อธิษฐานขอพรสิ่งศักดิ์สิทธ์อย่างไรให้ปาฏิหาริย์เกิด
การบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นอีกวิถีทางหนึ่งที่จะช่วยเพิ่มพลังบุญให้ส่งผลบังเกิดขึ้นกับตัวผู้ที่บูชา เสมือนไปขอพลังท่านเหล่านั้นมาเกื้อหนุนส่งเสริมให้ผลบุญได้ส่งผลและประสบความสำเร็จดังที่ปรารถนา แต่ก่อนจะบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายเหล่านั้นต้องทำการ “เชื่อมบุญ”ให้ถึงท่านเหล่านั้นเสียก่อนไม่อย่างนั้นท่านกไม่อย่างนั้นท่านก็ไม่อาจช่วยเหลือเราได้
อย่าลืมเป็นอันขาดว่า เรานั้นได้พยายามช่วยเหลือตัวเองอย่างเต็มความสามารถแล้วหรือยัง ต้องมีสติและปัญญาพิจารณาด้วยว่า เหตุที่ทำให้เราจนเกิดปัญหานั้นเป็นเพราะอะไร เรายังติดอยู่ในบ่วงของอบายมุข ยังไม่ขยันพอ ยังขาดความรู้ หรือยังขาดปัจจัยต่างๆ ที่ต้องประกอบกันเพื่อนำไปสู่ความสำเร็จและความร่ำรวยได้
เราต้องมีสติพิจารณาในทุกเรื่อง ไม่ใช่เอะอะเกิดเรื่องขึ้นมาก็โทษแต่เจ้ากรรมนายเวร โทษกรรมไม่ดีในอดีตชาติหรือกรรมเก่าฝ่ายเดียว บางครั้งเรายังสร้างกรรมใหม่ในชาตินี้ยังไม่ตรงเหตุที่จะทำให้เกิดผลขึ้นมาได้ เราจึงต้องพยายามมากขึ้น
มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมาในชีวิต ไม่ดูตาม้าตาเรือวิ่งโร่ไปให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านช่วยอยู่ตลอด มันไม่ถูกต้องและคิดว่าท่านคงไม่ช่วยแน่นอนในคนที่ไม่ช่วยเหลือตัวเองก่อน ที่นั่งงอมืองอเท้า รอแต่ให้คนอื่นช่วย อยู่เสมอ นอกจากทนไม่ไหว ดูแล้วไม่รอดแน่แล้วจริงๆ ถึงไปขอเมตตาให้ท่านช่วย
ซึ่งต้องขอเมตตาให้เป็นด้วย ถูกช่องทาง ถูกต้องตามวิธีหากทำไม่ถูกต้องก็อาจจะทำให้ท่านไม่รับรู้ถึงความทุกข์ ท่านจึงไม่ได้ช่วย จะไปถือโทษโกรธท่านก็ไม่ได้ เหมือนไปหาญาติผู้ใหญ่ให้ช่วยเหลือ แต่ไปผิดบ้านหรือหาบ้านท่านไม่เจอ หรือไปหาผิดคน ไปหาคนที่ช่วยเหลือไม่ได้ เรื่องที่ต้องการจะให้คนช่วยจะสำเร็จไหม
และลองคิดดูเอาสักนิด สำหรับคนที่ทำแบบนี้อยู่เป็นประจำ ประเภทไม่เคยจะช่วยเหลือตัวเอง วันๆ รอให้คนอื่นมาช่วยอยู่ร่ำไป ถ้าหากในทางกลับกัน ถ้าลองเป็นตัวเองที่ในแต่ละวันมีแต่คนที่ขี้เกียจ ขี้โกหกคนมักได้ไม่ยอมทำงานหรือทำมาหากินอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
มาเสนอหน้ามาอ้อนวอนเพื่อขอเงิน ขอให้ช่วยในเรื่องต่างๆ อยู่เสมอ ถามใจตนเองดูว่าน่าเบื่อไหม และท่านจะช่วยคนไม่เอาไหนพวกนั้นได้ทุกครั้งไหม เรื่องแบบนี้ไม่ต้องถึงระดับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดอก แค่คนปุถุชนที่มีทั้งบุญและบาปพอกพูนก็น่าจะคิดได้เอง
และโปรดอย่าลืมเป็นอันขาดว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านจะช่วยคนที่มีบุญมากพอและถึงเวลาที่กรรมดีนั้นส่งผลเท่านั้น ถ้ายังคิดว่าตนเองยังไม่มีบุญพอก็ต้องเร่งสร้างบุญของตัวเองเสียก่อน ให้เป็นทุนรอนสำคัญของชีวิต ที่สำคัญครูบาอาจารย์ตั้งแต่ครั้งโบราณกาลท่านกล่าวไว้ว่า หากคนนั้นเป็นผู้ที่เคยมีบุญและมีกรรมผูกพันกับท่าน ก็จะได้รับการเมตตาเป็นพิเศษ
