Slobodan Praljak อาชญากรสงครามดื่มยาพิษฆ่าตัวตายในศาล

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

The moments before and after war criminal drinks poison in UN court


Solobdan Praljak ตายแล้วหลังจากคำตัดสินของศาล: สิ่งที่กูดื่มคือยาพิษ [Al Jazeera]

Solobdan Praljak อดีตผู้บัญชาการกองกำลังบอสเนียโครเอเชียในช่วงสงครามบอสเนีย
ได้เสียชีวิตแล้วหลังจากดื่มสิ่งที่อ้างว่าเป็นยาพิษ
ในศาลอาญาระหว่างประเทศคดีอาชญากรสงครามขององค์การสหประชาชาติ
เพื่อพิจารณาคดีผู้ต้องหา/จำเลยที่เคยก่อกรรมทำเข็ญในอดีตที่ประเทศยูโกสลาเวีย

ในวันพุธที่ผ่านมาข่าวความตายของ Solobdan Praljak
ได้รายงานในสถานีโทรทัศน์ของประเทศโครเอเชีย

Slobodan Praljak ขณะยืนอยู่ในคอกจำเลย
หลังจากได้ยินคำพิพากษาประโยคสุดท้ายว่า
ตัดสินให้จำคุกจำเลยเป็นเวลา 20 ปี
ได้ตะโกนใส่ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะว่า
" กู Slobodan Praljak ขอปฏิเสธคำตัดสิน กูไม่ใช่อาชญากรสงคราม "
จากนั้นเขาก็ดื่มน้ำจากขวดเล็ก ๆ แล้วประกาศว่า " สิ่งที่กูดื่มคือยาพิษ "

Carmel Agius หัวหน้าองค์คณะผู้พิพากษา
ได้สั่งยุติการพิจารณาคดีทันทีแล้วเรียกแพทย์เข้ามาทันที
" โอเค เรายุติ เรายุติ ได้โปรด จบเรื่องแล้ว
อย่าหยิบแก้วที่เขาใช้ ใบที่เขาได้ดื่มอะไรบางอย่าง "

ทั้งนี้ มีการส่งตัวจำเลยทางเฮลิคอปเตอร์ไปยังโรงพยาบาล
แต่หลังจากทีมแพทย์พยายามช่วยเหลืออย่างเต็มที่แล้ว
จำเลยสิ้นใจในโรงพยาบาล 40 นาทีหลังจากดื่มยาพิษ
" ผลการศึกษาเบื้องต้นทางพิษวิทยา พบว่ามีปริมาณ potassium cyanide เข้มข้นในเลือด
ทำให้หัวใจล้มเหลวซึ่งเป็นสาเหตุการตาย " อัยการแถลงวันเสาร์ที่ผ่านมา

เหตุการณ์นี้ที่เกิดขึ้นภายในศาลอาญาระหว่างประเทศคดีอาชญากรสงครามในกรุงเฮก
ที่พิจารณาตัดสินจำเลยชุดสุดท้าย ผู้นำการเมืองและการทหารของบอสเนียโครเอเชียจำนวน 6 ราย
Slobodan Praljak จำเลยมีอายุ 72 ปีแล้ว และถูกจับกุมตัวมาคุมขังในปี 2004 และเริ่มไต่สวนพิจารณาคดี 4 ปีก่อน(2013)
เกี่ยวกับอาชญากรรมสงครามที่ East Mostar ช่วงปี 1992-1995 ในสงครามบอสเนีย
ตามรายงานข่าวของ BBC จำเลยถูกตั้งข้อหาละเว้นการออกคำสั่งห้ามทหารกระทำทารุณกรรมชาวมุสลิมในบอสเนีย
และไม่ยอมรายงานข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการฆ่า ข่มขืน บุกรุก และปล้นทรัพย์สินชาวบ้านมุสลิมในช่วงทำสงครามกลางเมือง
อนึ่งจำเลยมีฉายาที่เรียกกันว่า คนฆ่าสัตว์ The Butcher ที่มาจากพฤติกรรมการเข่นฆ่าฝ่ายตรงข้าม
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก่อนที่ประเทศยูโกสลาเวียจะแตกสลายเป็นประเทศเล็กประเทศน้อยในเวลาต่อมา


