สุดท้ายผมก็ได้งานที่ผมชอบมากเป็นงานเกี่ยวกับการทำซับไตเติ้ลครับผมพูดมากกว่านี้ไม่ได้เพราะว่าเดี๋ยวโดนด่า เงินเดือนที่ได้ก็ได้ 20,000 ครับซึ่งตอนแรกนึกว่าพอผ่านโปรแล้วจะขึ้นแต่มันเหมือนจะไม่ขึ้นครับตอนนี้เข้าเดือนที่สี่ยังไม่รู้ว่าเงินจะเท่าไหร่ไม่ได้ถาม พอได้งานใหม่ผมก็ลงทุนกับธุรกิจใหม่ของผมครับเป็นร้านเสื้อยืดแบรนด์เดิมครับแบรนด์เดียวกับร้านกีตาร์ YouTube ซึ่งผมจะไม่พูดชื่อแบรนด์นะครับเพราะเดี๋ยวจะถือเป็นการโฆษณา ผมก็ลงทุนไปเดือนแรก 4880 เดือนที่สองประมาณ 2000 เดือนที่สามก็ประมาณ 2000 ครับ เดือนแรกเป็นการทำเสื้อออกมา 24 ตัวเพื่อที่จะทำพรีออเดอร์ครับอีกสองเดือนคือจ้างให้ เน็ตไอดอลใน Instagram รีวิวเสื้อให้ครับ ซึ่งตอนนี้ผ่านมาเดือนที่สี่แล้ว เสื้อยังขายไม่ได้สักตัวเลยครับ แล้วก็เรื่องงานที่ผมกลัวตลอดว่าจะสามารถมี career path ที่ดีได้ไหม คือผมชอบงานนี้มากครับสังคมดีการเดินทางดีอาหารการกินอยู่ใกล้ตลาด ผมไม่คิดจะออกหรอกครับ แต่ก็คิดเผื่อเอาไว้เพราะตอนนี้มันเป็นสัญญาหนึ่งปีมันไม่ใช่ลูกจ้างประจำครับ
เออแล้วผมก็สงสัยครับว่าสมัยนี้เค้ามีสัญญาที่เป็นรายปีกันหรอครับเพื่อนผมที่ทำบริษัทของตัวเองอยู่ก็บอกว่าเดี๋ยวนี้พวกฝรั่งก็ชอบจ้างเป็นรายปีเพื่อเลี่ยงกฎหมายต่างๆนาๆแถมสามารถเอาคนออกได้โดยไม่ต้องจ่ายชดเชยด้วยหรือว่าผมกำลังโดนเอาเปรียบอยู่ครับ นั่นก็เป็นอีกเหตุผลที่ผมไม่ค่อยกล้าถามอะไรที่ออฟฟิศครับเพราะว่าระยะสัญญามันสั้น ตอนที่สมัครในเว็บเค้าก็ไม่เห็นบอกเลยว่าเป็นสัญญาหนึ่งปีผมก็มารู้ตอนสอบเสร็จสัมภาษณ์เสร็จสอบด่านสองเสร็จคือได้เข้ามานั่งน่ะครับถึงจะมารู้ว่าอ้าวสัญญาหนึ่งปี เซ็งมากเลยจะขอขึ้นเงินเดือนก็แปลกๆ จะทำอะไรก็แปลกๆ นั่นก็เป็นเหตุผลที่ผมรู้สึกต้องหาทางฉุกเฉินหรือแผนสำรองเผื่อเอาไว้ตลอดเวลาครับ (แต่สังคมในออฟฟิศผมดีนะครับที่พูดถึงนี้หมายถึงระบบของบริษัท