“การเชื่อมบุญ” เป็นการรวบรวมทั้งบุญเก่าและใหม่เข้าไว้ด้วยกันเพื่อทำให้บุญนั้นเกิดพลังที่ใหญ่และมากพอจะเกื้อหนุนคนให้ประสบความสำเร็จ
“การเชื่อมบุญ” เป็นการรวบรวมทั้งบุญเก่าและใหม่เข้าไว้ด้วยกันเพื่อทำให้บุญนั้นเกิดพลังที่ใหญ่และมากพอ เมื่อรวบรวมบุญได้มากพอแล้วก็จะทำ “การอธิษฐานจิตส่งบุญหรืออุทิศบุญ” ไปให้บรรดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เราได้ไปทำการสักการบูชา
ซึ่งอย่างที่เปรียบเทียบให้ฟังเมื่อไม่กี่บรรทัดที่ผ่านมาว่า ผู้ใหญ่ที่ท่านจะเมตตาช่วย ท่านก็ต้องดูว่าเรานั้นสนิทสนมกับท่าน มีความสำคัญต่อท่านแค่ไหน อันนี้พูดถึงความสัมพันธ์เคยไปหาสู่กับท่านหรือไม่ ปีใหม่ สงกรานต์ วันเกิดเคยมากราบขอพรหรือมาช่วยเหลืออะไรท่านเลยไม่ อันนี้ว่ากันตามความสัมพันธ์ของคน
ถ้าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หากเราเคยมีบุญผูกพันกับเหล่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นอยู่แล้วก็จะเป็นการง่ายยิ่งขึ้น เช่น บางคนที่กราบไหว้ผีบ้านผีเรือนหรือ ผีปู่ย่า เพราะมีสายสัมพันธ์กันมาแต่เดิม หากเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่นๆเช่นองค์ท้าวมหาพรหม หรือ พระอรหันตสาวกที่เรืองฤทธิ์ที่ท่านยังไม่เคยได้รู้จักเรามาก่อน
การเชื่อมบุญนี้เองจะทำให้ท่านได้รู้จักเรามากขึ้น หรือเป็นการกระตุ้นบุญเก่าให้รวมกับบุญใหม่ที่อุทิศไป และเชื่อได้ว่า หากใครก็ตามมีจิตระลึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธรูป สถานที่สำคัญ ครูบาอาจารย์ในอดีต พรหมเทพเทวดาในระดับต่างๆ เชื่อว่าชาติหนึ่งชาติใดเราเคยสร้างบุญร่วมกับท่านเหล่านั้นแน่นอน
อย่างเช่น หลวงปู่ทวด พระอริยสงฆ์ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ท่านละสังขารไปนานแล้ว แต่ทำไมคนในยุคนี้เมื่อมีเรื่องเดือดร้อน จึงนึกถึงท่านเป็นอันดับแรก
เรื่องนี้อาจจะตอบได้ว่า คนผู้นั้นเคยอาจจะเกิดในสมัยที่หลวงปู่ทวดยังมีชีวิตอยู่ เคยได้ปรนนิบัติรับใช้ท่าน หรือแม้ไม่ได้อยู่รับใช้ใกล้ชิด แต่ได้เอาคำสอนของท่านมาเป็นหลักในการดำเนินชีวิต ก็ถือว่าเป็นลูกศิษย์ท่านได้เช่นกัน
พอมาชาตินี้ความประทับใจ ความทรงจำเดิมหรือ”สัญญา” เดิมนั้นยังคงติดตัวมา ทำให้นึกถึงท่านเวลาต้องการความช่วยเหลือ เรื่องเหล่านี้เป็นคำตอบได้ดีถึงการที่คนเรามีการเวียน ว่าย ตายเกิดมาแล้วหลายภพชาติ
เวลาที่ผ่านมาจนถึงชาตินี้อาจจะเนินนานมาก จนท่านจำเราไม่ได้หากเราเชื่อมบุญกับท่าน เหมือนเราคลานเข้าไปหาท่านอีกครั้งนำบุญกุศลมาอุทิศให้กับท่าน ก็จะทำให้ท่านจำเราได้ และท่านเห็นว่าเรานั้นเป็นคนดี มีกรรมดีที่จะส่งผลเวลาอันใกล้ ถ้าเรายังไม่เคยมีบุญร่วมกันกับท่านมาก่อน บุญใหม่นี้จะเป็นตัวเชื่อมให้ท่านได้รู้จักกับเรา ท่านจะได้เมตตาโมทนาบุญนี้มาสู่เราและอำนวยพรให้เราได้สมตามความปรารถนา
การเชื่อมบุญหากจะแปลความให้พอเข้าใจง่าย ๆ ก็เหมือนการทำความรู้จักกันของคนเรา ตอนแรก ๆ คนเราเมื่อยังไม่รู้จักกันเดินสวนกัน เจอหน้ากันอย่างดีก็ได้แค่ยิ้มแล้วก็เดินผ่านเลยไป ต้องมีเหตุการณ์อะไรสักอย่าง ที่ทำให้รู้จักกันถึงจะมาพูดคุยกันได้อย่างน้อยก็คำทักทายว่า “สวัสดี” หรือการช่วยเหลือกันเล็ก ๆ น้อย ๆ สักอย่างทำให้ต่างคนต่างจำกันได้
