จุดเริ่มต้นของเรื่องราว
เริ่มต้นมาจากเหตุการณ์วันนึงในปี 2008 นักเขียนสาวใหญ่ชาวอเมริกันมีชื่อนามปากกาว่า R.J. Palacio (อาร์.เจ. ปาลาซิโอ) และลูกของเธอ ไปพบกับเด็กที่มีใบหน้าผิดปกติกำลังต่อคิวซื้อไอศครีมในสวนสาธารณะ ลูกของเธอจ้องใบหน้าเด็กคนนั้นไม่กระพริบ เธอต้องรีบพาลูกของเธอออกมาจากตรงนั้น เพราะกลัวว่าเด็กจะรู้สึกแย่ แต่กลับกลายเป็นว่า การที่เธอพาลูกเดินหนี ยิ่งทำให้สถานการณ์แย่ลง เด็กคนนั้นรู้สึกไม่ดีกว่าเดิมเข้าไปอีก
ปาลาซิโอรู้สึกแย่มากเช่นกัน และในคืนนั้นเอง เธอเริ่มลงมือเขียนนิยายเรื่องนี้ Wonder เรื่องที่เกี่ยวกับเด็กที่เกิดมามีใบหน้าผิดปกติ มุมมองของเด็กคนนั้นจะเป็นยังไงกับปฎิกิริยาคนรอบข้างที่มีต่อเขา ซึ่งเป็นเรื่องที่เธอต้องทำการบ้านหนักมาก..
อาร์.เจ. ปาลาซิโอ
ปาลาซิโอเริ่มค้นคว้าข้อมูล และเลือกเอาโรค Treacher-Collins Syndrome มาเป็นโรคที่ตัวเอกของเรื่อง "อ๊อกกี้ พูลแมน" เป็นมาแต่กำเนิด โรคนี้เกิดจากการยีนผิดปกติแค่ตัวเดียว หากแต่มันสามารถทำให้การวางตัวของกระดูกโครงหน้าผิดปกติได้
บางคนที่เป็นโรคนี้ อาจจะออกอาการน้อยมากจนไม่ทันสังเกตเลยด้วยซ้ำ ส่วนบางคนอาจจะมีกระดูกงอกในกะโหลกจนส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจ การมองเห็น และการได้ยิน บ่อยครั้งที่ผู้ป่วยต้องได้รับการผ่าตัดแก้ไขตั้งแต่ก่อนอายุห้าขวบ ปาลาซิโอต้องไปคลุกคลีกับครอบครัวของเด็กที่เป็นโรคนี้ เพื่อเรียนรู้ถึงมุมมองของพวกเขาที่มองโลกภายนอกว่า มองแบบใด รู้สึกเช่นไร
ขณะที่นิยายส่วนใหญ่ เลือกเล่าความโหดร้ายของสังคมดิสโธเปีย ปาลาซิโอเลือกที่จะเล่าเรื่อง Wonder ให้ตรงกันข้าม โดยการเล่าเรื่องราวที่มีมุมมองสดใส ซึ่งพัฒนาขึ้นจากประเด็นง่ายๆ ว่าเราจะทำดีต่อกันได้อย่างไร สำรวจรากฐานของความงดงามในจิตใจทุกๆคนที่อ่าน
สิ่งที่เธอต้องการสื่อออกมานั้น มันสามารถออกทะเลได้ง่าย มันสามารถกลายเป็นหนังสือน้ำเน่าฟูมฟายเละเทะได้เลย แต่ปาลาซิโอ้ ก็เขียนมันออกมาให้ห่างจากความเป็นเมโลดราม่า มันจริง และมีอารมณ์ขัน เฉียบคม ปาลาซิโอตัดสินใจที่จะให้อ๊อกกี้เป็นเด็กประถมปลาย แต่เพิ่งเข้าเรียนโรงเรียนสามัญเป็นครั้งแรกตอนเกรด 5 มันเหมือนกับว่า ตัวเองเป็นมนุษย์อวกาศไปเยือนดาวเอเลี่ยนอย่างที่อ๊อกกี้คลั่งไคล้เลยทีเดียว มันให้อารมณ์แปลกใหม่ตื่นเต้นคาดเดาไม่ได้ขนาดนั้นเลยสำหรับอ๊อกกี้