ผมก็แค่หวังเอาไว้ว่าจะมีธุรกิจเสริมที่ผมทำอยู่มันเวิร์คสักที ผมก็อยากซื้อคอนโดแบบคนอื่นบ้าง แล้วก็อยากมีงานที่เงินเยอะเยอะ แต่ติดตรงที่ว่าผมก็ชอบงานนี้มากจนไม่อยากเปลี่ยนแต่ก็ไม่รู้ว่าในอนาคตผมจะสามารถเรียกค่าตัวสูงกว่านี้ได้ไหม รายจ่ายผมก็ไม่ค่อยมีอะไรครับเพราะผมอยู่คอนโดที่พ่อซื้อไว้ พ่อออกค่าไฟให้ ผมก็มีจ่ายค่าน้ำค่าส่วนกลางค่าอินเตอร์เน็ตค่ามือถือแล้วก็ผมขึ้นรถไฟฟ้า อ๋อแล้วก็มีค่าเน็ตฟลิกซ์ ผมใช้เงินเดือนนึงรวมกับพวกค่าบิลนี้แล้วอยู่ที่ประมาณ คือกินอยู่ เดินทางเนี่ยใช้วันละ 220 บาทครับ ตกเดือนนึงก็จะประมาณ 7000 แล้วก็มีพวกค่าบิลใช่ไหมมันก็จะมีวันที่ออกไปกินกับเพื่อนด้วยรวมรวมแล้วเนี่ยไม่ถึง 10,000 ครับ ก็พยามเก็บเงิน
แล้วก็มีการลงทุนก็ตั้งใจว่าเดือนนึงเนี่ยจะไม่เกิน 2000 แล้วก็ช่วงนี้กำลังหัดภาษาญี่ปุ่นอยู่ครับตอนนี้นับหนึ่งถึง 10 ได้แล้ว คือผมก็ไม่รู้ว่าผมมาเล่าทำไมแต่ว่าช่วงนี้ผมอ่านพันทิปทุกเช้าเลยครับตอนขึ้นรถไฟฟ้า ตอนนี้ไม่มีอะไรทำก็เลยคิดว่าลองโพสดูดีกว่า เผื่อใครมีไอเดียอะไรดีดี แล้วก็อย่าด่าผมนะครับผมขี้เกียจฟัง
ความฝันของผมตอนนี้ก็คือทำงานนี้ไปเรื่อยเรื่อยแต่มีอาชีพเสริมที่ได้เงินเยอะกว่าเงินเดือนให้มันดุลกันไว้น่ะครับ เพราะผมชอบงานนี้ได้ดูหนังทุกวันเลย แบบอยากได้เงินจากธุรกิจของตัวเองจนไม่เดือดร้อนเรื่องเงินเดือนว่าจะขึ้นหรือไม่ขึ้นหรือจะไล่ออกหรือเปล่าอะไรแบบนี้อ่ะครับ
คือตอนนี้พ่ออายุ 59 แล้ว ปีหน้าเกษียณ ก็เลยคิดว่าใกล้ถึงเวลาแห่งความจริงแล้วครับ เครียดจัง
มาแชร์เรื่องชีวิตที่ตั้งไข่แล้วล้มของตัวเองกันครับ
ผมตอนนี้อายุ 25 เพิ่งจะ 25 มาไม่ถึงเดือนครับ ผมจบมหาวิทยาลัยในกรุงเทพเป็นเด็กกรุงเทพ มหาลัยที่ผมจบมาก็เป็นมหาลัยที่มีชื่อเสียงครับมหาวิทยาลัยรัฐ แต่คณะก็ไม่ได้เข้ายากมากครับ พอผมจบมาก็เริ่มทำฟรีแลนซ์ก่อนครับ ขอเหตุผลก็คือผมขี้เกียจตื่นเช้า แล้วก็คิดว่าการทำงานออฟฟิศ เป็นเรื่องของคนแก่ พอย้อนกลับไปคิด ก็ฟังดูเป็นความคิดที่ปัญญาอ่อนมากครับ เพราะพอเริ่มทำฟรีแลนซ์ ได้ประมาณปีกว่ากว่า (ผมพิมพ์ด้วยสิรินะครับมันก็เลยภาษาแปลกแปลก) ก็ค้นพบว่าอาชีพนี้ไม่ค่อยมีความแน่นอนเท่าไหร่แล้วก็ไม่เหมาะกับสไตล์ของผมเพราะว่าผมไม่สามารถแบ่งร่างตัวเองไปรับหลายหลายงานได้ครับคือคนที่จะทำฟรีแลนซ์รุ่ง ผมว่าต้องสามารถแบ่งนู่น แบ่งนี่ได้ครับ อีกอย่างคือผมไม่ชอบอาชีพตัวเองอยู่แล้วผมทำอาชีพตัดต่อวิดีโอครับ ซึ่งก็มีรับงานอื่นบ้างอย่างเช่นกล้องหรือแคสติ้ง แต่หลักๆที่รับก็คือพวกตัดต่อครับ ผมไม่ชอบงานเลย แต่ด้วยความกลัวเสียเชิง ที่คิดว่าจบนิเทศก็ต้องทำงานนิเทศสิถ้าเปลี่ยนสายไปรู้สึกจะสู้คนอื่นไม่ได้แล้วก็ไม่เท่ด้วย ผมก็เลยไม่ได้เปลี่ยนงานซะทีครับ ระหว่างนั้นผมก็เริ่มทำธุรกิจของตัวเองเพราะคิดว่าอยากมีธุรกิจที่เป็นชื่อของตัวเอง คือผมเป็นคนชอบสร้างสรรค์น่ะครับ ผมอยากสร้างอะไรที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์ของตัวเองแล้วประสบความสำเร็จ แต่ธุรกิจที่ว่ามันก็เป็นธุรกิจต๊อกต๋อยนะครับเพราะใช้เงินของตัวเอง
ธุรกิจแรกที่ทำก็คือการขายกีตาร์สำหรับผู้หญิงครับเพราะตอนนั้นคิดว่ามันยังไม่มีใครทำนี่นาก็เลยลองทำดูครับ เงินลงทุนแรกคือซื้อกีตาร์มา 2000 บาทซึ่งต้องการจะประหยัดครับก็เลยซื้อมาแค่ตัวเดียวดูเป็นความคิดที่ไม่เสี่ยงดีครับ แต่ปัญหาก็คือผมพลาดครับผมใช้เงินกับการถ่ายรูป promote กีตาร์ทำ Page จ้างนักร้องมาเล่นดนตรีที่ใช้กีตาร์นั้น แล้วก็ซื้อเลนส์ เช่าที่ถ่ายแบบ ค่าจ้างนางแบบค่าจ้างช่างแต่งหน้า สรุปข่าวนั้นผมหมดไปประมาณ 10,000 กว่ากว่าครับ ถึงทุกวันนี้ซึ่งผ่านมาปีกว่ากว่าแล้ว กีตาร์ตัวนั้นก็ยังขายไม่ได้ครับ ตอนนั้นถือว่าผมทำธุรกิจไม่เป็นครับผมใจป้ำมากไปหน่อยเพราะว่าสมัยมหาลัยผมชอบเจอผู้ใหญ่ที่มากดราคาเด็กผมเลยไม่กดราคาใครเลยครับ แต่ผมก็เริ่มเข้าใจจากตอนนี้ครับว่าทำไมเขาต้องกดราคามันจะได้ไม่ขาดทุน แล้วก็เลนส์ที่ซื้อมาเพราะว่าคิดว่าจะได้ใช้ถ่ายต่อครับแต่ก็ไม่ได้ใช้เลย 4000 กว่าบาทเลนส์ fix 50