พอเวลาที่เราจะได้พบกันครั้งต่อไปก็กลายเป็นคนรู้จัก และหลังจากนั้นพอทำความสนิทสนมกันมากเข้าก็กลายเป็นการสร้างสายสัมพันธ์ต่อกันพัฒนาจนไปเป็นเพื่อนสนิท หรือไม่ก็กลายเป็นแฟนเป็นคู่ชีวิตกัน เป็นต้น
หากจะกล่าวว่า หากการทำความรู้จักกันให้เกิดความสนิทสนมคือการต้องพบปะกันบ่อย ๆ พูดคุยกันและคอยช่วยเหลือซึ่งกันและกันนั้น “เป็นการเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์” แต่การเชื่อมบุญก็คือการกระทำที่จะทำให้ “เราได้มีโอกาสทำความรู้จักเชื่อมสัมพันธ์กับเหล่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย”
อย่าลืมว่า เหล่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นทุกท่านเป็นผู้ที่อยู่ในภพภูมิที่สูงกว่าเรา มีความบริสุทธิ์มากกว่าในเรื่องของคุณงามความดีเราจึงจำเป็นที่จะต้องสร้างบุญบารมีให้มาก ๆ แล้วนำบุญที่ได้ทำนั้นไปใช้ทำความรู้จักคุ้นเคยกับองค์เทพหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย เพื่อให้ท่านได้รู้จักและคุ้นเคย ลองคิดตามดูง่าย ๆก็ได้ว่า คนไม่รู้จักกันจะให้มาช่วยเหลือเกื้อกูลกันก็คงจะเป็นไปได้ยาก
โดยการอธิษฐานจิตส่งบุญไปให้บรรดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เราได้ไปทำการสักการบูชา หากเราเคยมีบุญผูกพันกับเหล่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นอยู่แล้วก็จะเป็นการง่ายยิ่งขึ้น เช่น บางคนที่กราบไหว้ผีบ้านผีเรือนหรือ ผีปู่ย่า เพราะมีสายสัมพันธ์กันมาแต่เดิม หากเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่น ๆ เช่นองค์ท้าวมหาพรหม หรือ พระอรหันต์สาวกที่เรืองฤทธิ์ที่ท่านยังไม่เคยได้รู้จักเรามาก่อน การเชื่อมบุญนี้เองจะทำให้ท่านได้รู้จักเรา ท่านจะได้โมทนาบุญนี้มาสู่เราและอำนวยพรให้เราได้สมตามความปรารถนา
การเชื่อมบุญนั้น นอกจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้วยังใช้กับในทุกสิ่งที่เราจะปรารถนาให้เกิดขึ้นในชีวิต ใช้กับคนที่เราอยากจะทำการสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้สำเร็จ อาจจะเป็นการค้า การเจรจาธุรกิจ การไปขอความช่วยเหลือ การอยากให้เขาเป็นคนดี เช่น ลูก หลาน คนใกล้ชิด หรืออยากให้ความสัมพันธ์นั้นกลับมาดีเหมือนเดิมสำหรับคู่ครอง เพื่อร่วมงาน เจ้านาย หรือแม้กระทั่ง ช่วยคนที่กำลังเจ็บป่วยอยู่ เอาบุญของเราไปหนุนเขาให้หายป่วยโดยเร็ว
ต้องระบุชื่อเสียงเรียงนาม ยิ่งจะดี เหมือนบุรุษไปรษณีย์นั้นไปส่งจดหมายได้ถูกตัว และเคล็ดสำคัญก็คือ ต้องอุทิศให้กับเทวดาที่รักษาตัว ประจำตัวของเขาด้วย เพื่อเป็นการช่วยอีกแรงหนึ่ง เมื่อเทวดาท่านได้รับท่านจะช่วยอวยพร ดลใจให้คนๆ นั้นได้ทราบ (ดูเรื่องเชื่อมบุญอย่างละเอียดในหนังสือสร้างบุญชุดเดียวกันนี้ที่ชื่อปาฏิหาริย์วิชาศักดิ์สิทธิ์ ๒ ปาฏิหาริย์เชื่อมบุญ ปลดกรรม ชีวิตดีฉับพลัน)