อ๊อกกี้ ชื่นชอบการสวมชุดมนุษย์อวกาศ
ปาลาซิโอ้กล่าวว่า “ช่วงอายุ 10-12 มันเหมาะกับการเล่าเรื่องมาก เพราะมันเต็มไปด้วยความดิบ มันคือช่วงเวลาที่เด็กๆจะได้ค้นพบตัวตน ว่าพวกเขาอยากเป็นอะไรในอนาคต ทุกอย่างอยู่ในช่วงพัฒนา ร่างกาย, มิตรภาพ, ความสนใจ และความสัมพันธ์กับพ่อแม่ มันเป็นช่วงเวลาที่เหมาะเจาะสำหรับอ๊อกกี้ที่จะได้เผชิญโลก”
หลังจากปาลาซิโอเขียนจบ Wonder ก็ถูกตีพิมพ์ขึ้นในปี 2013 เมื่อหนังสือวางแผง ก็ได้รับเสียงตอบรับอย่างล้นหลามจากสังคมผู้มีใบหน้าผิดปกติ ที่รอโอกาสให้โลกได้เห็นเรื่องราวของพวกเขามาโดยตลอด และยังโดนใจผู้คนที่ต้องทนโดดเดี่ยว เพราะแตกต่างจากผู้อื่นอีกมากมายในสังคม สิ่งที่เธอเล่าออกมาผ่านสายตาของ อ๊ออกกี้ โดนใจหลายๆคน ที่ในโลกปัจจุบันคนเราสนใจแต่เปลือกนอก จนไม่ทันใด้สังเกตความงดงามที่ซ่อนอยู่ลึกลงไป..
จากกระแสปากต่อปาก ทำให้ Wonder ขายได้กว่าห้าล้านเล่ม มันยังมีอิทธิพลนอกเหนือจากการเป็นแค่นิยาย “การเลือกทำดี (Choose Kind)” เกิดเป็นกระแสออกไปในวงผู้อ่าน มอบแรงบันดาลใจให้ผู้อ่านแบ่งปันเรื่องราวของตัวเองออกมา ไม่นานความสำเร็จของหนังสือเล่มนี้ ได้ไปเตะตาโปรดิวเซอร์หนังฮอลลีวู้ด อย่างทอดด์ ลีเบอร์แมน และ เดวิด โฮเบอร์แมน แห่งบริษัท Mandeville Films ทั้งคู่อ่านบทพร้อมๆกันในคืนเดียว และไม่รีรอที่จะลงมือสร้าง
สู่กระบวนการสร้างภาพยนตร์
ปาลาซิโอ้บอกกับโปรดิวเซอร์ทั้งสองว่า ถ้าจะสร้างภาพยนตร์จากนิยายของเธอ เธอมีเรื่องขอร้องแค่ข้อเดียว คือ ต้องคงเอกลักษณ์ของนิยายไว้ อย่าทำให้ทุกสิ่งที่ตัวละครอ๊อกกี้ต้องเผชิญนั้น ดูโลกสวยกว่าที่ควรเป็น เมื่อทุกฝ่ายโอเค โปรดิวเซอร์ทั้งสองก็ทาบทาม สตีเฟ่น ชาบอสกี้ ผู้เคยกำกับและเขียนบทภาพยนตร์เรื่อง Beauty and the Beast ให้มากำกับและเขียนบทภาพยนตร์เรื่อง Wonder