กลับมาที่อาชีพผมต่อนะครับ รายได้ของผมประมาณตั้งแต่ 20,000 ถึง 25,000 ครับ ตอนนั้นบังเอิญได้งานที่เงินดีครับ 25,000 ติดกันตั้งสี่เดือน นั่นก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ผมไม่ยอมทำงานประจำครับ แต่ที่ยอมมาทำประจำทีหลังก็เพราะว่ามีอยู่เดือนนึงได้ค่าจ้างแค่ 10,000 เดียวครับ ซึ่งตอนแรกเค้าจะให้ 4,000 แต่ว่าเค้าสงสาร ผมก็เลยคิดว่าไม่ไหวไม่ได้แล้ว อันตรายเกินไปแถมมันก็เหนื่อยในการหางานนะครับ คือคาแรกเตอร์ผมมันไม่ใช่คนที่แบบชอบโพสต์ว่าตัวเองทำงานอะไรอยู่แล้วก็ใส่แคปชั่นว่ามีอะไรจ้างได้แบบมันโพสต์ขายตัวเองครับ คือผมไม่เก่งแบบนั้นน่ะครับ แล้วก็ผมเป็นคนที่ขี้เกียจคุยกับชาวบ้านน่ะครับไม่ค่อยชอบรู้จักคนใหม่ใหม่มันก็เลยไม่ค่อยเหมาะกับผมเท่าไหร่ที่จะต้องอาศัยคอนเน็คชั่นส์
ตอนนั้นมีเงินเก็บอยู่ประมาณ 65,000 ก็เลยมีความฝันว่าอยากลงมาทำเต็มตัวผมอยากทำ YouTube เต็มตัวอะไรแบบนี้อ่ะครับอยากเป็น creator ก็เลยออกมาทำเต็มตัวครับเพราะคิดว่ามีเงินเก็บอยู่ประมาณหนึ่งเงินพวกนี้ก็ไม่ได้ใช้ทำอะไรหรอกครับก็เอามาใช้ให้เราใช้ชีวิตอยู่ได้โดยไม่ต้องทำงานนั่นแหละครับ แต่มันก็ไม่เวิร์คครับผมไม่รู้ว่าผมทำอะไรผิดแต่ผมก็คงไม่มีความสามารถจริงๆ เวลาผ่านไปหลายเดือนเหมือนกันครับผมก็เห็นว่าเงินมันจะหมดแล้วก็เลยเริ่มสมัครงานครับ เป็นช่วงเวลาที่ เปิดโลกมากครับเพราะว่ามีงานเยอะมากแต่มันก็ทำให้ผมรู้ว่าปริญญานิเทศเนี่ยมันค่อนข้างทำอะไรไม่ค่อยได้เท่าไหร่ครับ มันไม่ได้เฉพาะทางแบบปริญญาวิศวะอะไรแบบนั้นน่ะครับ มันก็ทำให้ผมเข้าใจเรื่องจำนวนเด็กที่จบออกมาแล้วตกงาน เพราะว่าจำนวนใบปริญญามันล้นตลาด
ผมใช้เวลาศึกษาเว็บหางานอยู่นานครับว่าจะต้องทำยังไง มีงานแบบไหนบ้าง งานที่ผมอยากทำมาตลอดคืองานเกี่ยวกับด้านการตลาดครับหรือไม่ก็เป็นพวกการแปลการใช้ภาษาอังกฤษเพราะว่าผมนึกว่าถ้าภาษาอังกฤษดีอาจจะเรียกเงินสูงๆ และทำงานสบายสบายได้ครับ หลังจากที่คิดโน่นคิดนี่อยู่หลายตลบ เช่นทำงานใกล้ใกล้ที่พักเงินเดือนน้อยๆ แล้วลุยทำของตัวเองต่อหรือว่าทำงานที่สามารถมี career path ได้เผื่อว่าธุรกิจเราจะไม่เวิร์ค