การเชื่อมบุญนั้นสำคัญมากเป็นการเหนี่ยวนำบุญให้เข้าหากัน เชื่อมต่อบุญที่เคยมีต่อกันหรือบุญใหม่ให้ติดกัน ซึ่งในความเป็นจริงคนเราทุกคนนั้นต่างเคนร่วมบุญกันมาทั้งสิ้น การที่ได้มารู้จักกัน สนิทสนมกันและทำการค้า ทำงานร่วมกัน หรือเป็นคู่ครองกันนั้นไม่ใช่เหตุบังเอิญ
หากต้องการให้คนอื่นช่วยเหลือเราก็ต้องเคยมีบุญร่วมกัน เคยช่วยเหลือเกื้อกูลกันมาก่อนรู้จักกันมาก่อนเวลาไปขอความช่วยเหลือเขาถึงจะกล้าให้ความช่วยเหลือเรา การเชื่อมบุญก็เช่นเดียวกัน หากต้องการให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายท่านได้ช่วย เราก็ต้องทำตนให้ดีเสียก่อนและทำบุญส่งบุญไปให้ท่านเหล่านั้น
ย้ำว่าต้องสร้างบุญเสียก่อน ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้จะเอาบุญที่ไหนไปส่งให้ท่านได้
เพราะเหตุนี้ภายหลังการทำบุญทุกครั้ง พระท่านจึงมักจะบอกให้กรวดน้ำส่งบุญไปให้ผู้ที่เราต้องการจะอุทิศให้แล้วตั้งจิตอธิษฐานขอให้ผลบุญนี้ส่งไปถึง ซึ่งการเชื่อมบุญนั้นเราสามารถทำได้ “ตลอดเวลา” ทุกครั้งที่มีการทำบุญด้วยวิธีมากมายที่ได้บุญมาก (ที่ได้กล่าวไปแล้วในหนังสือ “สร้างบุญแบบฉลาด ให้ได้บุญมาก ดี สุข รุ่งเรือง รวยทันตาเห็น!” ที่อยู่ในชุดเดียวกันนี้แนะนำว่าให้อ่านอีกเล่มจะเข้าใจทั้งหมด)
จะแนะนำแบบง่ายที่สุด ก็คือเมื่อลืมตาตื่นเช้าขึ้นมาก่อนจะทำกิจกรรมใด ๆ ขอให้สวดมนต์ไหว้พระ และอาราธนาศีล 5 และสมาทานศีล 5 มาไว้กับตัวเท่านี้ก็เกิดบุญขึ้นแล้วหรือจะทำสมาธิต่ออีกก็จะได้บุญมากขึ้น เมื่อมีบุญที่ตนเองได้ทำแล้ว ก็เชื่อมบุญไปยังสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ให้ความเคารพทันที ไม่ได้สิ้นเปลืองอะไรเลย นอกจากเวลาในการปฏิบัติที่ไม่มากเท่านั้นเอง
และเคล็ดอีกอย่างหนึ่งที่ครูบาอาจารย์ท่านหนึ่งสอนมา ที่ทุกคนทำได้ง่ายดายมาก ให้เรานึกถึงบุญกุศลที่เราเคยทำมา จะครั้งไหนก็ได้ที่นึกได้ ยิ่งเป็นครั้งที่เราทำบุญแล้วอิ่มเอิบใจมากที่สุด ให้นึกถึงเหตุการณ์นั้น แล้วตั้งจิตอธิษฐานอุทิศบุญนั้นไปให้คนหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เราอยากจะให้แบบเจาะจงไปเลย
หรือถ้าจำไม่ได้ให้ตั้งจิตอธิษฐานรวมบุญว่า ขอให้บุญที่ข้าพเจ้าได้เคยทำมาตั้งแต่อดีตชาติ ชาติปัจจุบันและที่จะมีต่อไปในอนาคต ขออุทิศให้แก่ใคร ผู้ใด ก็อุทิศไปบุญนั้นก็จะไปถึงทันที
จากบทความข้างต้นนี่ โดย หนังสือเรื่อง ปาฏิหาริย์วิชาศักดิ์สิทธิ์ ๔ ห้อยพระ บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขอพรเป็น ได้ทุกสิ่งที่ปรารถนา โดย ธ.ธรรมรักษ์
หลังจากผมได้อ่านบทความนี้ ผมได้นอนหลับ แล้วผมก็ฝันเห็น หลวงพ่อคูณครับ
ผมฝันว่า ผมได้พบท่าน ท่านเมตตาสนทนากับผม และได้มอบพระหรือของสายสิญจ์นหรือหนังสือสวดมนต์ผมไม่แน่ใจ
ผมได้นั่งสนทนากับท่านอยู่นานครับ ผมเลยอยากถามผู้รู้ว่า แบบนี้ผมมีบุญสัมพันธ์กับท่านมั้ยครับ
ปกติพระสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกท่านผมเคารพทุกท่านครับ แต่ที่ผมนับถือมาก คือ สมเด็จโต ครับ หลวงพ่อคุณผมก็เคารพท่านครับ
ปล.ตอนเด็กๆผมเเขวนหลวงพ่อคูณครับ ผมโดนรถชน แต่ก็ไม่ได้รับอุบัติเหตุร้ายแรงครับ