ในตอนแรกชาบอสกี้ปฏิเสธทำหน้าที่นี้ ส่วนหนึ่งเพราะแฟนสาวเขาเพิ่งจะคลอดลูกอีกคน เขารู้สึกยังไม่พร้อมที่จะทิ้งครอบครัวไปรับงานในช่วงนี้ อีกเหตุผลหนึ่งเพราะเขาคิดว่า เขาไม่อยากทำหนังชีวิตวัยเรียนแล้ว แต่หลังจากที่โปรดิวเซอร์ทั้งสอง โฮเบอร์แมน, ลีเบอร์แมน และ สตูดิโอผู้ผลิต ไลออนส์เกต โน้มน้าวและตื๊อ ในที่สุดชาบอสกี้ก็ได้ลองอ่านนิยาย และรู้ตัวว่าเขากำลังจะพลาดอะไรไปถ้าไม่รับงาน
ผู้เขียนบทและผู้กำกับ สตีเฟ่น ชาบอสกี้
ลีเบอร์แมน หนึ่งในโปรดิวเซอร์กล่าวว่า “ตัวนิยายเป็นพิมพ์เขียวที่ดี เราเลยไม่ได้ปรับอะไรมันมาก ปาลาซิโอ้เองก็คอยช่วยเหลืออยู่ตลอด เธอสำคัญจริงๆ เธอคอยแนะนำตั้งแต่ขั้นตอนการเขียนบท ไปจนถึงการคัดเลือกนักแสดง เธอคือแกนหลักในการทำหนังเรื่องนี้เลย”
เรื่องน่าปวดหัวเรื่องแรก คือ การตามหาดาราเด็กที่จะมารับบทเป็นอ๊อกกี้ มันเป็นเรื่องท้าทายมาก เพาระผู้อ่านแต่ละคนมีภาพของอ๊อกกี้จินตนาการอยู่ในหัวแล้ว ว่าควรออกมาลุคใด ทำให้ทีมงานต้องเลือกนักแสดงวัยประถมที่ดูเป็นธรรมชาติ แถมยังต้องมีฝีมือมากพอที่จะเข้าถึงบทเด็กชายที่ทั้งโลกเบือนหน้าหนี จนกระทั่งวันที่ทีมผู้สร้างได้เห็นการแสดงของ เจค็อบ เทรมเบลย์ ในภาพยนตร์เรื่อง Room อันลือลั่น
เจค็อบ เทรมเบลย์
การแสดงของหนุ่มน้อยคนนี้ในภาพยนตร์เรื่อง Room ทีมผู้สร้างรู้ในทันทีเลยว่า พวกเขาได้ค้นพบผู้ที่จะมารับบทอ๊อกกี้แล้ว เจค็อบมีพรสวรรค์การแสดงตั้งแต่อายุน้อย ทีมผู้สร้างคิดว่าคงหาเด็กที่มีความคล้ายกับอ๊อกกี้มากเท่าเจค็อบไม่ได้อีกแล้ว
ออกัสต์ พูลแมน หรือ "อ๊อกกี้"
จูเลีย โรเบิร์ต และ โอเว่น วิลสัน ถูกทีมผู้สร้างภาพยนตร์ยื่นข้อเสนอให้มารับบทของ เน็ท พูลแมน และ อิซาเบล พูลแมน พ่อและแม่อ๊อกกี้ ดาราซุป'ตาร์ของฮอลลีวู้ดทั้งสองยินดีรับเล่นด้วยความเต็มใจ ส่วนนึงคือจูเลียและโอเว่นต่างก็ชอบนิยายเรื่องนี้ และทั้งคู่ต่างก็มีลูก จึงอินกับตัวละครไม่ยาก และเคมีของทั้งคู่เข้ากันมากในหนังเรื่องนี้ กับบทสามีภรรยาที่มีลูกผิดปกติ
จูเลีย โรเบิร์ต และ โอเว่น วิลสัน
อีกส่วนนึงที่นักแสดงดังๆหลายๆท่าน นานๆทีมักจะรับเล่นหนังแนวอบอุ่นหัวใจให้แรงบันดาลใจแบบนี้ แม้จะได้ค่าตัวน้อย แต่ก็เพื่อเติมไฟการแสดงบางอย่างในตัวที่เริ่มมอดด้วย เล่นหนังแบบนี้มันไฟลุกบ้างไม่มากก็น้อย มันทำให้กลับไปจำได้ในจุดเริ่มต้นอาชีพว่า ต้องการเป็นดาราไปเพื่ออะไร?