AFP/Getty Images
Denis Dzidic รองบรรณาธิการโครงการ Detecor ให้สัมภาษณ์กับ Al Jazeera
จากเมืองซาราเจโวในบอสเนียว่า ตำรวจและรถพยาบาลได้รับคำสั่งให้มาที่ศาลทันที
" Slobodan Praljak ได้รับฟังคำตัดสินว่า ต้องระวางโทษจำคุก 20 ปี
เขาบอกว่า เขาไม่ยอมรับคำตัดสิน เขาไม่ใช่อาชญากรสงครามแล้วดื่มสารเคมีทันที
ผู้พิพากษามีคำสั่งให้ยุติการพิจารณาเป็นการชั่วคราว
แล้วสั่งให้ระวังแก้วใบที่ Slobodan Praljak ได้ดื่มไปแล้ว
ซึ่งขณะนี้จำเลยยังไม่ได้ถูกนำตัวออกมาจากศาล
ตอนนี้ เรากำลังเฝ้าดูอยู่ว่า จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
จำเลยเป็นรายที่ 3 หลังจากที่ศาลได้มีคำสั่งตัดสินจำคุกจำเลย 2 คนไปแล้ว
25 ปี 20 ปี และสำหรับ Praljak 20 ปี "

การพิจารณาคดีในวันพุธนี้จะเป็นคดีสุดท้ายที่ตัดสินพวกจำเลยที่เหลือทั้งหมด 6 คน
ก่อนที่ศาลอาญาระหว่างประเทศคดีอาชญากรสงครามจะยุติหน้าที่นี้ลงในเดือนหน้า
ศาลนี้เป็นศาลประเภทม้วนเดียวจบ ไม่มีการอุทธรณ์ฏีกาอีกต่อไปแล้ว
อนึ่ง เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ศาลอาญาระหว่างประเทศคดีอาชญากรสงครามที่จัดตั้งขึ้นในปี 1993
เพิ่งจะตัดสิน Ratko Mladic อดีตนายพลชาวบอสเนียเซิร์บให้จำคุกตลอดชีวิต
ข้อหาการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และอาชญากรรมอื่น ๆ
ขณะที่การสู้รบกันภายในอดีตประเทศยูโกสลาเวีย

มีจำเลยที่ขึ้นสู่ศาลแห่งนี้จำนวน 161 คนและตัดสินไปแล้ว 90 คน
บางรายตาย ถอนฟ้อง จำหน่ายคดี หรือโอนไปยังศาลอื่น
เช่น Slavko Dokmanovic กับ Milan Babić
ที่เป็นชาวบอสเนียเซิร์บก็พบว่าตายในคุกในปี 1998 และ 2006 ตามลำดับ

ความขัดแย้งเดิมเริ่มต้นขึ้นเมื่อมีการกล่าวหาว่า
Franjo Tudjman ชาวโครเอเชีย อดีตประธานาธิบดียูโกสวาเลีย https://goo.gl/PFvhc1
คือ แกนนำที่มีแผนจะสร้างรัฐโครเอเซียในยูโกสวาเลีย
ซึ่งมีหลายชนชาติอยู่ร่วมกันเลยเกิดการสู้รบเป็นสงครามกลางเมือง
เพื่อแย่งชิงดินแดนเดิมของชนชาติตนและแสวงหาอำนาจ

เรียบเรียง/ที่มา

https://goo.gl/JBFNwV
https://goo.gl/7uyNZo
https://goo.gl/VdZjWx
สรุปจาก Twitter Facebook หลายแหล่งข่าว