สอบถามเรื่องบุญสัมพันธ์ครับ
การบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นอีกวิถีทางหนึ่งที่จะช่วยเพิ่มพลังบุญให้ส่งผลบังเกิดขึ้นกับตัวผู้ที่บูชา เสมือนไปขอพลังท่านเหล่านั้นมาเกื้อหนุนส่งเสริมให้ผลบุญได้ส่งผลและประสบความสำเร็จดังที่ปรารถนา แต่ก่อนจะบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายเหล่านั้นต้องทำการ “เชื่อมบุญ”ให้ถึงท่านเหล่านั้นเสียก่อนไม่อย่างนั้นท่านกไม่อย่างนั้นท่านก็ไม่อาจช่วยเหลือเราได้
อย่าลืมเป็นอันขาดว่า เรานั้นได้พยายามช่วยเหลือตัวเองอย่างเต็มความสามารถแล้วหรือยัง ต้องมีสติและปัญญาพิจารณาด้วยว่า เหตุที่ทำให้เราจนเกิดปัญหานั้นเป็นเพราะอะไร เรายังติดอยู่ในบ่วงของอบายมุข ยังไม่ขยันพอ ยังขาดความรู้ หรือยังขาดปัจจัยต่างๆ ที่ต้องประกอบกันเพื่อนำไปสู่ความสำเร็จและความร่ำรวยได้
เราต้องมีสติพิจารณาในทุกเรื่อง ไม่ใช่เอะอะเกิดเรื่องขึ้นมาก็โทษแต่เจ้ากรรมนายเวร โทษกรรมไม่ดีในอดีตชาติหรือกรรมเก่าฝ่ายเดียว บางครั้งเรายังสร้างกรรมใหม่ในชาตินี้ยังไม่ตรงเหตุที่จะทำให้เกิดผลขึ้นมาได้ เราจึงต้องพยายามมากขึ้น
มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมาในชีวิต ไม่ดูตาม้าตาเรือวิ่งโร่ไปให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านช่วยอยู่ตลอด มันไม่ถูกต้องและคิดว่าท่านคงไม่ช่วยแน่นอนในคนที่ไม่ช่วยเหลือตัวเองก่อน ที่นั่งงอมืองอเท้า รอแต่ให้คนอื่นช่วย อยู่เสมอ นอกจากทนไม่ไหว ดูแล้วไม่รอดแน่แล้วจริงๆ ถึงไปขอเมตตาให้ท่านช่วย
ซึ่งต้องขอเมตตาให้เป็นด้วย ถูกช่องทาง ถูกต้องตามวิธีหากทำไม่ถูกต้องก็อาจจะทำให้ท่านไม่รับรู้ถึงความทุกข์ ท่านจึงไม่ได้ช่วย จะไปถือโทษโกรธท่านก็ไม่ได้ เหมือนไปหาญาติผู้ใหญ่ให้ช่วยเหลือ แต่ไปผิดบ้านหรือหาบ้านท่านไม่เจอ หรือไปหาผิดคน ไปหาคนที่ช่วยเหลือไม่ได้ เรื่องที่ต้องการจะให้คนช่วยจะสำเร็จไหม
และลองคิดดูเอาสักนิด สำหรับคนที่ทำแบบนี้อยู่เป็นประจำ ประเภทไม่เคยจะช่วยเหลือตัวเอง วันๆ รอให้คนอื่นมาช่วยอยู่ร่ำไป ถ้าหากในทางกลับกัน ถ้าลองเป็นตัวเองที่ในแต่ละวันมีแต่คนที่ขี้เกียจ ขี้โกหกคนมักได้ไม่ยอมทำงานหรือทำมาหากินอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
มาเสนอหน้ามาอ้อนวอนเพื่อขอเงิน ขอให้ช่วยในเรื่องต่างๆ อยู่เสมอ ถามใจตนเองดูว่าน่าเบื่อไหม และท่านจะช่วยคนไม่เอาไหนพวกนั้นได้ทุกครั้งไหม เรื่องแบบนี้ไม่ต้องถึงระดับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดอก แค่คนปุถุชนที่มีทั้งบุญและบาปพอกพูนก็น่าจะคิดได้เอง
และโปรดอย่าลืมเป็นอันขาดว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านจะช่วยคนที่มีบุญมากพอและถึงเวลาที่กรรมดีนั้นส่งผลเท่านั้น ถ้ายังคิดว่าตนเองยังไม่มีบุญพอก็ต้องเร่งสร้างบุญของตัวเองเสียก่อน ให้เป็นทุนรอนสำคัญของชีวิต ที่สำคัญครูบาอาจารย์ตั้งแต่ครั้งโบราณกาลท่านกล่าวไว้ว่า หากคนนั้นเป็นผู้ที่เคยมีบุญและมีกรรมผูกพันกับท่าน ก็จะได้รับการเมตตาเป็นพิเศษ