ดาราสาววัยรุ่น อิซาเบลล่า วิโดวิช รับบทเป็น เวีย พี่สาววัยทีนของอ๊อกกี้ ที่สมบูรณ์แข็งแรงดีของครอบครัวพูลแมน ตัวละครเวียอุทิศตัวเองเพื่อดูแลน้องชายให้ได้ใช้ชีวิตเหมือนเด็กปกติทั่วไป โดยไม่คิดถึงตัวเอง แต่นั่นมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ไม่เหมือนอ๊อกกี้ เวียไม่เคยกลายเป็นจุดศูนย์ใจ และไม่ว่าเธอจะเข้าใจดีขนาดไหน มันก็ทำให้เธอเจ็บข้างในลึกๆอยู่ดี ยิ่งเมื่อเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิต
อิซาเบลล่า วิโดวิช
สมาชิกอีกหนึ่งตัวของครับครัวพูลแมนคือ เดซี่ สุนัขสุดน่ารักที่รักครอบครัวพูลแมนมากกว่าสิ่งใด แม้ว่าผู้กำกับชาบอสกี้จะแพ้สุนัข แต่เขายืนยันจะไม่ตัดบทนี้ออก เพราะเดซี่เปรียบเสมือนสมาชิกคนหนึ่งของครอบครัว ที่ช่วยให้พวกเขาผ่านเวลาที่ยากลำบากไปได้ โฮเบอร์แมนกล่าว “สมาชิกแต่ละคนของครอบครัวพูลแมนรักเดซี่ในแบบของตัวเอง เดซี่เป็นเหมือนศูนย์รวมจิตใจของทุกคนในครอบครัว”
เดซี่
หลังจากเรียนที่บ้านมาตลอด อ๊อกกี้ ได้แรงสนับสนุนจากพ่อและแม่ให้เข้าเรียนชั้นเกรด 5 ที่โรงเรียนประถมบีเชอร์ มันคือโลกใหม่ที่เต็มไปด้วยกอสซิปหรือการนินทาซุบซิบ การรังแก และการคุกคาม แต่มันก็ยังมีห้องแล็บวิทยาศาสตร์ที่อ๊อกกี้สบายใจ เพื่อนที่โรงเรียนของอ๊อกกี้มอบมุมมองที่ต่างออกไปให้เรื่องราว พวกเขาไม่ได้ถูกบังคับให้มอบความรักอย่างไม่มีข้อแม้กับอ๊อกกี้ ไม่เหมือนอย่างครอบครัวของอ๊อกกี้ ดังนั้น แต่ละคนต้องทำความรู้จักกับอ๊อกกี้ ด้วยวิธีที่แตกต่างกันไป
เด็กๆในโรงเรียนประถมบีเชอร์ และ อาร์.เจ. ปาลาซิโอ เจ้าของนิยาย
สรุป : การดำเนินเรื่อง Wonder ตั้งแต่ต้นจนจบออกมาประมาณว่า แทนที่จะเล่าเรื่องทั้งหมดผ่านมุมมองของตัวละครอ๊อกกี้คนเดียว ชาบอสกี้เลือกที่จะเล่าผ่านตัวละครหลายๆตัวตามนิยาย “ความกล้าหาญของอ๊อกกี้ ส่งผลถึงตัวละครอื่นๆ” ชาบอสกี้ชี้แจง “มุมมองเล่าเรื่องที่หลากหลาย ช่วยให้คุณได้เข้าใจสิ่งที่ทุกคนต้องเผชิญ ไม่ใช่แค่อ๊อกกี้ นั่นคือจุดเริ่มต้นความเห็นอกเห็นใจของผู้คน”
ตัวอย่างภาพยนตร์เรื่อง Wonder “ชีวิตมหัศจรรย์วันเดอร์” ซับไทย
Wonder “ชีวิตมหัศจรรย์วันเดอร์”
เข้าฉายทั่วไทยวันที่ 7 ธันวาคม 2017