ข้อมูลเพิ่มเติม https://goo.gl/Rzgoet

เรื่องเล่าไร้สาระ
บอสเนีย มีชาวมุสลิมอยู่จำนวนมาก
เพราะ Mehmed the Conqueror
จักรวรรดิ์ออตโตมันที่มีชัยเหนือโรมันตะวันออก
กรุงคอนสแตนติลโนเปิล หรือ อิสตันบูล ยึดครอง
และมีการเผาหนังสือในห้องสมุดหลวงทั้งหมดตามคำวิจารณ์นักประวัติศาสตร์ยุโรป
ตามคำสั่งกาหลิบว่า " ถ้าไม่มีหนังสือใดเทียบเท่าพระคัมภีร์อัลกูรอ่านก็ให้เผาทิ้งทั้งหมด
และถ้าหนังสือใดที่เทียบเท่าพระคัมภีร์อัลกูรอ่านก็ไม่จำเป็น เพราะพระคัมภีร์อัลกูรอ่านดีที่สุด "
แต่จริง ๆ มีการรบติดพันยืดเยื้อและไฟลุกลามห้องสมุดหลวงในที่สุด
กินเวลาหลายเดือนกว่าห้องสมุดหลวงแห่งนี้จะมอดไหม้ไปทั้งหมด

แต่ก็ยังมีหนังสือโบราณจำนวนหนึ่งตกค้าง
ตามบ้านชาวบ้าน/โบสถ์ชาวคริสต์ในอาณาจักรออตโตมานจำนวนมาก
จนภายหลังผู้รู้ชาวอาหรับแปลจากภาษากรีก ละติน มาใช้เรียนใช้สอนนักศึกษา
แต่ต่อมามีกาหลิบอาณาจักรออตโตมานบางรายที่เคร่งครัดศาสนามากกว่าจนเป็นมุสลิมสุดโต่ง
สั่งห้ามสนใจศึกษาวิทยาการอื่นนอกเหนือพระคัมภีร์อับกูรอ่าน หลังจากอ่านออกเขียนได้
ทำให้ศิลปวิทยาการอาหรับค่อย ๆ เสื่อมลงและด้อยพัฒนาไปในที่สุด

ยกเว้นเปอร์เซีย(อิหร่าน)ที่เป็นแกนนำมุสลิมนิกายชีอะห์
ที่ยังยึดมั่นหลักคำสอนท่านนบีมูฮำมัด ว่า
"  เจ้าจงไปศึกษาแม้ว่าต้องไปถึงเมืองจีน "
ทำให้อิหร่านยังคงพัฒนาศิลปวิทยาสืบต่อมาจนทุกวันนี้
จนสร้างเตาปฏิกรณ์ปรมาณูที่สามารถพัฒนาเป็นอาวุธนิวเคลียร์ได้
รวมทั้งยังมีนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรทำงานในนาซ่าจำนวนมาก
โดยมหาวิทยาลัยในอิหร่านสามารถสอน
Maryam Mirzakhani สตรีนักคณิตศาสตร์ระดับโลก
ที่ได้รับรางวัลด้านคณิตศาตร์ Fields Medal




หนังสือภาษาอาหรับที่แปลแล้วมีการนำกลับมาตีพิมพ์เผยแพร่ในยุโรปอีกครั้ง
ด้วยการแปลจากภาษาอาหรับมาเป็นกรีก ละติน
ซึ่งเป็นภาษาของศาสนจักร/แวดวงนักวิชาการในยุคมืด
ทำให้มีวาทกรรมว่าชาวอาหรับ/มุสลิมฉลาดกว่า
มีความรู้ด้านคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์และความรู้ต่าง ๆ ดีกว่าชาวยุโรป
ส่วนหนึ่งเพราะต่อยอดจากหนังสือเก่าที่ตกค้างนำมาแปลเป็นภาษาอาหรับ
กับผลจากการค้าขายระหว่างประเทศและการรุกรานดินแดนชาติอื่น
ทำให้เกิดการการเรียนรู้ ลอกเลียนสิ่งดีมาใช้
และพัฒนาด้านต่าง ๆ เร็วกว่าชาวยุโรปในยุคมืดมาก