“การเชื่อมบุญ” เป็นการรวบรวมทั้งบุญเก่าและใหม่เข้าไว้ด้วยกันเพื่อทำให้บุญนั้นเกิดพลังที่ใหญ่และมากพอจะเกื้อหนุนคนให้ประสบความสำเร็จ
“การเชื่อมบุญ” เป็นการรวบรวมทั้งบุญเก่าและใหม่เข้าไว้ด้วยกันเพื่อทำให้บุญนั้นเกิดพลังที่ใหญ่และมากพอ เมื่อรวบรวมบุญได้มากพอแล้วก็จะทำ “การอธิษฐานจิตส่งบุญหรืออุทิศบุญ” ไปให้บรรดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เราได้ไปทำการสักการบูชา
ซึ่งอย่างที่เปรียบเทียบให้ฟังเมื่อไม่กี่บรรทัดที่ผ่านมาว่า ผู้ใหญ่ที่ท่านจะเมตตาช่วย ท่านก็ต้องดูว่าเรานั้นสนิทสนมกับท่าน มีความสำคัญต่อท่านแค่ไหน อันนี้พูดถึงความสัมพันธ์เคยไปหาสู่กับท่านหรือไม่ ปีใหม่ สงกรานต์ วันเกิดเคยมากราบขอพรหรือมาช่วยเหลืออะไรท่านเลยไม่ อันนี้ว่ากันตามความสัมพันธ์ของคน
ถ้าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หากเราเคยมีบุญผูกพันกับเหล่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นอยู่แล้วก็จะเป็นการง่ายยิ่งขึ้น เช่น บางคนที่กราบไหว้ผีบ้านผีเรือนหรือ ผีปู่ย่า เพราะมีสายสัมพันธ์กันมาแต่เดิม หากเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่นๆเช่นองค์ท้าวมหาพรหม หรือ พระอรหันตสาวกที่เรืองฤทธิ์ที่ท่านยังไม่เคยได้รู้จักเรามาก่อน
การเชื่อมบุญนี้เองจะทำให้ท่านได้รู้จักเรามากขึ้น หรือเป็นการกระตุ้นบุญเก่าให้รวมกับบุญใหม่ที่อุทิศไป และเชื่อได้ว่า หากใครก็ตามมีจิตระลึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธรูป สถานที่สำคัญ ครูบาอาจารย์ในอดีต พรหมเทพเทวดาในระดับต่างๆ เชื่อว่าชาติหนึ่งชาติใดเราเคยสร้างบุญร่วมกับท่านเหล่านั้นแน่นอน
อย่างเช่น หลวงปู่ทวด พระอริยสงฆ์ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ท่านละสังขารไปนานแล้ว แต่ทำไมคนในยุคนี้เมื่อมีเรื่องเดือดร้อน จึงนึกถึงท่านเป็นอันดับแรก
เรื่องนี้อาจจะตอบได้ว่า คนผู้นั้นเคยอาจจะเกิดในสมัยที่หลวงปู่ทวดยังมีชีวิตอยู่ เคยได้ปรนนิบัติรับใช้ท่าน หรือแม้ไม่ได้อยู่รับใช้ใกล้ชิด แต่ได้เอาคำสอนของท่านมาเป็นหลักในการดำเนินชีวิต ก็ถือว่าเป็นลูกศิษย์ท่านได้เช่นกัน
พอมาชาตินี้ความประทับใจ ความทรงจำเดิมหรือ”สัญญา” เดิมนั้นยังคงติดตัวมา ทำให้นึกถึงท่านเวลาต้องการความช่วยเหลือ เรื่องเหล่านี้เป็นคำตอบได้ดีถึงการที่คนเรามีการเวียน ว่าย ตายเกิดมาแล้วหลายภพชาติ
เวลาที่ผ่านมาจนถึงชาตินี้อาจจะเนินนานมาก จนท่านจำเราไม่ได้หากเราเชื่อมบุญกับท่าน เหมือนเราคลานเข้าไปหาท่านอีกครั้งนำบุญกุศลมาอุทิศให้กับท่าน ก็จะทำให้ท่านจำเราได้ และท่านเห็นว่าเรานั้นเป็นคนดี มีกรรมดีที่จะส่งผลเวลาอันใกล้ ถ้าเรายังไม่เคยมีบุญร่วมกันกับท่านมาก่อน บุญใหม่นี้จะเป็นตัวเชื่อมให้ท่านได้รู้จักกับเรา ท่านจะได้เมตตาโมทนาบุญนี้มาสู่เราและอำนวยพรให้เราได้สมตามความปรารถนา
การเชื่อมบุญหากจะแปลความให้พอเข้าใจง่าย ๆ ก็เหมือนการทำความรู้จักกันของคนเรา ตอนแรก ๆ คนเราเมื่อยังไม่รู้จักกันเดินสวนกัน เจอหน้ากันอย่างดีก็ได้แค่ยิ้มแล้วก็เดินผ่านเลยไป ต้องมีเหตุการณ์อะไรสักอย่าง ที่ทำให้รู้จักกันถึงจะมาพูดคุยกันได้อย่างน้อยก็คำทักทายว่า “สวัสดี” หรือการช่วยเหลือกันเล็ก ๆ น้อย ๆ สักอย่างทำให้ต่างคนต่างจำกันได้