จบการพรีวิวข้อมูล สวัสดีครับ
พรีวิวข้อมูล Wonder “ชีวิตมหัศจรรย์วันเดอร์” ภาพยนตร์ที่จะเติมเต็มหัวใจคุณ เข้าฉาย 7 ธันวาคม 2017 by หลวงจีนหอไตร
จุดเริ่มต้นของเรื่องราว
เริ่มต้นมาจากเหตุการณ์วันนึงในปี 2008 นักเขียนสาวใหญ่ชาวอเมริกันมีชื่อนามปากกาว่า R.J. Palacio (อาร์.เจ. ปาลาซิโอ) และลูกของเธอ ไปพบกับเด็กที่มีใบหน้าผิดปกติกำลังต่อคิวซื้อไอศครีมในสวนสาธารณะ ลูกของเธอจ้องใบหน้าเด็กคนนั้นไม่กระพริบ เธอต้องรีบพาลูกของเธอออกมาจากตรงนั้น เพราะกลัวว่าเด็กจะรู้สึกแย่ แต่กลับกลายเป็นว่า การที่เธอพาลูกเดินหนี ยิ่งทำให้สถานการณ์แย่ลง เด็กคนนั้นรู้สึกไม่ดีกว่าเดิมเข้าไปอีก
ปาลาซิโอรู้สึกแย่มากเช่นกัน และในคืนนั้นเอง เธอเริ่มลงมือเขียนนิยายเรื่องนี้ Wonder เรื่องที่เกี่ยวกับเด็กที่เกิดมามีใบหน้าผิดปกติ มุมมองของเด็กคนนั้นจะเป็นยังไงกับปฎิกิริยาคนรอบข้างที่มีต่อเขา ซึ่งเป็นเรื่องที่เธอต้องทำการบ้านหนักมาก..
ปาลาซิโอเริ่มค้นคว้าข้อมูล และเลือกเอาโรค Treacher-Collins Syndrome มาเป็นโรคที่ตัวเอกของเรื่อง "อ๊อกกี้ พูลแมน" เป็นมาแต่กำเนิด โรคนี้เกิดจากการยีนผิดปกติแค่ตัวเดียว หากแต่มันสามารถทำให้การวางตัวของกระดูกโครงหน้าผิดปกติได้
บางคนที่เป็นโรคนี้ อาจจะออกอาการน้อยมากจนไม่ทันสังเกตเลยด้วยซ้ำ ส่วนบางคนอาจจะมีกระดูกงอกในกะโหลกจนส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจ การมองเห็น และการได้ยิน บ่อยครั้งที่ผู้ป่วยต้องได้รับการผ่าตัดแก้ไขตั้งแต่ก่อนอายุห้าขวบ ปาลาซิโอต้องไปคลุกคลีกับครอบครัวของเด็กที่เป็นโรคนี้ เพื่อเรียนรู้ถึงมุมมองของพวกเขาที่มองโลกภายนอกว่า มองแบบใด รู้สึกเช่นไร
ขณะที่นิยายส่วนใหญ่ เลือกเล่าความโหดร้ายของสังคมดิสโธเปีย ปาลาซิโอเลือกที่จะเล่าเรื่อง Wonder ให้ตรงกันข้าม โดยการเล่าเรื่องราวที่มีมุมมองสดใส ซึ่งพัฒนาขึ้นจากประเด็นง่ายๆ ว่าเราจะทำดีต่อกันได้อย่างไร สำรวจรากฐานของความงดงามในจิตใจทุกๆคนที่อ่าน