การที่ชาวยุโรปหลุดพ้นจากยุคมืดที่งมงายและถูกครอบงำโดยคริสต์ศาสนา
ที่มีพระสันตปาปามาจากตระกูลเมดิซี่เจ้าพ่อมาเฟียที่ผูกขาดอำนาจในนครรัฐอิตาลี
ในอดีตมีแต่นักบวช บาดหลวง เสมียน และคนจำนวนน้อยมากที่รู้หนังสือ/ภาษากรีก ละติน
เพราะหนังสือสมัยก่อนหายากมากต้องเขียนด้วยลายมือทั้งฉบับ
มีแต่ราชา อำมาตย์ นักบวช และคนรวยจึงจะสะสมหนังสือได้
 
จนกระทั่งกูเตนเบิร์กสร้างเครื่อมตีพิมพ์หนังสือได้
จึงเริ่มมีการผลิตหนังสือออกมาเผยแพร่จำนวนมาก
อนึ่ง แท่นพิมพ์ยุคนั้นไม่มีการจดลิขสิทธิ์สิทธิบัตรแต่อย่างใด
จึงมีการ Copy and Development ใช้งานกันหลายชาติ
ทำให้คนเริ่มรู้หนังสือกันมากขึ้น รู้จักคิด วิเคราะห์ แยกแยะ
รวมทั้งหนังสือขายดีต้องเป็นภาษาท้องถิ่นเพราะอ่านเข้าใจเลยมากกว่ากรีก ละติน
ทำให้ความคิดแยกชาติพันธุ์และก่อตั้งรัฐชาติเกิดขึ้นตามมาภายหลัง
และนำมาสู่ความล่มสลายยุคมืดและการครอบงำโดยศาสนจักรในที่สุด

ตามมาด้วยการสถาปนาระบบประชาธิปไตยในยุโรปในเวลาต่อมา
แต่ความแตกแยกชาติพันธุ์ เชื้อชาติ และวัฒนธรรม ยังคงมีอยู่ในใจลึก ๆ
แบบพวกยุโรปกันเองก็มักจะดูถูกคนชาติอื่นในยุโรป/นอกยุโรป
แต่ไม่ออกหน้าออกตาเหมือนเช่นในอดีตที่มีหนังสือล้อเลียนกัน
 


ญี่ปุ่นสมัยเมจิ(ร่วมยุครัชกาลที่ 5) ที่มีการพัฒนาเร็วเพราะแปลหนังสือฝรั่งเป็นภาษาญี่ปุ่น
และส่งนักเรียนชั้นยอดไปเรียนรู้/เลียนแบบการพัฒนาจากหลายชาติกลับมาพัฒนาญีปุ่น
ด้วยการสนับสนุนพระจักรพรรดิ์ที่มีอำนาจเด็ดขาดเหนือโชกุนแล้ว

อนึ่ง จีนยุคเติ้งเสี่ยวผิงก็เริ่มส่งนักศึกษาไปเรียนเมืองนอกทั่วโลก
โดยมุ่งเน้นเรียนวิทยาศาสตร์กับวิศวกรรมศาสตร์
ประมาณการว่าปีละไม่น้อยกว่า 50,000 คน ระยะเวลาร่วม 20 ปีแล้ว
คาดว่าตอนนี้มีบัณฑิตเมืองนอกจบมาทำงานแล้วไม่น้อยกว่า 2,500,000 คน
ทำให้ด้านวิศวกรรมศาสตร์และวิทยาศาสตร์จีนรุดหน้าไปได้อย่างรวดเร็ว