พอเวลาที่เราจะได้พบกันครั้งต่อไปก็กลายเป็นคนรู้จัก และหลังจากนั้นพอทำความสนิทสนมกันมากเข้าก็กลายเป็นการสร้างสายสัมพันธ์ต่อกันพัฒนาจนไปเป็นเพื่อนสนิท หรือไม่ก็กลายเป็นแฟนเป็นคู่ชีวิตกัน เป็นต้น
หากจะกล่าวว่า หากการทำความรู้จักกันให้เกิดความสนิทสนมคือการต้องพบปะกันบ่อย ๆ พูดคุยกันและคอยช่วยเหลือซึ่งกันและกันนั้น “เป็นการเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์” แต่การเชื่อมบุญก็คือการกระทำที่จะทำให้ “เราได้มีโอกาสทำความรู้จักเชื่อมสัมพันธ์กับเหล่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย”
อย่าลืมว่า เหล่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นทุกท่านเป็นผู้ที่อยู่ในภพภูมิที่สูงกว่าเรา มีความบริสุทธิ์มากกว่าในเรื่องของคุณงามความดีเราจึงจำเป็นที่จะต้องสร้างบุญบารมีให้มาก ๆ แล้วนำบุญที่ได้ทำนั้นไปใช้ทำความรู้จักคุ้นเคยกับองค์เทพหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย เพื่อให้ท่านได้รู้จักและคุ้นเคย ลองคิดตามดูง่าย ๆก็ได้ว่า คนไม่รู้จักกันจะให้มาช่วยเหลือเกื้อกูลกันก็คงจะเป็นไปได้ยาก
โดยการอธิษฐานจิตส่งบุญไปให้บรรดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เราได้ไปทำการสักการบูชา หากเราเคยมีบุญผูกพันกับเหล่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นอยู่แล้วก็จะเป็นการง่ายยิ่งขึ้น เช่น บางคนที่กราบไหว้ผีบ้านผีเรือนหรือ ผีปู่ย่า เพราะมีสายสัมพันธ์กันมาแต่เดิม หากเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่น ๆ เช่นองค์ท้าวมหาพรหม หรือ พระอรหันต์สาวกที่เรืองฤทธิ์ที่ท่านยังไม่เคยได้รู้จักเรามาก่อน การเชื่อมบุญนี้เองจะทำให้ท่านได้รู้จักเรา ท่านจะได้โมทนาบุญนี้มาสู่เราและอำนวยพรให้เราได้สมตามความปรารถนา
การเชื่อมบุญนั้น นอกจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้วยังใช้กับในทุกสิ่งที่เราจะปรารถนาให้เกิดขึ้นในชีวิต ใช้กับคนที่เราอยากจะทำการสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้สำเร็จ อาจจะเป็นการค้า การเจรจาธุรกิจ การไปขอความช่วยเหลือ การอยากให้เขาเป็นคนดี เช่น ลูก หลาน คนใกล้ชิด หรืออยากให้ความสัมพันธ์นั้นกลับมาดีเหมือนเดิมสำหรับคู่ครอง เพื่อร่วมงาน เจ้านาย หรือแม้กระทั่ง ช่วยคนที่กำลังเจ็บป่วยอยู่ เอาบุญของเราไปหนุนเขาให้หายป่วยโดยเร็ว
ต้องระบุชื่อเสียงเรียงนาม ยิ่งจะดี เหมือนบุรุษไปรษณีย์นั้นไปส่งจดหมายได้ถูกตัว และเคล็ดสำคัญก็คือ ต้องอุทิศให้กับเทวดาที่รักษาตัว ประจำตัวของเขาด้วย เพื่อเป็นการช่วยอีกแรงหนึ่ง เมื่อเทวดาท่านได้รับท่านจะช่วยอวยพร ดลใจให้คนๆ นั้นได้ทราบ (ดูเรื่องเชื่อมบุญอย่างละเอียดในหนังสือสร้างบุญชุดเดียวกันนี้ที่ชื่อปาฏิหาริย์วิชาศักดิ์สิทธิ์ ๒ ปาฏิหาริย์เชื่อมบุญ ปลดกรรม ชีวิตดีฉับพลัน)