สิ่งที่เธอต้องการสื่อออกมานั้น มันสามารถออกทะเลได้ง่าย มันสามารถกลายเป็นหนังสือน้ำเน่าฟูมฟายเละเทะได้เลย แต่ปาลาซิโอ้ ก็เขียนมันออกมาให้ห่างจากความเป็นเมโลดราม่า มันจริง และมีอารมณ์ขัน เฉียบคม ปาลาซิโอตัดสินใจที่จะให้อ๊อกกี้เป็นเด็กประถมปลาย แต่เพิ่งเข้าเรียนโรงเรียนสามัญเป็นครั้งแรกตอนเกรด 5 มันเหมือนกับว่า ตัวเองเป็นมนุษย์อวกาศไปเยือนดาวเอเลี่ยนอย่างที่อ๊อกกี้คลั่งไคล้เลยทีเดียว มันให้อารมณ์แปลกใหม่ตื่นเต้นคาดเดาไม่ได้ขนาดนั้นเลยสำหรับอ๊อกกี้
ปาลาซิโอ้กล่าวว่า “ช่วงอายุ 10-12 มันเหมาะกับการเล่าเรื่องมาก เพราะมันเต็มไปด้วยความดิบ มันคือช่วงเวลาที่เด็กๆจะได้ค้นพบตัวตน ว่าพวกเขาอยากเป็นอะไรในอนาคต ทุกอย่างอยู่ในช่วงพัฒนา ร่างกาย, มิตรภาพ, ความสนใจ และความสัมพันธ์กับพ่อแม่ มันเป็นช่วงเวลาที่เหมาะเจาะสำหรับอ๊อกกี้ที่จะได้เผชิญโลก”
หลังจากปาลาซิโอเขียนจบ Wonder ก็ถูกตีพิมพ์ขึ้นในปี 2013 เมื่อหนังสือวางแผง ก็ได้รับเสียงตอบรับอย่างล้นหลามจากสังคมผู้มีใบหน้าผิดปกติ ที่รอโอกาสให้โลกได้เห็นเรื่องราวของพวกเขามาโดยตลอด และยังโดนใจผู้คนที่ต้องทนโดดเดี่ยว เพราะแตกต่างจากผู้อื่นอีกมากมายในสังคม สิ่งที่เธอเล่าออกมาผ่านสายตาของ อ๊ออกกี้ โดนใจหลายๆคน ที่ในโลกปัจจุบันคนเราสนใจแต่เปลือกนอก จนไม่ทันใด้สังเกตความงดงามที่ซ่อนอยู่ลึกลงไป..
จากกระแสปากต่อปาก ทำให้ Wonder ขายได้กว่าห้าล้านเล่ม มันยังมีอิทธิพลนอกเหนือจากการเป็นแค่นิยาย “การเลือกทำดี (Choose Kind)” เกิดเป็นกระแสออกไปในวงผู้อ่าน มอบแรงบันดาลใจให้ผู้อ่านแบ่งปันเรื่องราวของตัวเองออกมา ไม่นานความสำเร็จของหนังสือเล่มนี้ ได้ไปเตะตาโปรดิวเซอร์หนังฮอลลีวู้ด อย่างทอดด์ ลีเบอร์แมน และ เดวิด โฮเบอร์แมน แห่งบริษัท Mandeville Films ทั้งคู่อ่านบทพร้อมๆกันในคืนเดียว และไม่รีรอที่จะลงมือสร้าง
สู่กระบวนการสร้างภาพยนตร์
ปาลาซิโอ้บอกกับโปรดิวเซอร์ทั้งสองว่า ถ้าจะสร้างภาพยนตร์จากนิยายของเธอ เธอมีเรื่องขอร้องแค่ข้อเดียว คือ ต้องคงเอกลักษณ์ของนิยายไว้ อย่าทำให้ทุกสิ่งที่ตัวละครอ๊อกกี้ต้องเผชิญนั้น ดูโลกสวยกว่าที่ควรเป็น เมื่อทุกฝ่ายโอเค โปรดิวเซอร์ทั้งสองก็ทาบทาม สตีเฟ่น ชาบอสกี้ ผู้เคยกำกับและเขียนบทภาพยนตร์เรื่อง Beauty and the Beast ให้มากำกับและเขียนบทภาพยนตร์เรื่อง Wonder
ในตอนแรกชาบอสกี้ปฏิเสธทำหน้าที่นี้ ส่วนหนึ่งเพราะแฟนสาวเขาเพิ่งจะคลอดลูกอีกคน เขารู้สึกยังไม่พร้อมที่จะทิ้งครอบครัวไปรับงานในช่วงนี้ อีกเหตุผลหนึ่งเพราะเขาคิดว่า เขาไม่อยากทำหนังชีวิตวัยเรียนแล้ว แต่หลังจากที่โปรดิวเซอร์ทั้งสอง โฮเบอร์แมน, ลีเบอร์แมน และ สตูดิโอผู้ผลิต ไลออนส์เกต โน้มน้าวและตื๊อ ในที่สุดชาบอสกี้ก็ได้ลองอ่านนิยาย และรู้ตัวว่าเขากำลังจะพลาดอะไรไปถ้าไม่รับงาน
ลีเบอร์แมน หนึ่งในโปรดิวเซอร์กล่าวว่า “ตัวนิยายเป็นพิมพ์เขียวที่ดี เราเลยไม่ได้ปรับอะไรมันมาก ปาลาซิโอ้เองก็คอยช่วยเหลืออยู่ตลอด เธอสำคัญจริงๆ เธอคอยแนะนำตั้งแต่ขั้นตอนการเขียนบท ไปจนถึงการคัดเลือกนักแสดง เธอคือแกนหลักในการทำหนังเรื่องนี้เลย”
เรื่องน่าปวดหัวเรื่องแรก คือ การตามหาดาราเด็กที่จะมารับบทเป็นอ๊อกกี้ มันเป็นเรื่องท้าทายมาก เพาระผู้อ่านแต่ละคนมีภาพของอ๊อกกี้จินตนาการอยู่ในหัวแล้ว ว่าควรออกมาลุคใด ทำให้ทีมงานต้องเลือกนักแสดงวัยประถมที่ดูเป็นธรรมชาติ แถมยังต้องมีฝีมือมากพอที่จะเข้าถึงบทเด็กชายที่ทั้งโลกเบือนหน้าหนี จนกระทั่งวันที่ทีมผู้สร้างได้เห็นการแสดงของ เจค็อบ เทรมเบลย์ ในภาพยนตร์เรื่อง Room อันลือลั่น
การแสดงของหนุ่มน้อยคนนี้ในภาพยนตร์เรื่อง Room ทีมผู้สร้างรู้ในทันทีเลยว่า พวกเขาได้ค้นพบผู้ที่จะมารับบทอ๊อกกี้แล้ว เจค็อบมีพรสวรรค์การแสดงตั้งแต่อายุน้อย ทีมผู้สร้างคิดว่าคงหาเด็กที่มีความคล้ายกับอ๊อกกี้มากเท่าเจค็อบไม่ได้อีกแล้ว
จูเลีย โรเบิร์ต และ โอเว่น วิลสัน ถูกทีมผู้สร้างภาพยนตร์ยื่นข้อเสนอให้มารับบทของ เน็ท พูลแมน และ อิซาเบล พูลแมน พ่อและแม่อ๊อกกี้ ดาราซุป'ตาร์ของฮอลลีวู้ดทั้งสองยินดีรับเล่นด้วยความเต็มใจ ส่วนนึงคือจูเลียและโอเว่นต่างก็ชอบนิยายเรื่องนี้ และทั้งคู่ต่างก็มีลูก จึงอินกับตัวละครไม่ยาก และเคมีของทั้งคู่เข้ากันมากในหนังเรื่องนี้ กับบทสามีภรรยาที่มีลูกผิดปกติ
อีกส่วนนึงที่นักแสดงดังๆหลายๆท่าน นานๆทีมักจะรับเล่นหนังแนวอบอุ่นหัวใจให้แรงบันดาลใจแบบนี้ แม้จะได้ค่าตัวน้อย แต่ก็เพื่อเติมไฟการแสดงบางอย่างในตัวที่เริ่มมอดด้วย เล่นหนังแบบนี้มันไฟลุกบ้างไม่มากก็น้อย มันทำให้กลับไปจำได้ในจุดเริ่มต้นอาชีพว่า ต้องการเป็นดาราไปเพื่ออะไร?