ผมก็เริ่มสมัครงานครับใช้เวลาผ่านพ้นอะไรหลายอย่างเหมือนกันครับการสัมภาษณ์ไม่ผ่านเรียนรู้การสัมภาษณ์ได้เจองานหลายหลายแบบที่ได้ไปสัมภาษณ์มา ผมก็ไปสอบโทอิคมาด้วย ผมได้ 850 แบบไม่ได้อ่านเลยครับซึ่งผมคิดว่าผมเก่งมากในตอนนั้นแต่จริงๆแล้วมันก็ไม่มีอะไรและภาษาอังกฤษก็ไม่ได้เรียกเงินได้มากมายถ้าเราไม่ได้ใช้เป็นเครื่องมือเสริมถ้าเราใช้เป็นเครื่องมือหลักมันก็ไม่มีค่าอะไรครับสำหรับที่ผมเจอมานะ ถ้าผมจบวิศวะหรือ Marketing แล้วมีโทอิคไปยื่น ก็อาจจะเรียกเงินเดือนสูงกว่านี้ก็ได้แต่อย่างว่าครับผมเป็นคนที่อยากใช้ความคิดสร้างสรรค์ของตัวเองประกอบอาชีพมันก็เลยมาจบที่นิเทศครับ
สุดท้ายผมก็ได้งานที่ผมชอบมากเป็นงานเกี่ยวกับการทำซับไตเติ้ลครับผมพูดมากกว่านี้ไม่ได้เพราะว่าเดี๋ยวโดนด่า เงินเดือนที่ได้ก็ได้ 20,000 ครับซึ่งตอนแรกนึกว่าพอผ่านโปรแล้วจะขึ้นแต่มันเหมือนจะไม่ขึ้นครับตอนนี้เข้าเดือนที่สี่ยังไม่รู้ว่าเงินจะเท่าไหร่ไม่ได้ถาม พอได้งานใหม่ผมก็ลงทุนกับธุรกิจใหม่ของผมครับเป็นร้านเสื้อยืดแบรนด์เดิมครับแบรนด์เดียวกับร้านกีตาร์ YouTube ซึ่งผมจะไม่พูดชื่อแบรนด์นะครับเพราะเดี๋ยวจะถือเป็นการโฆษณา ผมก็ลงทุนไปเดือนแรก 4880 เดือนที่สองประมาณ 2000 เดือนที่สามก็ประมาณ 2000 ครับ เดือนแรกเป็นการทำเสื้อออกมา 24 ตัวเพื่อที่จะทำพรีออเดอร์ครับอีกสองเดือนคือจ้างให้ เน็ตไอดอลใน Instagram รีวิวเสื้อให้ครับ ซึ่งตอนนี้ผ่านมาเดือนที่สี่แล้ว เสื้อยังขายไม่ได้สักตัวเลยครับ แล้วก็เรื่องงานที่ผมกลัวตลอดว่าจะสามารถมี career path ที่ดีได้ไหม คือผมชอบงานนี้มากครับสังคมดีการเดินทางดีอาหารการกินอยู่ใกล้ตลาด ผมไม่คิดจะออกหรอกครับ แต่ก็คิดเผื่อเอาไว้เพราะตอนนี้มันเป็นสัญญาหนึ่งปีมันไม่ใช่ลูกจ้างประจำครับ
เออแล้วผมก็สงสัยครับว่าสมัยนี้เค้ามีสัญญาที่เป็นรายปีกันหรอครับเพื่อนผมที่ทำบริษัทของตัวเองอยู่ก็บอกว่าเดี๋ยวนี้พวกฝรั่งก็ชอบจ้างเป็นรายปีเพื่อเลี่ยงกฎหมายต่างๆนาๆแถมสามารถเอาคนออกได้โดยไม่ต้องจ่ายชดเชยด้วยหรือว่าผมกำลังโดนเอาเปรียบอยู่ครับ นั่นก็เป็นอีกเหตุผลที่ผมไม่ค่อยกล้าถามอะไรที่ออฟฟิศครับเพราะว่าระยะสัญญามันสั้น ตอนที่สมัครในเว็บเค้าก็ไม่เห็นบอกเลยว่าเป็นสัญญาหนึ่งปีผมก็มารู้ตอนสอบเสร็จสัมภาษณ์เสร็จสอบด่านสองเสร็จคือได้เข้ามานั่งน่ะครับถึงจะมารู้ว่าอ้าวสัญญาหนึ่งปี เซ็งมากเลยจะขอขึ้นเงินเดือนก็แปลกๆ จะทำอะไรก็แปลกๆ นั่นก็เป็นเหตุผลที่ผมรู้สึกต้องหาทางฉุกเฉินหรือแผนสำรองเผื่อเอาไว้ตลอดเวลาครับ (แต่สังคมในออฟฟิศผมดีนะครับที่พูดถึงนี้หมายถึงระบบของบริษัท
ผมก็แค่หวังเอาไว้ว่าจะมีธุรกิจเสริมที่ผมทำอยู่มันเวิร์คสักที ผมก็อยากซื้อคอนโดแบบคนอื่นบ้าง แล้วก็อยากมีงานที่เงินเยอะเยอะ แต่ติดตรงที่ว่าผมก็ชอบงานนี้มากจนไม่อยากเปลี่ยนแต่ก็ไม่รู้ว่าในอนาคตผมจะสามารถเรียกค่าตัวสูงกว่านี้ได้ไหม รายจ่ายผมก็ไม่ค่อยมีอะไรครับเพราะผมอยู่คอนโดที่พ่อซื้อไว้ พ่อออกค่าไฟให้ ผมก็มีจ่ายค่าน้ำค่าส่วนกลางค่าอินเตอร์เน็ตค่ามือถือแล้วก็ผมขึ้นรถไฟฟ้า อ๋อแล้วก็มีค่าเน็ตฟลิกซ์ ผมใช้เงินเดือนนึงรวมกับพวกค่าบิลนี้แล้วอยู่ที่ประมาณ คือกินอยู่ เดินทางเนี่ยใช้วันละ 220 บาทครับ ตกเดือนนึงก็จะประมาณ 7000 แล้วก็มีพวกค่าบิลใช่ไหมมันก็จะมีวันที่ออกไปกินกับเพื่อนด้วยรวมรวมแล้วเนี่ยไม่ถึง 10,000 ครับ ก็พยามเก็บเงิน
แล้วก็มีการลงทุนก็ตั้งใจว่าเดือนนึงเนี่ยจะไม่เกิน 2000 แล้วก็ช่วงนี้กำลังหัดภาษาญี่ปุ่นอยู่ครับตอนนี้นับหนึ่งถึง 10 ได้แล้ว คือผมก็ไม่รู้ว่าผมมาเล่าทำไมแต่ว่าช่วงนี้ผมอ่านพันทิปทุกเช้าเลยครับตอนขึ้นรถไฟฟ้า ตอนนี้ไม่มีอะไรทำก็เลยคิดว่าลองโพสดูดีกว่า เผื่อใครมีไอเดียอะไรดีดี แล้วก็อย่าด่าผมนะครับผมขี้เกียจฟัง
ความฝันของผมตอนนี้ก็คือทำงานนี้ไปเรื่อยเรื่อยแต่มีอาชีพเสริมที่ได้เงินเยอะกว่าเงินเดือนให้มันดุลกันไว้น่ะครับ เพราะผมชอบงานนี้ได้ดูหนังทุกวันเลย แบบอยากได้เงินจากธุรกิจของตัวเองจนไม่เดือดร้อนเรื่องเงินเดือนว่าจะขึ้นหรือไม่ขึ้นหรือจะไล่ออกหรือเปล่าอะไรแบบนี้อ่ะครับ
คือตอนนี้พ่ออายุ 59 แล้ว ปีหน้าเกษียณ ก็เลยคิดว่าใกล้ถึงเวลาแห่งความจริงแล้วครับ เครียดจัง