การเชื่อมบุญนั้นสำคัญมากเป็นการเหนี่ยวนำบุญให้เข้าหากัน เชื่อมต่อบุญที่เคยมีต่อกันหรือบุญใหม่ให้ติดกัน ซึ่งในความเป็นจริงคนเราทุกคนนั้นต่างเคนร่วมบุญกันมาทั้งสิ้น การที่ได้มารู้จักกัน สนิทสนมกันและทำการค้า ทำงานร่วมกัน หรือเป็นคู่ครองกันนั้นไม่ใช่เหตุบังเอิญ
หากต้องการให้คนอื่นช่วยเหลือเราก็ต้องเคยมีบุญร่วมกัน เคยช่วยเหลือเกื้อกูลกันมาก่อนรู้จักกันมาก่อนเวลาไปขอความช่วยเหลือเขาถึงจะกล้าให้ความช่วยเหลือเรา การเชื่อมบุญก็เช่นเดียวกัน หากต้องการให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายท่านได้ช่วย เราก็ต้องทำตนให้ดีเสียก่อนและทำบุญส่งบุญไปให้ท่านเหล่านั้น
ย้ำว่าต้องสร้างบุญเสียก่อน ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้จะเอาบุญที่ไหนไปส่งให้ท่านได้
เพราะเหตุนี้ภายหลังการทำบุญทุกครั้ง พระท่านจึงมักจะบอกให้กรวดน้ำส่งบุญไปให้ผู้ที่เราต้องการจะอุทิศให้แล้วตั้งจิตอธิษฐานขอให้ผลบุญนี้ส่งไปถึง ซึ่งการเชื่อมบุญนั้นเราสามารถทำได้ “ตลอดเวลา” ทุกครั้งที่มีการทำบุญด้วยวิธีมากมายที่ได้บุญมาก (ที่ได้กล่าวไปแล้วในหนังสือ “สร้างบุญแบบฉลาด ให้ได้บุญมาก ดี สุข รุ่งเรือง รวยทันตาเห็น!” ที่อยู่ในชุดเดียวกันนี้แนะนำว่าให้อ่านอีกเล่มจะเข้าใจทั้งหมด)
จะแนะนำแบบง่ายที่สุด ก็คือเมื่อลืมตาตื่นเช้าขึ้นมาก่อนจะทำกิจกรรมใด ๆ ขอให้สวดมนต์ไหว้พระ และอาราธนาศีล 5 และสมาทานศีล 5 มาไว้กับตัวเท่านี้ก็เกิดบุญขึ้นแล้วหรือจะทำสมาธิต่ออีกก็จะได้บุญมากขึ้น เมื่อมีบุญที่ตนเองได้ทำแล้ว ก็เชื่อมบุญไปยังสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ให้ความเคารพทันที ไม่ได้สิ้นเปลืองอะไรเลย นอกจากเวลาในการปฏิบัติที่ไม่มากเท่านั้นเอง
และเคล็ดอีกอย่างหนึ่งที่ครูบาอาจารย์ท่านหนึ่งสอนมา ที่ทุกคนทำได้ง่ายดายมาก ให้เรานึกถึงบุญกุศลที่เราเคยทำมา จะครั้งไหนก็ได้ที่นึกได้ ยิ่งเป็นครั้งที่เราทำบุญแล้วอิ่มเอิบใจมากที่สุด ให้นึกถึงเหตุการณ์นั้น แล้วตั้งจิตอธิษฐานอุทิศบุญนั้นไปให้คนหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เราอยากจะให้แบบเจาะจงไปเลย
หรือถ้าจำไม่ได้ให้ตั้งจิตอธิษฐานรวมบุญว่า ขอให้บุญที่ข้าพเจ้าได้เคยทำมาตั้งแต่อดีตชาติ ชาติปัจจุบันและที่จะมีต่อไปในอนาคต ขออุทิศให้แก่ใคร ผู้ใด ก็อุทิศไปบุญนั้นก็จะไปถึงทันที
จากบทความข้างต้นนี่ โดย หนังสือเรื่อง ปาฏิหาริย์วิชาศักดิ์สิทธิ์ ๔ ห้อยพระ บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขอพรเป็น ได้ทุกสิ่งที่ปรารถนา โดย ธ.ธรรมรักษ์
หลังจากผมได้อ่านบทความนี้ ผมได้นอนหลับ แล้วผมก็ฝันเห็น หลวงพ่อคูณครับ
ผมฝันว่า ผมได้พบท่าน ท่านเมตตาสนทนากับผม และได้มอบพระหรือของสายสิญจ์นหรือหนังสือสวดมนต์ผมไม่แน่ใจ
ผมได้นั่งสนทนากับท่านอยู่นานครับ ผมเลยอยากถามผู้รู้ว่า แบบนี้ผมมีบุญสัมพันธ์กับท่านมั้ยครับ
ปกติพระสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกท่านผมเคารพทุกท่านครับ แต่ที่ผมนับถือมาก คือ สมเด็จโต ครับ หลวงพ่อคุณผมก็เคารพท่านครับ
ปล.ตอนเด็กๆผมเเขวนหลวงพ่อคูณครับ ผมโดนรถชน แต่ก็ไม่ได้รับอุบัติเหตุร้ายแรงครับ