ดาราสาววัยรุ่น อิซาเบลล่า วิโดวิช รับบทเป็น เวีย พี่สาววัยทีนของอ๊อกกี้ ที่สมบูรณ์แข็งแรงดีของครอบครัวพูลแมน ตัวละครเวียอุทิศตัวเองเพื่อดูแลน้องชายให้ได้ใช้ชีวิตเหมือนเด็กปกติทั่วไป โดยไม่คิดถึงตัวเอง แต่นั่นมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ไม่เหมือนอ๊อกกี้ เวียไม่เคยกลายเป็นจุดศูนย์ใจ และไม่ว่าเธอจะเข้าใจดีขนาดไหน มันก็ทำให้เธอเจ็บข้างในลึกๆอยู่ดี ยิ่งเมื่อเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิต
สมาชิกอีกหนึ่งตัวของครับครัวพูลแมนคือ เดซี่ สุนัขสุดน่ารักที่รักครอบครัวพูลแมนมากกว่าสิ่งใด แม้ว่าผู้กำกับชาบอสกี้จะแพ้สุนัข แต่เขายืนยันจะไม่ตัดบทนี้ออก เพราะเดซี่เปรียบเสมือนสมาชิกคนหนึ่งของครอบครัว ที่ช่วยให้พวกเขาผ่านเวลาที่ยากลำบากไปได้ โฮเบอร์แมนกล่าว “สมาชิกแต่ละคนของครอบครัวพูลแมนรักเดซี่ในแบบของตัวเอง เดซี่เป็นเหมือนศูนย์รวมจิตใจของทุกคนในครอบครัว”
หลังจากเรียนที่บ้านมาตลอด อ๊อกกี้ ได้แรงสนับสนุนจากพ่อและแม่ให้เข้าเรียนชั้นเกรด 5 ที่โรงเรียนประถมบีเชอร์ มันคือโลกใหม่ที่เต็มไปด้วยกอสซิปหรือการนินทาซุบซิบ การรังแก และการคุกคาม แต่มันก็ยังมีห้องแล็บวิทยาศาสตร์ที่อ๊อกกี้สบายใจ เพื่อนที่โรงเรียนของอ๊อกกี้มอบมุมมองที่ต่างออกไปให้เรื่องราว พวกเขาไม่ได้ถูกบังคับให้มอบความรักอย่างไม่มีข้อแม้กับอ๊อกกี้ ไม่เหมือนอย่างครอบครัวของอ๊อกกี้ ดังนั้น แต่ละคนต้องทำความรู้จักกับอ๊อกกี้ ด้วยวิธีที่แตกต่างกันไป
สรุป : การดำเนินเรื่อง Wonder ตั้งแต่ต้นจนจบออกมาประมาณว่า แทนที่จะเล่าเรื่องทั้งหมดผ่านมุมมองของตัวละครอ๊อกกี้คนเดียว ชาบอสกี้เลือกที่จะเล่าผ่านตัวละครหลายๆตัวตามนิยาย “ความกล้าหาญของอ๊อกกี้ ส่งผลถึงตัวละครอื่นๆ” ชาบอสกี้ชี้แจง “มุมมองเล่าเรื่องที่หลากหลาย ช่วยให้คุณได้เข้าใจสิ่งที่ทุกคนต้องเผชิญ ไม่ใช่แค่อ๊อกกี้ นั่นคือจุดเริ่มต้นความเห็นอกเห็นใจของผู้คน”
ตัวอย่างภาพยนตร์เรื่อง Wonder “ชีวิตมหัศจรรย์วันเดอร์” ซับไทย
Wonder “ชีวิตมหัศจรรย์วันเดอร์”
เข้าฉายทั่วไทยวันที่ 7 ธันวาคม 2017
จบการพรีวิวข้อมูล สวัสดีครับ