เมื่อกาหลิบ Mehmed ยึดครอบครองอาณาจักรโรมตะวันออก
ดินแดนบอสเนีย และดินแดนในยุโรปบางส่วนได้แล้ว
จึงเริ่มเผยแพร่ศาสนาอิสลามด้วยดาบและภาษี
ดาบมีไว้ตัดคอคนนอกศาสนาที่ละเมิดหลักการศาสนาอิสลาม
ภาษีมีไว้เก็บจากคนนอกศาสนาแพงกว่าคนที่เป็นมุสลิม
 
ในมาเลย์วัดไทยและศาสนาสถานศาสนาอื่นต้องเสียภาษี
ในสเปนจะมีการจำแนกสีไว้เฉพาะ
จำเรื่องสีไม่ได้แล้ว/อ่านมานานมากแล้ว
สีทาบ้านจะแยกแยะบ้านแต่ละหลังออกมาให้ชัดเจนว่า
บ้านของคริสต์นิกายใด บ้านคนอิสลาม บ้านคนยิว บ้านคนนอก บ้านข้าราชบริวาร
เพื่อประโยชน์ในการจัดเก็บภาษีและการแบ่งแยกชาติพันธุ์
 
ไม่ต่างจากจีนที่กำหนดให้สีเหลืองเป็นสีของจักรพรรดิ์
ผู้ใดบังอาจใช้ต้องโทษประหารชีวิตเจ็ดขั่วโคตร
ทำให้ตะโมภิกขุ(ตั๊กมัอ)ปฐมปรมาจารย์วัดเสี่ยวลิ้มยี่
ต้องย้อมสีจีวรออกเป็นสีกรักแดงแทนสีเหลืองที่เคยใช้ในชมพูทวีป
เพื่อหลีกเลี่ยงราชภัยกับปัญหากระทบกระทั่งในการเผยแพร่ศาสนาพุทธ
 
ในสำนักวาติกันระบุว่าสตรีทุกคน
จะตัองสวมใส่ชุดเรียบร้อยสีดำเท่านั้น
จึงจะเข้าเฝ้าพระสันตปาปาอย่างเป็นทางการได้
มียกเว้นให้เฉพาะเจ้าหญิง/ราชินี 7 พระองค์เท่านั้น
ที่ยังนับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิค
 


ตั้งแต่ในอดีตแล้ว ชาวบอสเนียเป็นชนเผ่าใหญ่อีกกลุ่มหนึ่ง
ที่ก่อตั้งดินแดนขึ้นมาแข่งขัน/แย่งชิงกับชนเผ่าเซิร์บ
ทำให้ความขัดแย้งที่ร้าวรานและฝังลึกในใจมีอยู่อย่างยาวนาน
ยิ่งการมีศาสนาวัฒนธรรมการเสียภาษีแตกต่างกัน
ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิ์ออตโตมัน
ยิ่งทำให้มีการรบและทำสงครามระหว่างชาวเซิร์บกับชาวบอสเนีย
ต่างผลัดกันสู้รบกันมาอย่างยาวนานแบบสงครามย่อย ๆ
เพราะมุสลิมบอสเนียพยายามทำตนเป็นศูนย์กลาง/แกนหลัก
คนผิวขายที่เป็นมุสลิม
อยู่ท่ามกลางดินแดนที่คนส่วนใหญ่นับถือคริสต์
ไม่นิกายโรมันคาทอลิค ก็นิกายออโธด็อกซ์

ในยุคประเทศยูโกสลาเวีย ยังมีตีโต้จอมเผด็จการที่เด็ดขาด/โหดสัตว์
จึงสามารถกำราบและคุมทุกฝ่าย/ทุกชนชาติให้อยู่หมัดไม่กล้าหือได้
แต่พอจอมเผด็จการตายลงทุกอย่างก็แหลกสลายไปในพริบตา
กลายเป็นประเทศเล็กประเทศน้อยตามมาเลียนแบบสหภาพโซเวียตรุสเซีย
ที่ล่มสลายกลายเป็นประเทศต่าง ๆ ตามมาหลายประเทศ


ข้อมูลเพิ่มเติม https://goo.gl/22hUWG
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่